สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ 20 เคสที่ 10 นรก

ตอนที่ 20 เคสที่ 10 นรก

ช่วงหลังๆมานี่ เริ่มจะรู้สึกว่าชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ของผมจะเริ่มหลังจากหมดคาบเรียนสุดท้ายยังไงไม่รู้สิ

คาบเรียนที่ง่ายเกินไปจนแทบไม่ต้องให้ความสนใจมากนัก ฟังผ่านๆก็ทำข้อสอบได้ แถมสุดท้ายก็ไปอ่านเนื้อหาซ้ำอีกรอบก็จะได้คะแนนเต็มอย่างไม่ยากเย็นนั้น ไม่เรียกว่าการใช้ชีวิตเท่าไหร่

สำหรับผมแล้ว ช่วงที่มีชีวิตชีวาที่สุดน่ะ ก็คือช่วงที่รอช่วยเหลือเคสๆต่างในห้องสภานั่นแหละ

ด้วยเหตุนั้น หลังเลิกเรียน ผมจะรีบไปห้องสภาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงบางวันจะเป็นแค่วันว่างๆที่ไม่มีเคสอะไรให้ทำเลยก็ตาม แต่ผมก็ชอบอยู่ที่นั่นมากกว่า

สถานที่ของตัวเอง คงหมายถึงอย่างนั้นสินะ…

‘…เรียนเชิญนายคริสโตเฟอร์ วิลเลี่ยม มาหาครูใหญ่ที่ห้องด่วน…’

“ตอนนี้เนี่ยนะ!?”

ผมโมโหจนเผลอทุบกำแพงอย่างแรง

กำแพงโดนแรงกระแทกจนยุบลงไป อืม…ทรัพย์สินของโรงเรียนนี่นะ เอาเถอะ ไว้ค่อยไปจ่ายค่าเสียหายทีหลัง

สายตานักเรียนรอบๆหันมามองเป็นตาเดียว ไม่รู้ประหลาดใจที่ผมโดนครูใหญ่เรียกหรือตกใจที่ผมทุบกำแพงจนแตกกันแน่

“เฮ้อ…มาคิดดูดีๆ ค่าเสียหายก็ค่อยให้เจ้านั่นจ่ายก็แล้วกัน”

ผมพึมพำไปแบบนั้น เพราะคนที่ทำให้ผมโมโหได้ก็มีอยู่ไม่กี่คนนักหรอก

และคนที่ว่าก็เป็นคนที่อยากเจอผมตอนนี้ด้วยนั่นแหละ

จะบอกว่าผมไม่ผิดที่ทำลายทรัพย์สินโรงเรียนก็ได้ บรรยากาศมันพาไปนี่นะ

…แล้วเล่นมาเรียกกันก่อนจะเริ่มเวลาชมรมแบบนี้น่ะ ผมก็ต้องปล่อยให้พลอยคุมห้องสภาแทนน่ะสิ

“หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะ …เจ้าครูใหญ่นั่น”

ผมกุมขมับก่อนที่จะมีเสียงเรียกซ้ำอีกรอบจนแทบอยากจะทุบลำโพง

 

…ห้องครูใหญ่จะอยู่เลยห้องพักครูและมุ่งตรงไปทางระเบียงทางเดินของชั้นบนสุดตึกเรียน 

ผมมาที่นี่หลายครั้ง หลักๆก็โดนเรียกตัวคล้ายๆอย่างนี้แหละ …และที่ผ่านมาก็โดนเรียกแต่เรื่องเดิมๆ คิดว่าวันนี้ก็คงเป็นเรื่องนั้นด้วยเหมือนกัน

เมื่อเปิดประตูห้องครูใหญ่แบบไม่มีความเกรงใจ ชายหนุ่มด้านในก็เอ่ยทัก

“คริสโตเฟอร์! มาแล้วเหรอ!? นั่งก่อนสิ!”

“อารมณ์ดีจังนะครับ ไปเจอเรื่องอะไรดีๆมาเหรอครับ?”

“แหมๆ แค่ได้เจอเธอก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วล่ะ”

“…แต่สำหรับผมแล้วไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่เลยนะครับ”

“พูดกับครูใหญ่ให้มันดีๆหน่อยสิ เธอเป็นถึงประธานนักเรียนเลยนะ?”

“แล้วคิดว่าคนที่ยัดเยียดตำแหน่งนี้ให้ผม มันคือใครกันล่ะครับ?”

