“จะยังไงก็ช่างเถอะ ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่?”
ผมถามเชิงเข้าประเด็น
ขุนทองก็เบ้ปาก
“เฮ้อ~ ไม่อยากให้ลูกซาตานอะไรนี่ช่วยเล้ย~”
“งั้นก็ขอเชิญกลับ พลอย…ฝากไปส่งหมอนี่ด้วยล่ะ”
“แต่ถ้าอยากช่วยให้ได้ล่ะก็ เราจะสนองให้แล้วกัน”
…คนที่มาขอร้องให้คนอื่นช่วยแล้วยังแสดงท่าทีอวดเบ่งแบบนี้ มันน่าเคารพนับถือตรงไหนกันนะ? เห็นทีหมอนี่กลับไปเมื่อไหร่ต้องบอกให้ยัยพลอยเลิกไหว้ได้แล้ว
ผมหรี่ตามองโดยที่มีความคิดเช่นนั้นออกทางสีหน้า
กุมารทองก็โบกนิ้วเบาๆ
“คืองี้นะ คริสโตเฟอร์”
“อ่า”
“คือเราเป็นกุมารทองใช่ปะ?”
“เออ”
พลอยที่เห็นผมตอบแบบขอไปทีก็ใช้เท้าสะกิดที่ด้านใต้โต๊ะรับแขกเบาๆ
“ประธาน มารยาทค่ะ มารยาท…!”
พร้อมกระซิบเบาๆแบบนั้น
เฮ้อ วุ่นวายจริ๊ง…
“ครับๆ เป็นกุมารทองสินะ? แล้วไงต่อ?”
“พูดถึงกุมารทองก็ต้องน้ำแดงใช่มั้ยล้า?”
“หะ?”
“พูดถึงกุมารทองก็ต้องน้ำแดงใช่มั้ยล้า?”
“…..”
เดี๋ยวๆ อยู่ๆพูดบ้าอะไรเนี่ย?
พูดถึงกุมารทองก็ต้องน้ำแดง? เหมือนจะเข้าใจความหมายแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรเลยแฮะ
…หมายถึงเฮลซ์บลูลอยเหรอ? เจ้าน้ำแดงที่ไว้ผสมกับน้ำเปล่าอีกต่อหนึ่งที่เป็นขวดแก้วอะนะ?
“พูดถึงกุมารทองก็ต้องน้ำแดงใช่มั้ยล้า?”
ขุนทองก็พูดซ้ำมาอีกรอบ
ผมที่ไตร่ตรองได้ในรูปแบบประมาณนี้ก็ตอบออกไป
“อย่าบอกนะว่า ไอ้เด็กตัวเหลืองๆบนฉลากยี่ห้อเฮลซ์บลูลอยคือกุมารทอง?”
“ไม่ใช่ว้อย!!!”
“นั่นสินะ แค่ชุดก็ไม่เหมือนกันแล้วด้วย”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นสักหน่อย!!!”
…ทำไมเด็กถึงชอบตะโกนตอนไม่สบอารมณ์กันนะ น่าสงสัยจริง อีกอย่างก็ผมไม่รู้นี่หว่า
แล้วก็เล่นพูดแต่กุมารแดงน้ำทองอะไรก็ไม่รู้ อย่างผมก็คิดได้ประมาณนั้นแหละ ผิดตรงไหนกันเล่า?
ขุนทองกระแอมเบาๆ
“อะฮ่อมๆ เมื่อกี้เสียงดังไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะ แม่หนูนางรำ”
“แหมๆ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ใครจะคุยกับประธานก็ต้องโมโหแบบนี้แหละ”
คุณพี่ควรจะขอโทษตูแทนยัยผีนางรำนั่นไม่ใช่เรอะ?
แล้วที่บอกว่าใครคุยกับผมแล้วก็ต้องโมโหเป็นธรรมดานี่หมายถึงอะไรฮึ?
“เอาใหม่นะ คริสโตเฟอร์ …ถ้าพูดถึงกุมารทอง…”
“ช่วยรีบๆเข้าประเด็นสักทีได้มั้ย?”
“ให้ตายสิ เจ้านี่ใจร้อนจริงนะ แต่เราที่เป็นผู้ใหญ่กว่าจะไม่ถือความเอาแต่ใจนั่นก็แล้วกัน”
“ครับๆ”
“คืองี้นะ ช่วงนี้ไม่มีใครเอาน้ำแดงมาถวายเราเลยแหละ เราคอแห้งจะตายอยู่แล้วเนี่ย …แค่ก…แค่ก”
มีการไอโชว์ซะด้วย กลัวไม่รู้ว่าคอแห้งจริงหรือไงกันฮะ?
