สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ 26 เคสที่ 13 พักกลางวัน (2)

ตอนที่ 26 เคสที่ 13 พักกลางวัน (2)

เมื่อกลับมาห้องสภา

“กะ กลับมาแล้วเหรอคะ!?”

เด็กสาวกระสือผู้เป็นเจ้าของเคสประจำพักเที่ยงวันนี้ก็เอ่ยด้วยเสียงกระตือรือร้น ไม่ก็สงสัยว่าทำไมพวกผมถึงหายกันไปนานจัง

ถึงจะหายไปนาน แต่หัวพร้อมเครื่องในของเธอก็ยังลอยอยู่ติดเพดานห้อง ดีที่ไม่มีพัดลมเพดาน ไม่งั้นได้เลือดสาดแน่ ดูทรงน่าจะควบคุมส่วนหัวไม่ได้ด้วย

“นะ นึกว่าจะทิ้งฉันไว้ซะแล้ว! อะ คุณต้นนี่นา สะ สวัสดีค่ะ…”

เจ้าของเคสก้มศีรษะขณะพี่ต้นเงยหน้ามองเพดาน

“สวัสดีครับ …อาการหนักน่าดูเลยนะนั่น”

“ชะ ใช่ค่ะ …เป็นๆหายๆมาหลายวันแล้ว …คะ คุณต้นพอจะช่วยได้มั้ยคะ…?”

ถึงเธอจะพูดกับพี่ต้น แต่ผมฟังแล้วก็รู้สึกดีใจ ที่มีปัญหาจริงๆมาให้สภานักเรียนช่วยสักที

“เคยมีคนรู้จักที่มีอาการนี่อยู่บ้าง …คงต้องเอาส่วนศีรษะมาประกอบกับลำตัวก่อนแล้วค่อยดำเนินการขั้นถัดไป …เอ่อ น้องประธาน น้องพลอย”

““ว่าไงครับ/คะ?””

ผมกับพลอยขานตอบพี่ต้นที่มองมาทางพวกผมด้วยสีหน้าเรียบๆ

พี่ต้นก็ถามด้วยความฉงน

“ทำไมถึงยืนกันเหมือนโดนครูทำโทษแบบนั้นล่ะ?”

ตอนนี้พวกผมยืนชิดกำแพงกันด้วยท่าทางเรียบร้อยอย่างกับเด็กโดนครูทำโทษไม่มีผิด

ผมมองหน้าพลอยก่อนปัดมือให้พี่ต้น

“พวกผมช่วยอะไรไม่ได้หรอกครับ ขอยืนเป็นตัวประกอบฉากอยู่ตรงนี้จนกว่าพี่ต้นจะแก้ปัญหาเสร็จแล้วกันครับ”

“ใช่ค่ะๆ พวกหนูไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ”

ครั้นจะให้ซาตานกับผีนางรำไปก้าวก่ายเกินความจำเป็น นอกจากจะหาประโยชน์มิได้ เผลอๆจะสร้างความลำบากมากกว่าเดิมอีก พวกผมจึงตัดสินใจว่าจะยืนเป็นขอนไม้อยู่ตรงนี้แหละ

พี่ต้นลูบลำคอ

“งั้น…เดี๋ยวพี่ค่อยเรียกแล้วกันนะ”

“สแตนบายน์รอเลยครับ!”

“อะ อืม”

พี่ต้นตอบสั้นๆและมองกระสือบนเพดานอีกครั้ง

“ขอทราบอาการเบื้องต้นหน่อยแล้วกัน เป็นมานานรึยังครับ?”

“ปะ ประมาณสองสามวันก่อนค่ะ”

“งั้นช่วงสองสามวันมานี้ มีเรื่องอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจรึเปล่า?”

เจ้าของเคสฟังคำถามแล้วก็หลบสายตา

“ก็มีบ้าง…น่ะค่ะ…”

เห…สรุปเป็นปัญหาเกี่ยวกับจิตใจเหรอ? ผีไทยนี่วุ่นวายจัง หรือจะเป็นเฉพาะกระสือกับกระหังอย่างเดียวรึเปล่านะ?

ผมเหล่มองผีนางรำข้างๆ

“ประธานมองอะไรอยู่คะเนี่ย?”