“นี่ๆ อย่ามาโบ้ยครูนะ คนที่อยากให้เธอเป็นประธานคือประธานนักเรียนรุ่นที่แล้วต่างหาก ครูไม่เกี่ยวสักหน่อย”

“แต่คนที่ริเริ่มตั้งสภานักเรียนแต่แรกก็ครูใหญ่ไม่ใช่เหรอครับ?”

ครูใหญ่ฟังแล้วก็กุมคาง

“อืม~ ก็จริงนะ ทำไงได้ล่ะ สาขาอื่นเขาลงมติกันแบบนี้นี่นา? ลงท้ายสภานักเรียนก็เกิดขึ้นมาก็เพราะมตินั้นนั่นแหละ”

อย่างที่ได้ยิน สภานักเรียนในปัจจุบันก็ได้ย่างเข้าปีที่สี่แล้วหลังจากเริ่มก่อตั้งมาได้ ช่วงนั้นผมพึ่งอยู่มอสองเอง ส่วนตอนนั้นประธานนักเรียนก็ไม่ใช่ผมหรอก ผมพึ่งมาเป็นได้เมื่อไม่นานมานี้เอง

“ช่างเรื่องสภาไปก่อนเถอะครับ ที่สำคัญ…เธอมาทำอะไร?”

ผมหันสายตาไปมองเด็กสาวที่นั่งอยู่ริมห้อง

เธอดันแว่นเบาๆ

“สวัสดี คริสโตเฟอร์”

เด็กสาวหัวหน้าชมรมข่าวสวมแว่นหนาเตอะเอ่ยทักเช่นนั้น วันนี้ก็ยังใส่ชุดคล้ายนักข่าวแบบขาดๆเกินๆตามเคย

“รบกวนช่วยเรียกว่าประธานด้วย”

“ห่างเหินไปเปล่า? ถึงฉันจะเคยเป็นลูกเคสนายอยู่ครั้งนึงก็เถอะ แต่พวกเราก็สนิทกันนี่?”

สนิทกันงั้นเหรอ …ก็ไม่ขนาดนั้นแฮะ เคยเห็นหน้าผ่านๆและก็ได้คุยกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง ส่วนสถานที่ที่ได้เจอส่วนใหญ่ก็ห้องครูใหญ่นี่แหละ

ไม่รู้ทำไมครูใหญ่ถึงมีธุระกับชมรมข่าวตลอด คงเป็นประเด็นเรื่องการประชาสัมพันธ์อะไรพวกนั้นล่ะมั้ง?

เด็กสาวถอนหายใจพลางยิ้มบางๆ

“ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันขอตัวก่อนดีกว่า ไว้เจอกันนะคะ ครูใหญ่”

ครูใหญ่ก็พยักหน้ารับ

และเธอก็หันมาหาผม ขยิบตาเบาๆ

“ไว้เจอกันนะ ประธานนักเรียน”

“อืม ไว้เจอกัน หัวหน้าชมรมข่าว”

เมื่อเธอออกไปจากห้อง ครูใหญ่ก็ถามด้วยความฉงน

“ครูสงสัยมาสักพักแล้วล่ะ คริสโตเฟอร์จำชื่อเด็กคนนั้นได้รึเปล่า?”

“จำได้สิครับ …แค่เห็นว่าไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่”

“เป็นประธานนักเรียนก็หัดมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนคนอื่นบ้างสิ เธอจะคลุกอยู่กับสมาชิกสภาอย่างเดียวไม่ได้นา?”

“ปัญหาของผม เดี๋ยวผมจัดการเองครับ ครูใหญ่ไม่ต้องห่วงหรอก”

“เหมือนจะบอกว่าครูไปเผือกไงไม่รู้สิ?”

“ผมไม่ได้พูดนะ …แล้วสรุปมีเรื่องอะไรกันแน่ครับ? ผมต้องรีบไปสภาต่อ”

ครูใหญ่ก็กอดอก

“ที่จริงครูมีเรื่องจะขอให้ช่วยน่ะ”

เอาแล้วไง…

มีความรู้สึกว่าจะไปลงท้ายที่อีหรอบเดิม ทั้งๆที่ผมปฎิเสธไปหลายรอบแล้วแท้ๆ

แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องนั้น ผมต้องขอติเรื่องการแต่งกายของครูใหญ่คนนี้ซะหน่อย รู้สึกจะเตะตามาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว

“ทำไมครูถึงอยู่ในสภาพนั้นล่ะครับ?”

“หมายถึงเสื้อฮาวายนี่เหรอ?”

