+ +
หลังจากนั่งจ่อมกันอยู่ในห้องสภารอหมดเวลาชมรม จนแล้วจนรอดพี่น้ำกับสไปรท์ก็ไม่โผล่หน้ามา ก็ได้เวลากลับบ้านกลับช่องเสียที
ถ้าไม่นับพี่ต้นที่ขอตัวกลับไปก่อน ก็อยู่กันสามคนเหมือนเดิมเลยนะเนี่ย…
แอบกังวลเรื่องพี่ต้นอยู่นิดหน่อย เราจะพอช่วยอะไรเรื่องเด็กเกเรพวกนั้นได้บ้างมั้ยน้า
หรือวันนี้ยกพวกไปหาพี่เขาที่บ้านดี? ลากพลอยกับดิวไปด้วยนี่แหละ อย่างน้อยก็ซื้อของไปฝากแล้วก็นั่งคุยเล็กๆน้อยๆตามประสาสภานักเรียน ก็น่าจะพอช่วยให้พี่ต้นหายเซ็งได้ล่ะมั้ง?
“พลอย ดิว”
“คะ?”
“…อืม?”
“วันนี้ฉันว่าจะหาพี่ต้นที่บ้านสักหน่อยน่ะ ไปด้วยกันมั้ย?”
“ได้สิคะ ถ้ายังไม่สองทุ่ม ฉันจะเถลไถลที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ”
…ยัยผีนางรำนี่มีเคอร์ฟิวด้วยเรอะ?
“…อืม คุณแม่พี่ต้นใจดี”
…แล้วยัยผีปอบนี่ไปรู้จักแม่พี่ต้นตอนไหนกันเนี่ย?
ถึงจะได้คำถามมาเต็มหัว ก็ได้ข้อสรุปว่าทั้งสองคนจะไปด้วย
แต่จะไปหาโดยไม่บอกกล่าวก็เสียมารยาท ยังไงก็โทรบอกก่อนดีกว่า…
“อ้าว?”
ผมยกโทรศัพท์ค้างไว้ เพราะทันทีที่กดโทรออก กลับได้ยินเสียงเรียกเข้าจากภายในห้องแทน
ผมเดินตามเสียงนั้นก่อนก้มหยิบโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมาจากโซฟา
“พี่ต้นลืมไว้หรอกเรอะ?”
ดูเหมือนรุ่นพี่กระหังของสภาจะลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องสภาเสียได้
“ถือว่าโชคดีนะคะ พวกเรากำลังจะไปหาพี่ต้นอยู่แล้วด้วย เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้พิราบสองตัว?”
“แล้วเธอจะระบุประเภทนกทำไมเนี่ย?”
“ฉันว่าสุภาษิตบางทีก็ละคำสำคัญไว้น่ะค่ะ เลยถือวิสาสะเติมเองสักหน่อย”
“…..”
“ทำหน้าเหมือนไม่ยอมรับเลยนะคะนั่น? ลองยกตัวอย่างถ้าฉันเรียกเจี๊ยบว่านกเฉยๆ ประธานจะรู้มั้ยล่ะคะว่าเป็นลูกเจี๊ยบน่ะ?”
พลอยถามเช่นนั้นขณะชี้ไปที่เจี๊ยบบนไหล่ดิว
“จิ๊บ?”
เจี๊ยบก็เอียงคอเหมือนไม่เข้าใจ
“เฮ้อ ขออนุญาตไม่เถียงแล้วกัน …รีบไปกันเถอะ”
“ขอแค่ไม่เกินสองทุ่มก็พอค่ะ”
“รู้แล้วน่า”
“เพราะงั้นถ้าวันไหนอยากชวนดิฉันไปทานข้าวเย็นก็ได้ทุกเมื่อเลยนะคะ?”
“คร้าบๆ …ว่าแต่…”
“คะ?”
“…?”
พลอยกับดิวเอียงคอ
ผมยิ้มแห้งๆก่อนพูด
“…มีใครรู้ทางไปบ้านพี่ต้นมั้ย?”
พอมาคิดดูแล้ว ผมยังไม่เคยไปบ้านของสมาชิกสภาสักคนเลยนี่หว่า
เพราะงั้นไอ้ความคิดสุดบรรเจิดที่ว่าจะไปบ้านพี่ต้นนี่ อยู่ๆมันผุดขึ้นมาได้ไงกันนะ?
แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็มีคนที่รู้ทางไปบ้านพี่เขาอยู่ใกล้ๆซะด้วยสิ
“…วันนั้นฉันไม่มีเงินขึ้นรถเมล์น่ะ พี่ต้นที่บังเอิญเจอพอดีก็ให้ยืมเงิน …ได้รู้ว่าบ้านพี่ต้นอยู่ตรงไหนก็ตอนนั้นน่ะ”
ที่ดิวพูดนั่น ดูจะเป็นเรื่องที่น่าฟังเหมือนกันว่าจะไปลงเอยยังไง ไว้มีโอกาสคงได้ถามละเอียดๆทีหลังล่ะนะ
ส่วนตอนนี้ก็ช่างมันไปก่อน
พวกผมอยู่ในระหว่างการเดินทางไปบ้านพี่ต้นผ่านการนำทางของดิว
ระหว่างทางที่ผ่านมา ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นเลือดจากโรงงานร้างใกล้ๆโรงเรียน …แต่ส่วนใหญ่ผมก็ได้กลิ่นอะไรประมาณนั้นบ่อยอยู่แล้ว เพราะงั้นจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
จนกระทั่ง…
“อ๊ะ! เจ้าคนที่เผาห้องชมรมนี่นา!?”
ก็มีเสียงปั่นจักรยานและเสียงทักแบบนั้น
เมื่อหันกลับไปก็พบเด็กสาวที่เป็นหัวหน้าชมรมวิจัยอนิเมะ…เรียกแค่นั้นก็แล้วกัน
ยัยผีแม่นากที่เกือบจะโดนผมยุบชมรมเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง
วันนี้ก็ยังคอสเพลย์เป็นคนที่จะเป็นราชาโจรสลัดอีกตามเคย หมวกฟางที่เห็นนั่นแทบจะเหมือนเป็นเครื่องหมายประจำตัวยัยนี่ไปแล้วรึเปล่านะ?
ผมหรี่ตามอง
“…ฉันไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย อีกอย่างก็ขอโทษไปแล้วไม่ใช่เรอะ?”
“จะตั้งใจหรือไม่ก็เผาอยู่ดีนั่นแหละ!”
ส่วนดิวก็ยืนมองพร้อมเอียงคอ ก่อนกระซิบกับพลอยเบาๆ …อ๋อ วันที่ผมจะไปยุบชมรมอนิเมะ ผมไปกับพลอยแค่สองคนนี่นะ
ผมกอดอกมองก่อนถามเป็นมารยาท
“ออกกำลังกายเรอะ?”
“ฉันชอบปั่นจักรยานนี่นา นี่ก็วนมารอบที่สิบแล้ว!”
“…อ่า”
“เหมือนเรื่องโอตาคุน่องเหล็กไง!”
“ไม่รู้จัก!”
…เหมือนจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ โดยส่วนตัวผมไม่เคยดูอนิเมะเรื่องที่ว่า…ใครรู้ก็ช่วยบอกหน่อยแล้วกัน
“พวกนายถ่ายหนังกันเสร็จแล้วเหรอ?”
“ถ่ายหนัง?”
ผมพูดทวน
วันนี้พวกผมก็ไม่ได้มีเคสประมาณนั้นสักหน่อย ที่จริงคือหลังพี่ต้นกลับไปก็ว่างยันเลิกชมรมเลยต่างหาก
แล้วยัยผีแม่นากนี่พูดอะไรอยู่เนี่ย?
“แต่เล่นจ้างนักเลงมาเป็นสิบคนแบบนั้น ต้องเป็นหนังบู๊ที่เดือดมากแน่ๆ!”
“…คือ”
“นี่นะ! ถ้าคราวหลังจะถ่ายอะไรแบบนั้นอีกมาบอกพวกฉันด้วยล่ะ! อ๊ะ! แต่ขอเป็นหลังเวลาชมรมนะ อย่างที่รู้ว่าพวกเรามีกฎไม่ออกจากห้องชมรมก่อนหมดเวลาน่ะ!”
พวกผมสามคนมองหน้ากัน
ก่อนที่ผมจะเป็นคนถาม
“…นี่เธอพูดอะไรอยู่? วันนี้พวกฉันไม่ได้ถ่ายหนังกันนะ?”
แถมถ้าพวกผมจะถ่ายหนังขึ้นมาจริงๆ ก็น่าจะเป็นเคสที่ชมรมภาพยนตร์ขอให้ช่วย อย่างพวกผมที่เป็นสภานักเรียนไม่มีความจำเป็นต้องถ่ายหนังสักหน่อย
เด็กสาวหมวกฟางเอียงคอ
“เอ๋? เป็นงั้นหรอกเหรอ? เอาเถอะ งั้นฉันไปล่ะ”
พร้อมตัดบทไปเสียดื้อๆ และทำท่าจะปั่นจักรยานต่อ แต่ผมกลับรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ
จึงดึงไหล่เธอไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อน!”