“แค่สงสัยว่าผีนางรำมีอะไรแบบนี้รึเปล่าน่ะสิ”

“ดิฉันถอดหัวไม่ได้หรอกค่ะ”

“หมายถึงพอเครียดมากๆแล้วจะต้องรำไรเงี้ย?”

“เสียมารยาทค่ะ!”

เมื่อผมเถียงกับพลอย พี่ต้นก็หัวเราะแห้งๆ

จากนั้น พี่ต้นก็กระโดดลอยตัวขึ้นไปด้านบน ท่อนแขนที่ใส่กระด้งฝัดข้าวคว้าจับไปที่ลำไส้ของกระสือเจ้าของเคสดังหมับ

“เฮ้ย!? พี่ต้น!?”

ถึงผมจะตกใจจนผวา แต่ดูเหมือนฝั่งเจ้าของเคสที่โดนกระทำจะใจเย็นกว่าที่คิด

พี่ต้นพูดขณะลอยตัว

“อย่างแรกต้องจับยัดเข้าร่างก่อนน่ะ น้องประธานกับน้องพลอยช่วยล็อคตัวคุณเจ้าของเคสให้อยู่นิ่งๆหน่อย”

พวกผมทำตามที่พี่ต้นบอกทันที ช่วยกันล็อคแขนทั้งสองข้างของร่างกายเจ้าของเคสราวกับขึงไว้กับโซฟา

“ระ รุนแรงไปหน่อยแล้วมั้ยคะเนี่ย?”

เจ้าของเคสร้อนรนเล็กน้อย

“หุบปากนังกระสือ! พวกฉันกำลังช่วยเธออยู่นะ!”

“น้องประธาน …อันนั้นหยาบไปหน่อย”

“ไม่เห็นจะเข้าใจเลยครับพี่!!!?”

…จนแล้วจนรอด พี่ต้นก็จับส่วนศีรษะยัดกลับเข้าร่างตามเดิมจนได้

เจ้าของเคสถอนหายใจบนโซฟา

“ขะ ขอบคุณมากค่ะ…”

“ไม่เป็นไรๆ สภานักเรียนยินดีช่วยเสมอ”

ผมพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

แต่พี่ต้นก็พูดขัดขึ้นมา

“ยังไม่จบเรื่องเลยนะน้องประธาน นี่แค่ขั้นตอนแรกเอง…ยังต้องหาสาเหตุที่ระบบร่างกายผิดปกติด้วย”

“หมายถึงระบบร่างกายของกระสือเหรอครับ?”

“อืม ปกติกระสือควบคุมการถอดแยกได้อยู่แล้ว นี่น่าจะเป็นอาการผิดปกติด้านจิตใจที่พบเจอในวัยรุ่น คงคล้ายๆเหมือนแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาวอะไรแบบนั้น?”

ขนาดคนพูดเองยังไม่แน่ใจ แล้วผมที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยควรจะตามน้ำไปทั้งๆแบบนี้ดีมั้ยเนี่ย?

จังหวะที่กำลังสงสัย ลำคอเจ้าของเคสที่พึ่งใส่กลับเข้าไปก็เปล่งแสงอีกครั้ง

“วะ ว้าย!? เอาอีกแล้วค่ะ! จะออกมาแล้ว!?”

เจ้าของเคสตะโกนอย่างกับกำลังคลอดลูก

รอยฉีกตรงลำคอที่พึ่งสมานไปค่อยๆฉีกขาด

“ทำไงดีครับ? พี่ต้น!”

“อือ…น้องพลอย พี่ขอยืมชฎาหน่อยสิ”

พลอยรับคำพูดพร้อมถามกลับอย่างสงสัย

“ชฎา? ของหนูเหรอคะ?”

“อือ ไม่นานหรอก”

พลอยก็ถอดชฎาให้

เมื่อรุ่นพี่กระหังรับมา เขาก็ใช้ชฎาอันนั้นใส่ไปที่ศีรษะเจ้าของเคสอย่างแรง ใช้คำว่าฟาดเลยก็คงได้…

“แอ้ก!”

เจ้าของเคสโดนแรงกระแทกจากด้านบนรุนแรงจนเผลอกัดลิ้น

กระนั้นรอยฉีกขาดก็ยังไม่หยุด ส่วนศีรษะพยายามจะแยกออกจากลำตัว

“ทำไงดีครับ? พี่ต้น!”