“ใช่ครับ…”

ผมหรี่ตามอง

ครูใหญ่ชายวัยกลางคนที่หน้าตาเรียบๆไม่มีจุดเด่น สีผมดำสนิท ตามปกติก็แต่งตัวไม่ค่อยจะเข้าร่องเข้ารอยอยู่แล้ว แต่รอบนี้มันเหนือกว่าที่คาดไว้ไปไกลเลย

พอเข้าใจอยู่หรอกว่าทำไมการแต่งกายของโรงเรียนนี้ถึงไม่เข้มงวดมาก เพราะขนาดตัวครูใหญ่เองยังไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไหร่

แต่ถึงขั้นใส่เสื้อฮาวายมาเลยนี่มันก็…

“เธออาจจะไม่รู้นะ แต่ครูพึ่งกลับมาจากหยุดพักร้อนกับครอบครัวน่ะ”

“ถ้างั้นก็พอเดาออกเลยว่าไปเที่ยวที่ไหนมา…”

คงมีอยู่ไม่กี่ที่หรอกที่จะใส่เสื้อฮาวายที่ค่อนข้างจะหมดยุคไปสักพักแล้วได้หน้าชื่นตาบานแบบนั้น 

“พูดถึงไปเที่ยวก็ต้องของฝากใช่มั้ยล่ะ? ครูมีของมาฝากพวกเธอสภานักเรียนด้วย”

“เป็นถึงครูใหญ่ ทำแบบนั้นไม่ถือว่าลำเอียงหรือไงครับ?”

“ให้ครูซื้อมาฝากเด็กทั้งโรงเรียนก็ไม่ไหวหรอก ครูไม่ได้มีเงินถุงเงินถังด้วยสิ …ถ้าเธอรู้สึกไม่ดีก็ช่วยเหลือนักเรียนให้มากขึ้นก็แล้วกัน”

กลายเป็นโดนโยนภาระมาให้ซะงั้น ให้ตายสิ ผมไม่ได้เป็นขอของฝากพวกนี้สักหน่อย

เมื่อนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะครูใหญ่ อีกฝ่ายก็เอื้อมลงไปหยิบของฝากขึ้นมาและยื่นให้

ผมหรี่ตามองของในถุง

“แม่กิมล้วย… เหรอครับ?”

“ของฝากก็ต้องแบบนี้อยู่แล้วสิ? เธอคิดว่าครูไปเที่ยวที่ไหนมาล่ะ?”

“คิดว่าไปต่างประเทศน่ะครับ”

“ฮะฮะ! ก็บอกอยู่ว่าครูไม่ได้มีเงินขนาดนั้น แค่ไปต่างจังหวัดก็แทบจะกินมาม่าไปทั้งเดือนแล้ว”

“งั้นครูเอากลับไปเถอะครับ ผมรับไว้ไม่ได้หรอก”

“จะบ้าเหรอ ผู้ใหญ่ให้ของก็ต้องรับสิ เธออยู่ไทยมาตั้งนานไม่รู้หรือไง?”

“ไอ้รู้มันก็รู้ครับ แต่ผมทนเห็นลูกครูกินมาม่าทั้งเดือนไม่ไหวจริงๆ อย่างน้อยเอาของพวกนี้กลับไปให้ลูกครูกินเถอะ…ครับ!”

ผมที่โดนครูใหญ่ยัดเยียดถุงแม่กิมล้วยให้ก็ออกแรงดันกลับสุดชีวิต

“เอาๆไปเถอะน่า! ก็บอกว่าครูซื้อมาฝากไงเล่า!”

“ก็บอกอยู่ว่าไม่เอาไงครับ!”

แรงจะเยอะไปไหนเนี่ย? นี่เล่นดันสู้แรงผมได้ก็ไม่ธรรมดาแล้วนะ …ถึงผมจะไม่ได้ใส่เต็มแรงก็เถอะ

ผมจำใจต้องรับถุงของฝากอย่างเสียไม่ได้

“แรงเยอะจังนะครับ…”

“ก็ครูออกกำลังกายทุกวันนี่นา?”