เมื่อกี้ก็ยังพูดเป็นต่อยหอยอยู่เลย จะมาเสแสร้งคอแห้งตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วเฟ้ย
ขุนทองก็พูดแค่นั้นและเงียบลง
อืม สรุปนั่นคือปัญหาที่ต้องการให้สภานักเรียนช่วยสินะ?
แม้ผมจะไม่ค่อยรู้จักประเภทผีไทยหรือความเชื่อมากมาย แต่สำหรับการถวายนี่ก็รู้อยู่
การถวาย คือการนำของกินหรือของใช้ไปให้กับวิญญาณหรือตัวตนเหนือธรรมชาติ สามารถใช้กับกรณีที่เป็นพระก็ได้เหมือนกัน
หลักๆก็น่าจะประมาณนั้น? ผมก็รู้ไม่ค่อยลึกด้วยสิ
แต่ที่สำคัญกว่า…
“แล้วทำไมนักเรียนต้องเอาน้ำแดงไปถวายแกด้วย?”
“จะไปรู้เรอะ?”
ตอบกลับมาได้น่ากระโดดเตะสักสองสามที
ขุนทองกอดอก
“แต่คิดว่าเจ้าพวกนั้นคงมาขอโชคลาภนั่นแหละ”
“แกสามารถให้โชคให้ลาภเขาได้ด้วยเหรอ?”
“ก็ไม่ได้น่ะสิ”
พรุ่งนี้ผมจะไปติดป้ายให้ทั่วโรงเรียนแน่ ว่าไม่ต้องไปถวายอะไรให้ไอ้กุมารทองตัวนี้เด็ดขาด
ขณะผมกำลังคิดแบบนั้น ขุนทองก็ชี้นิ้ว
“ยังไงก็เถอะ! คิดว่าต้นตอปัญหาน่าจะมาจากร้านขายของชำแน่ๆ! พวกเจ้าช่วยไปดูให้หน่อยว่าสถานการณ์เป็นยังไง!!”
พี่แกเล่นวิเคราะห์ได้ลึกซึ้งแบบนี้ ยังจำเป็นต้องมาขอให้สภานักเรียนช่วยอีกเหรอ?
ลอยได้ด้วยนี่? น่าจะเร็วกว่าให้พวกผมเดินไปอีกนะ
แต่เอาเถอะ ผมก็ดำรงตำแหน่งประธานมาได้ปีกว่าๆ ช่วยเหลือนักเรียนไปก็มากมาย
ที่จริงปัญหาแค่นี้ก็แก้ได้ง่ายๆ จนนึกสงสัยว่ากุมารทองตัวนี้มันโง่รึเปล่า
ผมพูดคล้ายถอนหายใจ
“ถ้าแค่คอแห้งก็ไปดื่มน้ำที่ตู้กดก็ได้มั้ง? มีอยู่ทั่วโรงเรียนแถมฟรีด้วย”
ไม่ต้องเสียตังสักบาท แถมยังเป็นน้ำเปล่าบริสุทธิ์คุณภาพดี
ผมก็ดื่มอยู่บ่อยๆ
พริบตาถัดมา ขุนทองก็ทุบโต๊ะอย่างแรงอย่างกับผมไปฆ่าบิดามารดาพี่แก
“กุมารทองกินอย่างอื่นนอกจากน้ำแดงได้ที่ไหนกันเล่า!!!”
“แล้วตูจะไปรู้มั้ยหา!!!?”
“อย่าตะโกนสิคะ ประธาน”
แล้วทำไมเธอไม่ห้ามตัวที่อยู่ข้างๆบ้างล่ะฮึ? คนเริ่มตะโกนก่อนก็ไม่ใช่ผมด้วยซ้ำ เป็นรองประธานก็หัดเข้าข้างประธานซะบ้างสิ…
“มองหน้าก็พอรู้แหละว่าเจ้าไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น แต่ช่วยเข้าใจซะใหม่นะ คริสโตเฟอร์”
“เฮ้ยๆ”
“กุมารทองน่ะนะ กินอย่างอื่นนอกจากน้ำแดงไม่ได้หรอก!”