รู้สึกคำพูดคำจาผมเริ่มจะเหมือนตัวประกอบเข้าไปทุกที

พี่ต้นกุมคาง

“สงสัยจะยังหนักไม่พอ…เดี๋ยวพี่ไปหาของหนักๆมาให้ รอแป๊บนึง ระหว่างนี้ทั้งสองคนก็พยายามอย่าให้ส่วนหัวแยกออกมา… เข้าใจนะ?”

“ใช้วิธีอะไรก็ได้เหรอคะ???”

พลอยเอียงคอถาม

“อืม เดี๋ยวพี่รีบมา”

สิ้นเสียง พี่ต้นก็รีบวิ่งออกจากสภาไปทันที ผมก็นึกสงสัยเหมือนกันว่าของหนักๆที่ว่าคืออะไร แต่ไว้รอดูตอนพี่ต้นกลับมานั่นแหละ

ตอนนี้ ผมกับพลอยต้องคิดหาวิธีกดส่วนหัวให้อยู่นิ่งกับที่…

 

…ผ่านไปราวห้านาที พี่ต้นก็กลับมาพร้อมของขนาดใหญ่ในมือ แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น…

“นะ น้องประธาน! น้องพลอย! ทำอะไรกันอยู่เนี่ย!?”

ทันทีที่พี่ต้นเปิดประตูเข้ามา เขาก็ทำหน้าตะลึงจนของในมือแทบหล่นพื้น

“กลับมาแล้วเหรอคะ!? พี่ต้น!”

“นี่ครับพี่! พวกผมหาวิธีที่ได้ผลทันทีได้แล้ว! พี่ต้นกำลังทดสอบความเป็นหัวหน้าของผมอยู่ใช่มั้ยล่ะครับ? ทักษะการแก้ปัญหาน่ะ!”

ผมกับพลอยก็ตอบด้วยใบหน้าร่าเริง

พี่ต้นตาค้าง อ้าปากพะงาบพลางจ้องพวกผมกับเจ้าของเคส

ผมตะโกนต่อขณะยังไม่ผ่อนแรงดึง ‘เชือก’ ในมือจนเส้นเลือดขึ้น

“คืองี้ครับพี่! หลักๆคือใช้ของหนักๆทับเพื่อไม่ให้ส่วนหัวแยกกับลำตัวใช่มั้ยล่ะ? ชฎาพลอยก็หนักไม่พอ ผมเลยคิดว่าต้องลองคิดในอีกมุมนึงดูน่ะครับ!”

“…ชะ ช่วยล่วย…”

เจ้าของเคสพูดเสียงสั่นแทรกขึ้นมา จนผมต้องหันไปตำหนิ

“ก็กำลังช่วยอยู่นี่ไงเล่า! พลอยอย่าผ่อนแรงสิ! ดึงให้แรงจนกะเอาให้ตายไปเลย!!!”

“รับทราบค่ะ!!!”

ตอนนี้พวกผมกำลังใช้เชือกเส้นเป้งๆ รัดไปตรงรอยฉีกขาดที่คอของเจ้าของเคส พร้อมออกแรงดึงเหมือนกำลังแพ็คสินค้าส่งออกต่างประเทศ

ส่วนเชือกก็หยิบมาจากห้องเก็บของ ให้ตายสิน่า มีของดีๆแบบนี้ทำไมไม่ใช้แต่แรกกันเล่า

“…หะ หายใจไม่อ้อก…”

“หุบปากนังกระสือ! เอ้า ได้ที่แล้วครับพี่ต้น! จะทำอะไรรีบทำเลย!”

พี่ต้นทิ้งของในมือ ตาตื่นวิ่งเข้ามา

“นะ น้องประธาน น้องพลอย! หยุดก่อน! เดี๋ยวก็ตายกันพอดีหรอก!”

“อะไรของพี่ครับเนี่ย? แค่โดนเชือกรัดแค่นี้มันถึงตายที่ไหนกัน?”

“แล้วเมื่อกี้ที่ตะโกนว่าดึงกะเอาให้ตายนั่นมันอะไรกันล่ะ!!!?”

“อินเนอร์ไงครับอินเนอร์”

ส่วนพลอยก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของผม

“ทะ ทั้งสองคนปล่อยมือก่อนเถอะ! ต่อให้ไม่ใช่กระสือ แต่ถ้าโดนรัดคอแบบนี้มันถึงตายได้เลยนะ!”