“ก็ดีครับ …แต่ยังไงก็คงสู้สิ่งมีชีวิตลี้ลับไม่ได้อยู่ดี”

“แหม มนุษย์ก็งี้แหละ ได้เท่าไหนก็ต้องใช้เท่านั้นล่ะนะ”

ครูใหญ่ก็พูดเหมือนน้อยใจเล็กน้อย

และนี่ก็คือครูใหญ่ประจำโรงเรียนอาคมจิตตวิทยาสาขาที่หนึ่ง ครูใหญ่สมศักดิ์ มนุษย์เดินดินธรรมดา

ผมน่าจะเคยพูดไปแล้วว่าบุคลากรส่วนใหญ่ในโรงเรียนนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตลี้ลับด้วยกันทั้งนั้น และที่บอกว่าส่วนใหญ่ นั่นก็เพราะยังมีส่วนเล็กๆที่เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา

ยกตัวอย่างก็คือครูใหญ่คนนี้

ผมรับถุงของฝากเอาไว้พร้อมลุกขึ้น ที่จริงก็คือจะรีบตัดบทให้เสร็จๆนั่นแหละ

“งั้นก็ขอบคุณสำหรับของฝาก ผมขอตัวไปห้องสภาก่อนนะครับ…”

วินาทีนั่นเองที่ครูใหญ่วิ่งจากโต๊ะและมาโผล่ด้านหน้าผมในพริบตา พร้อมทั้งล็อคประตูห้องอย่างรวดเร็ว

“จะรีบกลับไปไหนเล่า? สภานักเรียนมันไม่หนีเธอไปหน่อยหรอกน่า”

“ผมแจ้งข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวได้เลยนะครับ?”

“กักขัง? บ้ารึเปล่า ครูก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เธอกลับสักหน่อย อยากกลับก็กลับไปสิ”

ผมถอนหายใจและพยายามเดินเลี่ยงครูใหญ่ที่บังอยู่หน้าประตู

…ผมหลบซ้าย ครูใหญ่เขยิบไปขวา 

…ผมหลบขวา ครูใหญ่เขยิบไปซ้าย

อย่างกับวิ่งหนีตัวเองในกระจก

“โทษที …คือถ้าครูยังบังแบบนี้ ผมก็ออกไม่ได้น่ะสิ”

“งั้นเหรอ? แย่เลยนะเนี่ย ถ้างั้นมานั่งคุยกันก่อนเถอะ!”

“…บ้าจริง”

“นั่งก่อนสิ! เดี๋ยวครูเอากาแฟให้!”

โดนมัดมือชกเป็นที่เรียบร้อย 

เฮ้อ…ช่างเถอะ ไปนั่งคุยสักหน่อยก็แล้วกัน ถึงยังไงก็คงจะขอเรื่องเดิมๆนั่นแหละ ส่วนผมก็แค่ปฎิเสธอีกรอบก็พอ…

 

“คริสโตเฟอร์ก็จำได้ใช่มั้ยล่ะ? ครูเคยไปโม้กับเพื่อนๆของครูว่าครูรู้จักกับลูกชายของซาตานน่ะ”

“ซูด…”

“แล้วที่นี้นะ เจ้าพวกนั้นก็ชอบพูดเรื่องนรกสวรรค์กันอย่างโน้นอย่างนี้ บอกว่าเคยเห็นมาแล้วบ้าง เคยไปมาแล้วบ้าง ซึ่งครูก็ค่อนข้างแน่ใจเลยล่ะว่าเจ้าพวกนั้นแค่มโนกันไปเอง”

“ซูด…”

“แล้วที่นี้นะ พอครูไปเถียงมากๆเข้า ก็จนแต้ม …ครูเลยพูดออกไปว่า ‘ฉันน่ะนะ! รู้จักกับลูกของซาตาน ก็อีแค่นรกน่ะ ก็ต้องเคยไปอยู่แล้วสิ!’ แบบนั้นน่ะ”

“ซูด…”

“นี่เธอฟังอยู่ใช่มั้ย?”

“อ๊ะ… อ๋อครับ ฟังอยู่ครับ”

จะบอกว่าฟังก็ไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะที่ครูใหญ่พูดก็เรื่องเดิมๆนั่นแหละ ผมฟังมาจะร้อยรอบได้

ครูใหญ่ที่ถือวิสาสะไปป่าวประกาศว่าเคยเห็นนรกให้เพื่อนๆฟัง เป็นเพราะอารมณ์อยากอวดฉลาดหรือว่าอะไรก็ไม่รู้แหละ แต่ก็คงจะเป็นราวๆหมั่นไส้ที่เจ้าพวกนั้นพูดถึงนรกสวรรค์กันผิดๆถูกๆล่ะมั้ง?