“หือ?”
“ช่วยอธิบายให้ฟังก่อนได้มั้ย?”
“อธิบายอะไร? แล้วก็อย่ามาจับกันสิ!”
เธอปัดมือผมออก
“นักเลงสิบคนที่ว่านั่น หมายถึงอะไร?”
“ก็ไอ้นั่นไง”
ผมมองตามไปที่เด็กสาวชี้ หรือก็คือทางที่พวกผมพึ่งเดินผ่านกันมานั่นเอง
เธอพูดต่อ
“ฉันเห็นคุณกระหังสภานักเรียนเข้าไปในโรงงานตรงโน้น~ กับนักเลงอีกเป็นสิบคนเลยล่ะ!”
“กระหัง…”
“โรงงานนั้น นักเรียนชอบเอาไปเป็นโลชั่นถ่ายหนังนี่? คิดว่าพวกนายจะถ่ายหนังกันอยู่ในนั้นซะอีก”
“เปล่าหรอก …แล้วเขาเรียกว่าโลเคชั่นต่างหาก”
ถึงจะตบมุกไปตามความเคยชิน แต่ผมก็รู้สึกเอะใจบางอย่าง
…หรือว่ากลิ่นเลือดนั่น
“งั้นถ้าพวกนายไม่ได้ถ่ายหนังกัน …ฉันว่าคุณกระหังน่าจะแย่แล้วแหละ”
จู่ๆ ก็เปลี่ยนอารมณ์กะทันหัน เด็กสาวแม่นากทำสีหน้าปั้นยาก
และคำพูดต่อไปก็ทำผมแทบกลั้นใจ
“…ฉันไปแอบดูนิดหน่อยน่ะ เห็นนักเลงพวกนั้นกำลังกระทืบคุณกระ…”
“ปีกแห่งความตาย จงปรากฏเพื่อมอบอิสรภาพแก่ข้า เดดวิง!”
ผมฟังแค่นั้นและเรียกใช้งานเดดวิงทันที สสารมืดสีดำก่อเกิดที่วงเวทดาวหกแฉกกลางแผ่นหลัง
“เอ๋?”
“ประธาน!?”
“ต้องรีบแล้ว! พลอย! ดิว! ตามมา!”
ผมดูถูกเด็กเกเรพวกนั้นมากเกินไป
ลืมไปว่าในหัวเจ้าพวกนั้นน่ะ ถ้าโดนเล่นงานก็ต้องเอาคืน
บางทีกลุ่มนักเลงที่ยัยผีแม่นากเห็นหลายสิบคนนั่น คงเป็นพวกเดียวกับที่พี่ต้นจัดการไปตอนเช้า ไม่สิ…ต้องใช่แน่ๆ
ผมกระพือปีกก่อนใช้มันเคลื่อนที่แหวกอากาศให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเป้าหมายก็คือโรงงานร้างที่ผมได้กลิ่นเลือดจางๆ ซึ่งเดินผ่านกันมาเมื่อราวสิบนาทีก่อน
+ +
ดวงตาพร่ามัว
อาจจะเพราะเสียเลือดมากเกินไป
ผมรู้สึกว่าร่างกายเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ …นี่ขนาดที่หัวโจกพึ่งแทงมีดเข้าไป ก็พึ่งผ่านไปไม่กี่นาที แต่ดูเหมือนบาดแผลจะหนักกว่าที่คิด
“ละ ลูกพี่ เดี๋ยวมันก็ตายจริงๆหรอก…ถ้าเรียกรถพยาบาลตอนนี้…”
“จะกลัวห่*ไรมากมายวะ!?”
“พะ ผมไม่อยากติดคุกนะ!”
หัวโจกที่ได้ยินดังนั้นก็กระชากคอเสื้อลูกน้องคนนั้นขึ้นมา
“คิดว่าแค่ผีตายตัวเดียวจะมีใครสนหรือไงวะ? แล้วถ้าพวกแกเงียบปากให้หมด ใครจะมาจับพวกเราได้?”
เหล่าลูกน้องฟังคำพูดพลางก้มหน้ากันเป็นแถบๆ
“เหอะ! อย่างพวกแกก็เงียบปากแล้วทำตามที่ข้าบอกก็พอ!”
“ลูกแหง่ติดพ่ออย่างนายคงไม่มีใครอยากทำตามหรอกมั้ง…”
“เฮ้ย ไอ้กระหัง เมื่อกี้พูดว่าไงนะ?”