“โอ้ว? นั่นสินะครับ”

ผมกับพลอยคลายเชือกที่รัดคอเจ้าของเคสออก มองเห็นรอยช้ำจากการรัดของเชือกชัดเจน…

เจ้าของเคสกุมคอ ไอค่อกแค่กเสียงดัง

“แค่กๆ! นะ นึกว่าจะตายซะแล้ว…”

“ขอโทษแทนสองคนนั้นด้วยนะ ถึงพวกน้องๆเค้าจะเป็นประธานกับรองประธาน แต่ก็…”

เมื่อเห็นพี่ต้นพูดค้างไว้แบบนั้น ผมก็โพล่งออกไปทันที

“แต่ก็อะไรครับ!?”

“แต่บางทีก็ซื่อๆกันแบบนี้แหละ…อย่าไปโกรธอะไรเลยนะ”

…โห ถ้าขนาดพี่ต้นยังพูดถึงขนาดนั้น แสดงว่าที่ผมทำไปเมื่อกี้เรียกว่าเกินกว่าเหตุอย่างนั้นสินะ?

พลาดตรงไหนกันล่ะเนี่ย? ไม่เข้าใจเลยแฮะ ผมก็ผ่อนแรงตอนใกล้ครบสามนาทีเพื่อให้มีอากาศหายใจแล้วนี่นา

“พวกเราทำผิดตรงไหนกันนะ?”

ผมถามพลอยไปแบบนั้น

เด็กสาวก็ส่ายศีรษะจนชฎาเคลื่อน

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ สงสัยเพราะพวกเราไม่ใช่กระสือหรือกระหังเลยพลาดไป?”

“เฮ้อ…”

พี่ต้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่แหม…ถ้าไม่ตำหนิออกมาชัดๆ พวกผมก็ไม่รู้หรอก

“ว่าแต่…ไอ้นั่นคืออะไรเหรอครับ? พี่ต้น”

ผมมองไปที่วัตถุขนาดใหญ่ที่พี่ต้นทิ้งลงพื้นไปก่อนหน้านี้

“ยืมมาจากชมรมอนิเมะน่ะ พี่ก็คิดว่าไปแค่ใกล้ๆ ทั้งสองคนคงจัดการกันได้ ไม่คิดเลยว่าจะถึงขั้นเกือบจะฆาตกรรมกันในห้องสภา…”

ห้องชมรมวิจัยอนิเมะมันก็ไม่ไกลอย่างที่ว่านั่นแหละ 

“นี่พี่ต้น พูดงั้นก็เกินไปหน่อยนะครับ คิดว่าผมจะปล่อยให้ใครตายซึ่งๆหน้าในห้องสภาหรือไงครับ?”

“ใช่ค่ะๆ พี่ต้นพูดเกินไปนะคะ”

“แล้วถึงจะตายจริงๆ แค่อำพรางศพ ผมก็พอมีทักษะอยู่บ้าง”

“ใช่ค่ะๆ อำพรางศ… เดี๋ยว! ประธานพูดบ้าอะไรคะเนี่ย!?”

“อะ อี๋ย”

เจ้าของเคสรับฟังการสนทนาก่อนนั่งห่อไหล่อย่างหวาดกลัว

พี่ต้นที่ทำหน้าที่สื่ออารมณ์ว่า ‘รีบๆทำเคสนี้ให้จบเร็วๆดีกว่า’ ก็ไปหยิบวัตถุนั้นขึ้นมา ของที่ตกพื้นไปก่อนหน้านี้

เป็นวัตถุสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ สภาพมีความผุพังสนิมเขรอะ แต่ความทรุดโทรมนั้นก็เป็นแค่การแต่งเติม ซึ่งมองจากสายตาผม ก็รู้สึกว่ามันคล้ายรูปทรงพีรามิดไงชอบกล

ดูเหมือนจะเป็นพร๊อบของอะไรสักอย่าง เป็นของเรื่องอะไรกันแน่นะ? ยิ่งมาจากชมรมอนิเมะด้วยแล้วคงไม่พ้นเกี่ยวกับการ์ตูนอีกแน่

พี่ต้นทำการเอาวัตถุสามเหลี่ยมนั้นครอบไปที่ศีรษะเจ้าของเคส

“น่าจะหนักพอให้ไม่หลุดออกมาแล้วนะ”

“คะ ค่ะ …หนักมากเลยค่ะ”

จนเมื่อเจ้าของเคสสวมใส่ ผมก็พึ่งรู้ว่านั่นเป็นหมวก

ตัวละครไหนมันใส่หมวกสามเหลี่ยมใหญ่ๆแบบนั้นบ้างนะ? ไม่เคยเห็นเลยแฮะ

ผมเอ่ยถาม

“ของชมรมอนิเมะแน่เหรอครับ?”