และด้วยความที่ตัวเองมีลูกศิษย์เป็นถึงลูกของซาตาน ก็เลยปากโป้งไปบอกว่าผมเคยพาพี่แกไปนรกมาแล้ว

แต่เพราะผมก็ไม่เคยพาไปเลยสักครั้ง ลงท้ายหลังจากโกหกไปแบบนั้น ก็โดนเหล่าเพื่อนๆรุมทึ้งจับผิด

สุดท้ายกรรมก็เลยมาตกที่ผม 

เพราะเรื่องที่ครูใหญ่จะขอก็คือ…

“ก็ตามนั้นแหละ เธอช่วยพาครูไปนรกหน่อยสิ”

…อืม เขาคิดว่าถ้าได้ไปเห็นสักครั้งก็จะไปเถียงกับเพื่อนๆได้แบบเต็มภาคภูมิ แถมต่อให้โดนจับผิดก็ไม่กลัว 

และนั่นก็เป็นจุดที่ผมต้องมารับเคราะห์ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ที่ครูใหญ่เอาแต่ตะล่อมให้ผมพาไปนรกให้ได้

ก็นะ ในมุมผมก็ถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระนั่นแหละ ถ้าจะโดนจับได้ว่าโกหกก็ขอโทษไปให้จบๆซะสิ ที่จริงตัวครูแหละผิดเองที่ไปโกหกพล่อยๆ

ว่าแต่กาแฟที่ครูใหญ่ชงนี่อร่อยเหมือนเดิมเลยแฮะ ซดจนหมดแก้วยังรู้สึกอยากดื่มต่ออยู่เลย…

ครูใหญ่สมศักดิ์สังเกตสีหน้าผมก่อนคลี่ยิ้ม

“แหมๆ อยากเติมก็ไม่บอก ถ้าเป็นเธอล่ะก็ ครูเติมให้ได้ตลอดแหละ!”

“ขอบคุณครับ …แต่ยังไงผมก็ไม่พาครูนรกแน่ๆครับ”

“กาแฟก็เติมแล้ว ของฝากไปให้เพื่อนที่สภาก็ได้แล้ว …เหลืออะไรอีกน้า…อ๋อ! พาครูไปนรกไง!”

พูดเองเออเองซะเสร็จศัพท์เลยนะ หมอนี่…

“ผมกลับได้ยัง?”

“อ๋อ! พาครูไปนรกไง!”

“คนสติดีๆที่ไหนเขาจะอยากไปนรกกันบ้างหา!?”

ผมตะคอกใส่ครูใหญ่ที่แกล้งทำเป็นพูดซ้ำไปแบบนั้น

ครูใหญ่ฟังแล้วก็ทำหน้าจ๋อย

“คริสโตเฟอร์จะไม่ช่วยครูจริงๆเหรอ…”

“นั่งให้มันดีๆหน่อยสิครับ”

พี่แกเอาแก้มแนบกับโต๊ะพร้อมเอ่ยอย่างหมดอาลัยตายยาก จนผมต้องตำหนิ

“ครูไม่อยากโดนตราหน้าว่าเป็นคนโกหกหรอกนะ…”

“ถ้างั้นก็อย่าโกหกแต่แรกสิ คือผมก็เข้าใจอยู่หรอกว่ามนุษย์ไม่มีทางอยู่ได้ถ้าไม่โกหก …แต่ถ้าทำไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบตัวเองสิครับ”

“หว๋าย จะเข้าโหมดขี้บ่นแล้วเหรอ? ขอครูไปหยิบที่อุดหูแป๊บนึง”

“เฮ้อ…”

คุยด้วยแล้วปวดขมับชะมัด …นี่ผมคุยอยู่กับครูใหญ่หรือเด็กเอาแต่ใจน่าหมั่นไส้อยู่กันเนี่ย?

ครูใหญ่เชิดหน้าขึ้นก่อนยกมือไหว้

“ขอล่ะ! บอกเลยว่าขอแค่รอบเดียวเท่านั้น! แล้วครูจะไม่ขออะไรเธออีกเลย!”

“อายุตั้งปูนนี่แล้ว แถมยังเป็นถึงครูใหญ่ มายกมือไหว้นักเรียนแบบนี้ได้ไงเฮ้ย?”

ผมพูดจบ ครูใหญ่ก็ทำหน้าเอ๋อๆ

“เธอเป็นซาตานที่ไม่มีอายุแน่ชัดไม่ใช่เหรอ?”

“ผมอายุสิบเจ็ดครับ…”

“อายุแค่นั้น ทำตัวยังไงถึงต้องให้ผู้หลักผู้ใหญ่มายกมือไหว้เนี่ย? พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอนเหรอ?”

“แล้วตูไปบีบคอให้ไหว้หรือไงหา!?”