พอโดนยื่นคำขาดมาแบบนั้นก็ทำผมลังเลเล็กน้อย
“คือไง? ถ้ากินเข้าไปจะหายไป ไรงี้เหรอ?”
ถ้าสิ่งมีชีวิตประมาณนั้นผมก็พอเข้าใจ ยกตัวอย่างที่ใกล้ๆตัวผมหน่อยก็ผีดูดเลือดที่แพ้กระเทียม ถ้าอยู่ใกล้กระเทียมจะเกิดอาการระคายผิว และถ้ากินเข้าไปก็ส่งผลให้อวัยวะภายในล้มเหลว
กุมารทองคงเป็นตัวตนที่ไม่ถูกกับน้ำอย่างอื่นนอกจากน้ำแดงสินะ?
อืมๆ ผมคงเข้าใจผีไทยน้อยเกินไปจริงๆนั่น……
“หายไปอะไรของเจ้า? ก็แค่มันไม่อร่อยเท่านั้นเอง”
“เรื่องของแกสิโว้ย! แค่น้ำจะเรื่องมากทำซากทำไมกันหา!? มีให้กินก็กินๆเข้าไปเหอะ!!”
“อย่าตะโกนสิคะ ประธาน”
“พลอย! หุบปาก!!!”
“ง่ำๆ”
ผมล่ะอยากไม่สนใจโลกให้ได้เหมือนดิวสักหน่อยจัง ขนาดตอนนี้ก็ยังเคี้ยวขนมตุ้ยๆไม่พูดอะไรสักคำ
เฮ้อ…เป็นประธานนี่มันเหนื่อยชะมัด
แต่สุดท้ายก็ต้องทำตามคำขอของกุมารทองตนนี้อยู่ดี ตำแหน่งการงานมันค้ำคอนี่นะ
ตำแหน่งการงานมันค้ำคอ …คำๆนั้นเป็นราวกับโซ่ตรวนที่ผมต้องช่วยเหลือผู้มาขอร้องโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะเป็นเรื่องไร้สาระแค่ไหนก็ตาม
อย่างเช่นตอนนี้ ต่อให้จะรู้สึกไม่สบอารมณ์มากแค่ไหน ผมก็ต้องดั้นด้นมาถึงร้านขายของชำ
ร้านของของชำที่มีลักษณะเป็นซุ่มเล็กๆ คุณป้าเจ้าของร้านจะนั่งอยู่ด้านใน โดยที่รอบๆจะเต็มไปด้วยขนมต่างๆตามแผงที่ยืนออกมา พร้อมด้วยตู้แช่น้ำเย็นเจี๊ยบที่อยู่ด้านหลังป้าเขาอีกที อ้อ…มีตู้ไอศรีมให้เลือกซื้อด้วยนะ
มองผ่านๆก็ร้านที่เห็นตามโรงเรียนทั่วๆไปนั่นแหละ
…ที่จริงก็ควรให้คนอื่นทำงานจิปาถะแบบนี้ แต่อย่างที่รู้ คนที่เหลืออยู่ในห้องสภานั้น แม้พวกเธอจะทำงานได้ดีเยี่ยม แต่กรณีที่เป็นงานต้องใช้แรงกายก็จะหลีกเลี่ยง ไม่ก็โยนให้ผมทำแทน
ผีปอบที่วันๆเอาแต่กินขนม และผีนางรำที่เอาแต่ห้ามไม่ให้ผมตะโกน
…นอกจากนี่จะเป็นเคสที่ไร้สาระอย่างมาก พอพี่ต้นไม่อยู่ก็รู้สึกเหนื่อยเป็นสองเท่า
“เฮ้อ”
ผมมาหยุดอยู่หน้าร้านขายของชำประจำโรงเรียน ตั้งอยู่ด้านหน้าตึกโรงอาหาร
ร้านจะเปิดตั้งแต่ช่วงพักกลางวันลากยาวมาถึงช่วงเย็น ที่ได้ยินมา รู้สึกช่วงเย็นจะขายดีกว่าด้วยซ้ำ
พวกชมรมกีฬาต่างๆก็แวะมาซื้อน้ำกันร้านนี้ล่ะนะ ที่ผมยืนรอก็เพราะยังมีลูกค้ากำลังซื้อของอยู่นั่นแหละ
ผมยืนต่อแถวจนนักเรียนที่อยู่ด้านหน้าเสร็จธุระ เนื่องจากผมก็เป็นประธานนักเรียนจึงได้รับการทักทายนิดหน่อย ผมก็ตอบไปตามประสาก่อนเดินเข้าไป
“สวัสดีครับ”
“อ้าวๆ? วันนี้มาซื้ออะไรเหรอจ๊ะ? หนูประธานนักเรียน”
“ที่จริงก็ไม่ได้มาซื้ออะไรหรอกครับ คือมีเรื่องจะถามนิดหน่อย”
พอมาคิดดูแล้ว สมาชิกสภาที่เรียกผมว่าประธานก็มีแต่พลอยกับพี่ต้นเองนี่นะ ส่วนคนอื่นก็เรียกกันไปตามแต่ละคน จนนึกสงสัยว่ามีสำนึกในหน้าที่กันบ้างรึเปล่า?