“อืม เป็นอุปกรณ์คอสเพลย์ตัวละครจากเกมตัวนึงน่ะ ที่จริงฝั่งนั้นเขาจะให้ดาบมาเล่มนึงด้วย แต่พี่ไม่ได้กะจะคอสเพลย์เลยไม่ได้เอามา”

ตัวละครจากเกม สวมหมวกทรงพีรามิด แถมยังใช้ดาบด้วย

ตัวบ้าอะไรล่ะนั่น? ผมเล่นเกมไม่บ่อยขนาดนั้นด้วยสิ

พี่ต้นที่เห็นผมทำหน้าสงสัยก็ส่ายศีรษะ

“ถ้าอยากรู้ว่าไว้น้องประธานไปถามยัยน้ำเอาแล้วกัน พี่ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่”

ถามพี่น้ำก็คงจะได้เรื่องจริงๆนั่นแหละ แต่ก็เป็นประเด็นที่ผมไม่ได้อยากรู้มากมาย ลงท้ายก็เลยโยนออกจากสมองไปแค่นั้น

 

หลังจากผ่านเรื่องวุ่นวาย ตอนนี้สมาชิกสภาสามคนพร้อมด้วยเจ้าของเคสอีกหนึ่งก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะรับแขก

แม้จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเด็กสาวกระสือด้วยหมวกทรงพีรามิดไปแล้ว แต่ว่าก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น ปัญหาจริงๆยังไม่ได้รับการแก้ไข

…เพราะคงไม่มีใครอยากใส่หมวกแบบนั้นไปตลอดหรอก ขนาดผมไม่ได้ใส่ยังรู้สึกหนักแทนเลย

“งั้นก็…ลองบอกปัญหาหนักใจที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันนี้ให้ฟังหน่อยครับ”

พี่ต้นเริ่มถาม

เจ้าของเคสก็ตอบด้วยเสียงกล้าๆกลัวๆ

“คะ คือ …เมื่อวานฉันทะเลาะกับเพื่อนน่ะค่ะ”

“เรื่องอะไรครับ?”

“ปะ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างส่วนตัวน่ะค่ะ…”

“ถึงงั้นก็ต้องเล่าให้ฟังอยู่ดีครับ คิดว่าปัญหาส่วนตัวกับปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ อะไรสำคัญกว่ากัน? คงไม่อยากหัวหลุดตอนเดินอยู่ในที่โล่งๆใช่มั้ย?”

วันนี้คุณรุ่นพี่กระหังดุดันกว่าทุกที อาจจะเพราะเป็นเคสที่เกี่ยวกับเชื้อสายตัวเองด้วยล่ะมั้ง?

แต่ก็ดีไปอย่าง ผมทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วด้วย ถ้าพี่ต้นเขาจริงจังขนาดนี้ก็คงแก้ปัญหาได้แน่นอน 

เพราะขนาดตอนนี้ ผมกับพลอยยังนั่งฟังที่ทั้งสองคุยกันอย่างกับเป็นตัวประกอบฉากจริงๆ

เจ้าของเคสครุ่นคิดไปหนึ่งจังหวะ

“คะ คือฉันเผลอทำแหวนของเพื่อนหายน่ะค่ะ …เป็นแหวนที่คุณแม่ของเธอให้ไว้ก่อนจะเสียด้วย ฉันก็ลองหาดูแล้วแต่ไม่รู้ไปทำหล่นไว้ที่ไหน…”

“แล้วทำไมแหวนของเพื่อน ถึงได้มาอยู่กับเธอตั้งแต่แรกล่ะ?”