 

วันนี้โดนตื้อกว่าปกติหลายเท่า จนเวลาชมรมเริ่มไปนานแล้วผมก็ยังไม่ถึงห้องสภา ได้แต่นั่งเหม่อๆอยู่ในห้องครูใหญ่แบบไร้แก่นสาร

ดูเหมือนถ้าไม่พาไปให้ได้ มีหวังไม่ได้ออกจากห้องแน่

“ทำไมวันนี้ตื้อกว่าทุกทีครับเนี่ย? ครั้งก่อนๆเห็นยอมปล่อยไปง่ายกว่านี้เยอะเลย”

“อ๋อ …วันอาทิตย์ที่จะถึง พวกเพื่อนๆครูจะมาปาร์ตี้ที่บ้านน่ะสิ”

“หืม…”

“แล้วครูก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วด้วย โดนจับผิดทุกครั้งที่เจอกัน พอไปอึกอักทุกรอบก็เริ่มจะโดนเหม็นขี้หน้าแล้วล่ะ…”

น่าอนาถใจจริ๊ง…

น้องๆหนูๆคนไหนคิดจะโกหกอะไรก็คิดให้ดีๆก่อนล่ะ อย่างหมอนี่เป็นถึงครูใหญ่ยังพลาดโง่ๆแบบนี้เลย อย่างน้อยก็หามาตรการรับมือการโกหกของตัวเองไว้หน่อยก็ยังดี

ถึงจะหาไม่ได้ ก็อย่าให้ไปเดือดร้อนคนอื่นก็พอ…

และคนที่เดือดร้อนตอนนี้ก็คือผมนี่แหละ

“คืองี้นะครับ ต่อให้นรกเป็นบ้านเกิดผมก็เถอะ แต่จะให้เอาคนเป็นๆไปเที่ยวน่ะ เผลอๆจะโดนทางนรกกักตัวไว้แล้วไม่ได้กลับมาอีกเลยก็ได้นะครับ”

“ครูพร้อมเสี่ยง!”

“ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เสี่ยงไม่เสี่ยงครับ …ถ้าครูต้องไปติดคุกของนรกขึ้นมา อย่าว่าแต่เพื่อนที่จะไม่ได้เจอเลยครับ ผมคงได้ฝังศพครูต่อด้วยแน่”

“โห นรกนี่น่ากลัวจังเลยนะเนี่ย”

“เข้าใจแล้วสินะครับ?”

“แต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าโดนคนอื่นมองว่าเป็นพวกชอบโกหกหรอก!”

“……”

สมองหมาปัญญานิ่มจริงๆ

เอาไงดีล่ะเนี่ย เล่นโดนเรียกให้มาหาแทบจะตลอดแบบนี้ก็ทำเอาเครียดสะสมอยู่เหมือนกัน แต่ครั้นจะตัดปัญหาด้วยการพาไปให้จบๆก็ไม่ได้ด้วยสิ

ถึงจะเห็นยังงี้ ผมก็เป็นห่วงครูใหญ่พอตัวนะ 

หน้าที่การงานก็ดี ครอบครัวก็มี ถ้ายังไม่ถึงวันตาย ผมก็ไม่อยากเอาตั๋วเที่ยวเดียวไปนรกให้พี่แกหรอก…

ให้ตายสิ

“แค่ดูเฉยๆพอมั้ยครับ…”

“หือ?”

“ผมจะเอานรกให้ดู… แค่นี้พอมั้ยครับ?”

ครูใหญ่ยิ้มกว้าง

“จริงเหรอ!? ขอบคุณมากนะ! คริสโตเฟอร์!”

“แล้วหลังจากนี้ถ้ายังมาตื้อผมให้พาไปนรกอีก โดนชกแน่ครับ”

“ฮะฮ่า! แล้วไอ้พวกหน้าส้นตีนนั่นก็จะจับผิดครูไม่ได้อีกแล้ว! จะสวนให้หงายเก๋งไปเลย! นรกน่ะตูเคยเห็นมาแล้วเฟ้ย!!!”

ดูเหมือนจะสะใจล่วงหน้าที่จะได้เถียงกับเจ้าพวกนั้นซะเต็มที่เลยนะ

ผมถอนหายใจพลางเอ่ย

“กระจกแห่งความวุ่นวาย…จงสะท้อนภาพภพภูมิแห่งข้า …‘เฮลมิร์เรอร์’”

สิ้นเสียง กระจกหกเหลี่ยมลวดลายประหลาดน่าขนลุกก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ 

เป็นความสามารถที่ผมไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ เพราะหลักๆก็เหมือนใช้แทนเฟสไทม์เพื่อคุยกับนรกเท่านั้นเอง

แต่ก็พอให้ครูใหญ่คนนี้ได้เห็นนรกของจริงล่ะนะ

“เห…แค่มองเข้าไปในนี้ก็จะเห็นนรกแล้วเหรอ?”