“…เห็นท่าทีลูกน้องนายแล้วนี่? ไม่มีใครอยากไปกินข้าวแดงในคุกพร้อมนายหรอก”
“จะตายแล้วยังปากดีอีกนะ?”
ว่าแล้วผมก็โดนเตะเข้าที่แผลอย่างแรง
เลือดทะลักออกจากปาก เจ็บจนนิ่วหน้า
…ให้ตายสิ อย่างหมอนี่ถ้าไม่มีองค์พระนั่นคอยกดอาคมไว้ล่ะก็…
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น สภาพร่างกายผมก็เป็นมนุษย์ โดนแทงจนเลือดไหลมากขนาดนี้ ถ้าไม่รีบห้ามเลือดหรือนำส่งโรงพยาบาลล่ะก็ ได้ตายจริงๆแน่
“ไหนๆก็จะตายอยู่แล้ว เอาอีกสักแผลมั้ย? หา?”
“…”
ตอนนี้แค่แรงจะตอบก็ยังไม่เหลือ ทำได้แค่ประครองสติเอาไว้ก็เต็มกลืน
แต่ว่า…จากนี้จะยังไงต่อกันล่ะ?
โรงงานร้างแบบนี้น่ะ ไม่มีใครผ่านมาเห็นหรือมาช่วยได้อยู่แล้ว…
“นายน่ะ มาเข้าสภานักเรียนของฉันซะ กำลังขาดคนอยู่พอดี…ชกต่อยเก่งอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ?”
…จู่ๆคำพูดของน้องประธานตอนที่เจอกันครั้งแรกก็ผุดขึ้นมาซะอย่างนั้น
เป็นน้องประธานที่มีบรรยากาศต่างจากตอนนี้ลิบลับเลยล่ะ …น่าคิดถึงเหมือนกันนะ ตอนที่สภานักเรียนยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเหมือนตอนนี้
ผมทิ้งตัวลงกับพื้น ดวงตาล่องลอย
“ตายแล้วเรอะ? ผีก็ตายได้เหมือนนี่หว่า?”
ดูเหมือนหัวโจกจะไม่คิดว่าการฆ่าคนตายเป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย คงคิดว่าต่อให้โดนจับ ก็ใช้อำนาจผู้ปกครองจัดการได้อยู่ดี
บัดซบ…
“บัดซบจริงๆ ว่างั้นมั้ยล่ะครับ? พี่ต้น”
เสียงเปิดประตูโรงงานที่ดังเสียดสี มาพร้อมกับเสียงพูดนั้น
เป็นเสียงที่คุ้นหูมากๆ…
หัวโจกก็หันมองด้วยความตกใจ
“ใครวะ!?”
ผมก็มองตามไปยังประตูทางเข้า
พบร่างสีดำทะมึนที่ราวกับดูดเอาทั้งความมืดไปปกคลุมร่าง ดวงตาสีแดงที่ส่องแสงจนเหมือนประกาย ปีกสีดำที่ส่งบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ
และเขาสีแดงสดบนศีรษะทั้งสอง
“…น้องประธาน”
ผมพึมพำเช่นนั้นพร้อมยิ้มอย่างโล่งใจ
น้องประธานเดินเข้ามาด้านในช้าๆ
…ตึก …ตึก …ตึก
เสียงเท้าที่ดังก้องไปทั่วโรงงานช่างน่าหวาดผวา
“ละ ลูกพี่!”
เป็นรูปลักษณ์ที่น่าสยดสยองยิ่งนัก และที่สำคัญ…สัมผัสได้ถึงความโกรธที่ปะทุจนแสบจมูก
…ตอนนี้น้องประธานกำลังโกรธสุดๆ
“จะ จะกลัวทำไมวะ!? ไอ้บ้านี่ก็มีผีเหมือนกันนั่นแหละ! ข้ามีเจ้านี่อยู่จะไปกลัวทำไม!?”
หัวโจกตอบลูกน้องด้วยเสียงสั่นไม่แพ้กัน พร้อมชูองค์พระปลุกเสกที่คอขึ้นมา
กระนั้น ร่างสีดำก็ยังไม่หยุดก้าวเท้า
“ทะ ถอยไปนะโว้ย! ไม่เห็นไอ้นี่รึไง!?”
จนร่างที่เรียกได้ว่าเป็นเงาดำยืนอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ร่างนั้นก็ยังไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
หัวโจกกำองค์พระแน่นพลางสบถ
“อะไรวะ!? เสียแล้วหรือไง!?”
“ไม่มีอะไรเสียทั้งนั้น”
ฝ่ามือสีดำพูดพร้อมเอื้อมจะจับลำคอหัวโจก
หัวโจกตกใจจนถลาไปด้านหลังและล้มลง
“ทะ ทำไมไม่ได้ผล!?”