“เธอฝากฉันไว้ตอนเปลี่ยนเสื้อพละน่ะค่ะ แล้วก็…”

“…เข้าใจแล้วครับ”

พี่ต้นตัดบทพร้อมลูบคอตัวเองเบาๆ

อย่างน้อยจากที่ฟังๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลเรื่องที่มาที่ไปนักหรอก แค่เข้าใจว่าเจ้าของเคสทำแหวนเพื่อนหายก็พอ

“น่าจะเป็นที่ความรู้สึกผิดกับความเครียดที่โดนเพื่อนโกรธ ระบบในร่างมันเลยรวนๆ …ยังงี้ถ้าไม่ไปคืนดีกับเพื่อนก็คงไม่ได้ล่ะนะ”

“…ใช่ค่ะ รู้สึกผิดมากเลยค่ะ ฉันก็ลองไปขอโทษเธอแล้ว แต่แค่คุยด้วยเธอยังไม่คุยเลยค่ะ…”

“อืม…”

ผมกับพลอยนั่งมองพี่ต้นที่ทำหน้าคร่ำเครียดด้วยแววตาบ๊องแบ๊ว

ในใจผมก็พลางคิด …ตูไม่มีบทเลยแฮะ

“คงต้องหาแแหวนไปคืนเพื่อนให้ได้… คิดว่าถ้าหาเจอก็คงคืนดีกันได้ ใช่มั้ยครับ?”

“กะ ก็หวังแบบนั้นอยู่ค่ะ แต่ยังหาไม่เจอเลยน่ะค่ะ…”

“อ๋อ ถ้าเรื่องนั้น ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”

พี่ต้นพูดจบ ก็หันมายิ้มให้พวกผม

“น้องประธาน น้องพลอย ถ้าเป็นเคสหาของหาย สภานักเรียนคงทำได้สินะ?”

“ผมเป็นประธานเลยนะครับ? แค่หาของหายมันจะไปยากอะร้าย?”

“ถ้างั้น…”

พี่ต้นลุกขึ้นและทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็กลืนมันลงคอเหมือนเกรงใจ

ผมก็หัวเราะบางๆ

“ฮะฮะ เคสนี้ผมให้พี่ต้นเป็นหัวหน้าแล้วกันครับ อยากสั่งอะไรพวกผมก็ว่ามาได้เลย”

“ตามที่ประธานพูดเลยค่ะ พี่ต้น”

เมื่อพวกผมยื่นคำขาด รุ่นพี่ผีกระหังก็พยักหน้าเบาๆ ลับสายตาสีทองจนเฉียบคมและชี้ไปที่ประตู

“น้องประธาน! น้องพลอย! รีบไปหาแหวนของเจ้าของเคสเพื่อให้พวกเขาคืนดีกันเดี๋ยวนี้!”

““รับทราบครับ!/ค่ะ!””

สำหรับพลอยผมก็ไม่รู้หรอก แต่สำหรับผมที่เป็นหัวหน้าน่ะ ไม่เคยโดนสั่งงานมาก่อน เพราะงั้นตอนนี้จึงฮึกเหิมเต็มที่

อีกสิบนาทีจะเริ่มการเรียนช่วงบ่าย ต้องรีบหาให้เจอเพื่อจะได้จบเคสตอนนี้เล้ย!

ผมกับพลอยวิ่งไปทางประตูอย่างจริงจัง

แต่ทันใดนั้นเอง…

“พี่คริสโตเฟอร์อยู่เปล่า~~~! หนูเจอแหวนแปลกๆในห้องเปลี่ยนเสื้อด้วยแหละ!!!”

ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมด้วยสมาชิกสภาเสือสมิงที่ยิ้มร่ามาแต่ไกล ในมือก็ถือวัตถุขนาดเล็กที่ส่องประกายวิบวับมาด้วย

เจ้าของเคสตาค้างไปแป๊บนึง ชี้ไปที่ของในมือสไปรท์

“วะ วงนั้นเลยค่ะ!”

“งะ งั้นเหรอ…อะ เอ่อ น้องประธาน น้องพลอย ไม่ต้องเหนื่อยแล้วล่ะ”

““……””

พี่ต้นเอ่ยอย่างลำบากใจ ส่วนพวกผมก็ใบ้รับประทาน

จบเคสอย่างง่ายดาย…

สไปรท์เอียงคอ

“นี่หนูทำอะไรผิดรึเปล่าเนี่ย???”