“ก็ใช่ครับ”

“ครูขอถ่ายรูปเก็บไว้ได้มั้ย? ถ้ามีหลักฐานชัดๆล่ะก็ เจ้าพวกนั้นได้รูปซิบปากกันแน่นอน!”

ครูใหญ่พูดพร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยใบหน้าแจ่มใส

ผมครางในลำคอ

“อ่า…ถ้าถ่ายไหวก็เอาเลยครับ”

“???”

ถึงจะสงสัยในคำพูด แต่ครูใหญ่ก็รุดหน้าเข้าใกล้เฮลมิร์เรอร์โดยทันที

ก่อนที่จะมองเข้าไป ผมก็ดึงไหล่ไว้ก่อน

ครูใหญ่หันกลับมา

“ถ้าจะห้ามครูตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะ?”

“มาถึงขนาดนี้ก็ไม่ห้ามแล้วล่ะครับ …แค่จะเตือนว่าถ้าไม่ไหวก็ให้หยุดดูทันทีเลยนะครับ แล้วก็อย่าดูนานเกินไปด้วย”

“นี่ๆคริสโตเฟอร์ คือครูอะนะ ชอบดูหนังสยองขวัญเป็นชีวิตจิตใจเลยล่ะ กะอีแค่นรกน่ะ ไม่มีอะไรที่ทำให้ครูกลัวได้หรอก”

“ของจริงกับของแต่งมันเหมือนกันที่ไหนเล่า…”

“เฮ้อๆๆ เธอนี่น้า อย่าห่วงไม่เข้าเรื่องนักสิ”

ว่าแล้วครูใหญ่ก็มองเข้าไปในกระจกด้วยความตื่นเต้น

“ไหนๆ มันจะเป็นยังไงกันน้า~”

ผมก็ได้แต่เฝ้ามองโดยแฝงความเป็นห่วงเล็กๆ

“หือ?”

ทีแรกก็เป็นน้ำเสียงสงสัย

“โอ้!”

ต่อมาก็ดีใจ

“โอ้…”

รู้สึก โอ้ แรกกับ โอ้ หลังนี่ อารมณ์จะคนละขั้วกันเลยนะนั่น?

“พอได้แล้วมั้งครับครู…”

วินาทีถัดมา ผมก็มองเห็นสีหน้าครูใหญ่ค่อยๆเปลี่ยนแปลง …ที่เห็นชัดๆคือหน้าซีดลงเรื่อยๆ

มุมปากที่ยกขึ้นด้วยความปิติ เริ่มพลิกกลับลงด้านล่าง

จนในที่สุด…

“วะ เหวอ!!!”

“ครูครับ?”

“อะ อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!”

บรรลัยแล้วไง ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้

ครูใหญ่ดันกระจกออกและกุมหน้า ลงไปดิ้นที่พื้นราวกับทากโดนโรยเกลือ

“ก็บอกแล้วนี่ครับว่าอย่าดูนานไป…”

“อะ…อะออะะคะ…คะ ะคะคิริสโตอฟร์!”

กลายเป็นคนติดอ่างไปเลย …หัวตูจะปวด

ถึงผมจะกำเนิดจากนรก แต่นั่นก็เป็นสถานที่ที่เหนือจินตนาการของมนุษย์ การที่มนุษย์จะจ้องมองสิ่งนั้นที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งก็จะได้สิ่งเดียวกันกลับมา

อย่างที่เขาว่า เมื่อเราจ้องไปในความมืด ความมืดก็จะจ้องเรากลับมาเช่นกัน…

โอ๊ะ ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนั้นนี่นา

“อะ เอ่อ…ครูใหญ่ครับ…”

“วะ เหวอ!? เขา มีเขาด้วย!! ไม่เอา!! ไม่อยากตาย! ช่วยด้วย!!”

…เล่นมองมาบนหัวผมแล้วพูดอย่างนั้นก็แอบเคืองอยู่นะเนี่ย เขานี่ผมก็ได้มาตั้งแต่เกิดแล้วนะ…

ใช้มนตราลบความจำซะดีมั้ยนะ? …อืม ช่างเถอะ ดูจากความรุนแรงของการเสียสติ อีกวันสองวันก็คงกลับเป็นปกติล่ะมั้ง?