ขนาดคุณป้าร้านขายของยังเรียกผมว่าประธานเลยนะ?
คุณป้าทำหน้าประหลาดใจ
“ป้าไปทำอะไรไม่ดีไว้เหรอจ๊ะ?”
“ไม่ได้หมายความว่างั้นครับ …คืองี้ครับป้า ปกติมีคนซื้อน้ำแดงไปถวายกุมารทองรึเปล่าครับ?”
“ก็มีตลอดเลยล่ะจ่ะ หมายถึงพี่ขุนทองใช่มั้ย?”
“อ่าครับ”
“พี่เขาเป็นที่รักของนักเรียนน่ะจ่ะ น้ำแดงก็เลยขายดีตามไปด้วย”
…เด็กนุ่งโจงกระเบนนั่นอะนะ? เป็นที่รักของนักเรียน?
ยิ่งฟังก็ยิ่งสงสัย จนผมแทบจะไม่เข้าใจแล้วว่ารสนิยมการเลือกบูชาอะไรสักอย่างมันเป็นยังไงกันแน่
คุณป้าทุบมือเบาๆ
“อ๋อ หนูประธานก็จะซื้อน้ำแดงสินะ?”
“เปล่าครับ …แต่ร้านป้ามีเฮลซ์บลูลอยขายด้วยเหรอ?”
ถึงตอนนี้ก็ยังสงสัยว่าร้านของชำมีของแบบนี้ขายด้วยหรอ? นึกสภาพเด็กนักเรียนซื้อเจ้านั่นไปชงกันเองไม่ค่อยจะออกเลยแฮะ…
“เฮลซ์บลูลอย? ไม่มีนะ ส่วนใหญ่เด็กๆจะซื้อแฟนตี้ไปถวายกันนี่?”
“อ้าว? เป็นงั้นเหรอครับ?”
“หนูประธานเป็นคนต่างชาตินี่นะ …ส่วนใหญ่ก็ซื้อเป็นน้ำอัดลมไปถวายกันทั้งนั้นแหละ ถึงพี่ขุนทองจะอายุเยอะกว่าป้า แต่จิตใจก็ยังเป็นเด็กๆน่ะจ่ะ”
เพราะเป็นเด็กถึงชอบกินน้ำอัดลมมากกว่าสินะ? อืมๆ เริ่มจะเข้าใจคำว่ากุมารทองขึ้นมาหน่อยๆแล้วสิ
“งั้นผมขอซื้อแฟนตี้ขวดนึงแล้วกันครับ”
“แหม…ตอนนี้หมดพอดีเลยน่ะสิ”
หืม ที่เจ้าขุนทองนั่นมาขอให้ช่วยเพราะงี้เอง น้ำแดงหมดร้านคุณป้าเลยไม่มีใครซื้อไปถวายสินะ?
ผมกอดอก
“ที่จะถามก็เรื่องนี้แหละครับ ผมได้ยินมาว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีคนเอาน้ำแดงไปถวาย …ของหมดนานยังครับ?”
คุณป้าได้ยินดังนั้นก็เอียงคอ
“ช่วงนี้…เหรอจ๊ะ?”
“ทำไมครับ?”
คุณป้าตอบอย่างลำบากใจ
“น้ำแดงพึ่งหมดไปตอนช่วงเที่ยงเองนี่นา เดี๋ยวพรุ่งนี้ของก็มาส่งแล้วล่ะ …ป้าเลยงงๆที่หนูประธานบอกว่าช่วงนี้”
“ป้าจะบอกว่าเมื่อวานก็ยังมีน้ำแดงขายอยู่เหรอครับ?”