 

…อยู่ในช่วงสรุปเรื่องราว

เจ้าของเคสที่ได้แหวนที่หายไปกลับมา ก็ได้เอาแหวนนั่นไปคืนเพื่อนเรียบร้อย

การถอดศีรษะอย่างควบคุมไม่ได้ของเธอก็หายไปทันที ดูเหมือนถ้าอารมณ์อยู่ในด้านลบจะส่งผลให้การถอดศีรษะแปลกๆไป พอคืนดีกับเพื่อนได้แล้ว อาการจึงหายเป็นปลิดทิ้ง

จากที่พี่ต้นพูดให้ฟัง นั่นจะเป็นอาการที่เกิดในช่วงวัยรุ่นที่ฮอร์โมนยังไม่เข้าที่เท่านั้น 

กระสือนี่ก็วุ่นวายกว่าที่คิดนะเนี่ย…

ส่วนฉากดราม่าเร้าอารมณ์ตอนคืนดีกันของพวกเขาผมจะไม่พูดถึงแล้วกัน เพราะยังไงแค่จบเคสได้ผมก็พอใจแล้วล่ะ

จะขัดใจก็ตรงที่โดนเบรกตอนเครื่องติดเอาดื้อๆนั่นแหละ 

ทำหายที่ห้องเปลี่ยนเสื้อมันก็ต้องอยู่ที่ห้องเปลี่ยนเสื้อไม่ใช่เรอะ? ไปหาอีท่าไหนถึงหาไม่เจอกันล่ะนั่น? ขนาดยัยสไปรท์ยังหาเจอเลยนะว้อย!

“รู้สึกหมดไฟทำงานไงไม่รู้สิคะ…”

“อย่าพูดน่า…”

ผมกับพลอยซึมเป็นส้วมกันอยู่ในสภา ตอนนี้ก็เป็นช่วงเย็นหรือก็คือช่วงเวลาทำงานหลัก ส่วนตอนพักเที่ยงก็เหมือนเป็นงานเสริม

กระนั้น สภาพของพวกผมตอนนี้ก็ไม่พร้อมทำงานอย่างสิ้นเชิง

และแล้ว พี่ต้นก็เข้ามาในสภา ทั้งๆที่ปกติพี่เขาควรจะไปช่วยงานชมรมกีฬาหญิงแท้ๆ คงรู้สึกกังวลเกี่ยวกับท่าทีของพวกผมตอนพักเที่ยงล่ะมั้ง…

“ไหวมั้ยเนี่ย…ทั้งสองคน”

พวกผมรับคำถามของพี่ต้นด้วยการพยักหน้าแบบขอไปที

“อย่าคิดมากสิ ถึงเคสนี้จะไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่ แต่ก็มีตั้งหลายเคสที่น้องประธานกับน้องพลอยช่วยกันแก้ปัญหาไม่ใช่เหรอ?”

“แหมๆ พี่ต้นไม่ต้องให้กำลังใจก็ได้ครับ …แค่รู้สึกเฟลนิดหน่อย เดี๋ยวเดียวก็หายครับ…”

“ขอบคุณนะคะ …แต่ก็อย่างที่ประธานว่าแหละคะ เดี๋ยวเดียวก็หาย…”

“ระ เหรอ มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้นะ พี่แค่เป็นห่วงเฉยๆ …งะ งั้นไว้เจอกันนะ พี่ต้องไปช่วยชมรมอื่นน่ะ”

““คร้าบ/ค่า””

และแล้วก็จบเคสกระสือไปอย่างง่ายดายจนน่าใจหายทั้งๆแบบนี้…ด้วยความสังกะตายของซาตานกับผีนางรำนี่แหละ

เคสที่ 13 พักกลางวัน (กระสือ) /จบ

สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ

สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ

Score 10
Status: Completed
คริสโตเฟอร์ ลูกชายของซาตาน ผู้ที่ลงมายังภพมนุษย์และศึกษาอยู่ในโรงเรียนสำหรับภูติผี ...หะ? ว่าไงนะ? โรงเรียนที่ว่านั่น เจ้าลูกชายซาตานเป็นประธานนักเรียนด้วยอย่างงั้นเหรอ!? แล้วยังงี้คริสโตเฟอร์ที่ต้องมานั่งแก้ปัญหาหนักอกหนักใจของวัยรุ่นเชื้อสาย 'ผีไทย' จะทำยังไงเนี่ย!?

Options

not work with dark mode
Reset