ผมคิดเช่นนั้น แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นแค่มุมมองของซาตานที่คลุกคลีอยู่กับนรกมาตั้งแต่เกิด…

 

อยู่ในช่วงสรุปเรื่องราว

…หลังจากวันนั้น ครูใหญ่ก็ต้องพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ‘หนึ่งเดือน’ เต็มๆ

เออ ฟังไม่ผิดหรอก หนึ่งเดือนนั่นแหละ

ในช่วงเวลานั้นผมก็หาวันว่างๆแวะไปเยี่ยมบ้าง แต่ตอนที่อาการยังไม่สู้ดี ครูใหญ่เห็นผมที่มีเขาสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ทีไร ก็จะกลับไปแหกปากร้องทุกครั้ง

จนสุดท้ายก็แก้ปัญหาด้วยการสวมหมวกมาซะเลย

“ผมมาเยี่ยมครับ…”

“คริสโตเฟอร์เหรอ…”

“ครับ”

ครูใหญ่เหม่อมองไปที่หน้าต่างห้อง แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องสะท้อนใบหน้า

“นรกนี่น่ากลัวจังเนอะ…”

“เฮ้อ…ผมก็เตือนจนไม่รู้จะเตือนยังไงแล้วนี่ครับ”

“แต่ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเลยล่ะนะ”

เกือบเสียสติจนกลายเป็นคนพิการ ที่ออกจากปากคือประโยคนี้เนี่ยนะ?

บางทีผมก็พิศวงในความแข็งแกร่งด้านจิตใจของมนุษย์เหมือนกัน…

“…ครูจะไม่ขอไปเฉียดกับนรกอีกแล้วล่ะ”

“ถ้าคิดอย่างนั้นก็ทำตัวดีๆแล้วกันครับ”

“ฮะฮะ ครูจะพยายามนะ”

“แล้ว…พวกเพื่อนๆครูได้ถามถึงนรกอีกรึเปล่าครับ?”

“ตอนพวกเขาแวะมาเยี่ยมครู ก็โดนถามอยู่เหมือนกัน”

“แล้วครูตอบไปว่าไง?”

“บอกไปว่า ‘นรกจะเป็นไงก็ช่างหัวมันเถอะ!’ น่ะ”

อืม อย่างน้อยก็แน่ใจแล้วว่าต่อจากนี้ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนขอให้พาไปนรกอีกแล้ว นับเป็นเรื่องดี

นี่แค่เห็นเฉยๆยังเป็นขนาดนี้ แล้วถ้าผมพาไปจริงๆจะอาการหนักขนาดไหนกันเนี่ย?

คิดไปถึงตรงนั้นก็อยากถอนหายใจเลย

“งั้นก็…หายเร็วๆนะครับ ผมขอตัว”

ผมยกมือไหว้และเตรียมออกจากห้องพักโรงพยาบาล

แต่แล้วก็โดนรั้งตัวไว้ด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน

“นี่คริสโตเฟอร์”

“ครับ?”

ครูใหญ่จิ้มนิ้วไปมา

“ยะ อย่าว่างั้นงี้เลยนะ…เธอช่วยลบความจำให้ครูหน่อยได้มั้ย? ภาพที่เห็นมันติดตาจนไม่รู้ว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้อีกรึเปล่าเลยล่ะ…”

เฮ้อ…มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ล่ะนะ

ส่วนผมจะลบความทรงจำให้ครูเขาหรือไม่ ก็ไว้ว่ากันทีหลัง 

เอาความสนใจไปโฟกัสกับนักเรียนที่ผมจะช่วยเหลือในปัจจุบันดีกว่า

อ๋อ! จริงสิ สำหรับใครที่อยากเห็นนรกกับตาอีกล่ะก็ ผมไม่เกี่ยงหรอกนะ มาหาผมได้เสมอ

แค่เตรียมใจไว้ดีๆก็แล้วกัน

เคสที่ 10 นรก /จบ

สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ

สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ

Score 10
Status: Completed
คริสโตเฟอร์ ลูกชายของซาตาน ผู้ที่ลงมายังภพมนุษย์และศึกษาอยู่ในโรงเรียนสำหรับภูติผี ...หะ? ว่าไงนะ? โรงเรียนที่ว่านั่น เจ้าลูกชายซาตานเป็นประธานนักเรียนด้วยอย่างงั้นเหรอ!? แล้วยังงี้คริสโตเฟอร์ที่ต้องมานั่งแก้ปัญหาหนักอกหนักใจของวัยรุ่นเชื้อสาย 'ผีไทย' จะทำยังไงเนี่ย!?

Options

not work with dark mode
Reset