“จ่ะ …คนที่ซื้อไปส่วนใหญ่ก็น่าจะเอาไปถวายพี่ขุนทองซะด้วยสิ”
“……”
“เป็นอะไรหรือเปล่าหนูประธานนักเรียน? ทำหน้าน่ากลัวเชียว”
“เปล่าครับ… ขอบคุณสำหรับข้อมูลฮะ”
รู้สึกเหมือนเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน ความหงุดหงิดที่กำลังพวยพุ่ง
…แทบอยากจะกลับไปห้องสภาที่เด็กเวรนั่นรออยู่เร็วๆด้วยซ้ำ
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
ผมบอกพร้อมยกมือไหว้ จนถึงตอนนี้ก็ชินกับการไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะนะ
แต่แล้วคุณป้าก็รั้งตัวผมไว้ก่อน
“แหมๆ มาถามเฉยๆแล้วจะไปแบบไม่ซื้ออะไรนี่ ป้าก็แอบเคืองๆอยู่นะ?”
“เอ่อ นั่นสินะครับ…มีของอะไรที่ขายไม่ค่อยออกมั้ยครับ? เดี๋ยวผมช่วยซื้ออันนั้นก็ได้”
“ป้าจะเอาของไม่ดีแบบนั้นไปขายหนูประธานนักเรียนได้ยังไงล่ะ? เอางี้ดีกว่าจ่ะ ช่วยป้าซื้อคุกกี้หน่อยสิ”
“คุกกี้?”
“สามีป้าลองทำมาขายดูน่ะ อยากรู้ว่าจะถูกปากคนต่างชาติรึเปล่า”
ดูเหมือนคนไทยจะชอบคิดว่าคนต่างชาติกินของแบบนี้บ่อยสินะ? สำหรับคนอื่นผมก็ไม่รู้หรอก แต่สำหรับผมก็ไม่ได้กินบ่อยขนาดนั้นด้วยสิ
แต่เอาเถอะ ถ้าต้องการคำตอบแค่อร่อยหรือไม่อร่อย จะคนชาติไหนก็บอกได้ทั้งนั้นแหละ
“ได้ครับ เท่าไหร่?”
“สามสิบห้าจ่ะ”
ผมยื่นแบงก์ยี่สิบให้คุณป้าไปสองใบ พร้อมหยิบคุกกี้ที่วางแยกไว้บนแผงมาหนึ่งถุง ที่แค่มองก็รู้ว่าเป็นของทำมือ
“ไม่ต้องทอนครับ”
“แหมๆ ใจกว้างจริงๆ สมแล้วที่เป็นฝรั่ง”
“ฮะฮะ…”
ไม่รู้ป้าแกมองมุมไหนถึงได้คิดว่าคนต่างชาติไม่ชอบรับตังค์ทอน อืม…ก็แค่ห้าบาทเอง ไม่เห็นจำเป็นต้องทอนเลยนี่นา?
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับป้า ผมไปก่อนนะครับ”
“จ้าๆ ถ้าอร่อยอย่าลืมบอกต่อด้วยนะ”
…เล่นพูดแบบนี้ขืนไม่บอกต่อขึ้นมาก็แปลว่าไม่อร่อยน่ะสิ จะพูดอะไรช่วยคิดก่อนได้มั้ยครับเนี่ย?
ส่วนคนชิมเอาเป็นพลอยแล้วกัน ให้ยัยดิวชิมก็น่าจะไม่รู้รสอยู่ดี เล่นสวาปามเน้นปริมาณเข้าว่าแบบนั้น
เนื่องจากได้คุยกับคุณป้าร้านขายของชำที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณป้าอารมณ์ดีลำดับต้นๆของโรงเรียน จิตใจผมก็พาลรู้สึกเป็นแง่บวกมากขึ้น…
…ก็พูดไป ตอนนี้แค่นึกหน้าไอ้กุมารทองนั่นก็แทบอยากกระทืบอะไรสักอย่างเลยล่ะ
ทันทีที่มาถึงหน้าห้องสภา ผมก็เปิดประตูอย่างแรง
“เฮ้ย! ไอ้กุมารทอง!”
“ได้ความว่าไงบ้าง!?”
สงสัยหมอนี่จะเข้าใจว่าผมใช้เสียงดังเพราะรีบมาบอก
โทษที ตูแค่โมโหอยู่ต่างหาก
“ได้ความว่าไงบ้านแกดิ! น้ำแดงมันพึ่งหมดไปตอนเที่ยงเองไม่ใช่เรอะ!?”
ขุนทองกลอกตาซ้ายขวาอย่างลุกลี้ลุกลน
“พะ พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง”
“อย่าแกล้งโง่! แค่ขาดน้ำแดงไม่ถึงวัน ถึงขั้นต้องมาขอให้สภานักเรียนช่วยเลยเรอะ!? หา!?”
ผมดันไปหลงกลที่อีกฝ่ายบอกว่า ‘ช่วงนี้’ ไปซะสนิท ทำเอาคิดว่าเรื่องเกิดมาเป็นอาทิตย์แล้ว
ที่ไหนได้…แค่ไม่มีคนเอาน้ำแดงมาถวายไม่ถึงวันก็รีบแจ้นมาขอให้พวกผมช่วย
ถึงสภาจะช่วยเหลือฟรีโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่ถ้ามีแต่คำของ่อยๆเห็นแก่ตัวแบบนี้ตลอดล่ะก็ มันจะไปขัดขวางโอกาสคนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ
หรืออาจจะไม่ได้ช่วยเพราะติดเคสไร้สาระแบบนี้อยู่
“ตะ แต่เราคอแห้งตั้งแต่กลางวันแล้วนะ!”
“ก็ถึงได้บอกให้ไปกินน้ำเปล่าไงเล่า!!!”
“กุมารทองกินอย่างอื่นนอกจาก…”
ผมไม่รอให้ขุนทองพูดจบและชี้นิ้ว
“เหตุผลของแกก็แค่ไม่อร่อยไม่ใช่เรอะ!? หยุดเรื่องมากแล้วกลับไปได้แล้ว! หรือต้องให้ฉันเอาน้ำกรอกปากแกเองกันหา!?”
รู้สึกจะมีความเชื่อประมาณว่าถ้าชี้ใส่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะนิ้วกุดรึเปล่านะ? ช่างมัน!
“มะ มาชี้หน้าเราได้ไง!? …โอ้ว? คุกกี้นี่! ซื้อมาถวายเราเหยอ?”
ขุนทองทำตาเป็นประกายพร้อมมองไปยังถุงคุกกี้ในมือผม
“ใครที่ไหนคอแห้งแล้วจะอยากกินคุกกี้กันหา!?”
“อย่าตะโกนสิคะ……”
“อีพลอย!!!”
สุดท้าย กุมารทองที่ชื่อขุนทองก็ได้ออกจากห้องสภาด้วยความไม่สบอารมณ์
แถมยังบอกอีกว่าจะให้คะแนนผมแค่ดาวเดียว …สภานักเรียนไม่ใช่แกร็บนะเฟ้ย
…และก็รู้สึกว่าจะเป็นวันสองวันต่อจากวันนั้นล่ะมั้ง?
ที่หลังเลิกเรียน ผมไปที่ตู้กดน้ำที่ใช้ประจำ
ผมจะมีขวดน้ำส่วนตัว และจะกรอกให้เต็มก่อนไปห้องสภาเพื่อรอช่วยเหลือผู้ประสบปัญหา
ตอนที่ไปถึง ก็เห็นเด็กชายอายุราวเจ็ดถึงแปดปีนุ่งโจงกระเบนและไว้ผมจุก
“ให้ตายสิ…”
แค่เห็นหน้าก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเลย รีบกรอกให้เสร็จแล้วชิ่งดีกว่า…
แต่แล้ววงจรความคิดของผมก็ปะติดปะต่อกับข้อมูลที่ได้รับเมื่อสองวันก่อน
ความไม่สบอารมณ์พวยพุ่งจนเผลอกำขวดน้ำแตกคามือ
เด็กชายสังเกตเห็นพร้อมเอ่ยทัก
“อ้าว? คริสโตเฟอร์ไม่ใช่เหรอนั่น?”
“ก็กินน้ำเปล่าได้ไม่ใช่เรอะ!!!”
ขุนทองปัดมือเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
“แหมๆ นานๆทีเราก็อยากลิ้มรสชาติเรียบง่ายของน้ำเปล่าไร้ซึ่งน้ำตาลเหมือนกันนี่นา”
ผมมองใบหน้าขี้เล่นนั้น พลางสบถเหมือนกัดฟัน
“ไอ้กุมารทองเอ๊ย…”
ขอล่ะ…อย่าพึ่งดราม่าใส่ผมเลย เจ้าเด็กนี่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ
เคสที่ 1 (กุมารทอง) /จบ