“ของแบบนั้นมันใช้ได้แค่กับผีไทย ไม่รู้เรอะ?”
เป็นเสียงของน้องประธานที่เยือกเย็นจนน่าขนลุก
“กะ แก เป็นตัวอะไร!?”
ร่างสีดำยื่นหน้าเข้าไปใกล้มนุษย์ที่ทำท่าเหมือนจะฉี่ราดกางเกง
พลางเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
“ซาตาน”
หัวโจกกัดฟัน ก่อนพูดเหมือนใช้แรงเฮือกสุดท้าย
“แม่*เอ๊ย! จะเป็นตัวห่*ไรก็ช่าง! พวกแกรีบจัดการได้แล้ว! มัวยืนเซ่ออะไรอยู่หา!?”
ถึงจะเป็นคนสั่งการ แต่ตัวเองก็วิ่งถอยหลังเพื่อหนีห่างจากร่างสีดำด้วยความกลัว
และแล้วลูกน้องหลายสิบคนก็ได้สติ พากันวิ่งกรูเข้าใส่เงาดำ
ไม้หน้าสามที่กำลังถูกเหวี่ยงเข้าใส่
“น้องประธาน!”
ผมตะโกนด้วยความกังวล เพราะถ้าโดนคนเป็นสิบรุมอัดแบบนั้น…
แต่แล้ว…
“ด้วยนามแห่งข้า จงรับฟังแต่โดยดี…”
“คุกเข่า”
สิ้นเสียง เหล่าลูกน้องทั้งหมดก็ลงไปคุกเข่าตามบัญชานั้นโดยไร้การขัดขืน
“อะไร!?”
“เกิดบ้าอะไรขึ้น!?”
ร่างสีดำเดินผ่านเหล่านักเลงหลายสิบคนไปอย่างไร้เยื่อใย แม้พวกเขาจะพยายามขยับตัวเพื่อโจมตี ก็ไม่สามารถทำได้
“พวกแกเป็นอะไรกันไปหมดหา!? จะลงไปนั่งกันหาพระแสงรึไง!? อั่ก!”
หัวโจกโดนฝ่ามือบีบคอยกขึ้นมา
“…แกกล้าทำร้ายลูกน้องฉันเรอะ?”
“ปะ เป็นหัวหน้าของไอ้กระหังนั่นหรือไง!?”
“เออ”
“แล้วไง!? จะแจ้งตำรวจเรอะ!? คิดว่าคนอย่างข้า มีเหรอจะได้เข้าคุกน่ะ!? ของแค่นั้นใช้เงินยัดก็จบแล้ว!”
“ฮะฮะ”
จู่ๆน้องประธานก็หัวเราะ
แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ผมกับรู้สึกหนาวสันหลังบอกไม่ถูก
“ขำอะไรวะ!?”
“ตลกที่แกคิดว่าฉันเอาแกไปส่งตำรวจน่ะ …ถึงฉันจะไม่ใช่ตำรวจ แต่แค่พิพากษามนุษย์เลวๆบางตัว ไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นศาลหรอก”
ดวงตาสีแดงสดจ้องไปที่ดวงตาที่เริ่มมีน้ำตาคลอ
“ยะ อย่า…”
“ด้วยนามแห่งข้า จงรับฟังแต่โดยดี…”
“น้องประธาน!”
ผมตะโกนแทรก
ไม่รู้ว่าน้องประธานจะใช้ถ้อยคำอะไรในการควบคุมจิตใจ แต่ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
“พอได้แล้วล่ะ น้องประธาน”
ดวงตาสีแดงฉานหันมองพร้อมเอ่ยถาม
“แต่เจ้าพวกนี้มันทำร้ายพี่นี่ครับ?”
“อืม …แต่แค่นี้ก็พอแล้ว ดูสิ”
น้องประธานมองตามคำพูดของผม
หัวโจกตาเหลือกและหมดสติไปเป็นที่เรียบร้อย
“หึ กระจอกจริง”
เขาบ่นพึมพำพร้อมโยนร่างในมือทิ้งลงพื้นเหมือนโยนของเล่นเก่าๆ
และกวาดตามองเหล่าลูกน้องที่ทำสีหน้าหวาดกลัว
“พวกแกน่ะ จะไปไหนก็ไป และถ้ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกล่ะก็ ไม่จบแค่นี้แน่”
“คะ ครับ!”
“อย่าลืมเอาหัวหน้าพวกแกไปด้วย”
น้องประธานพูดเตือนเหล่าลูกน้องที่จะวิ่งหนีกันแบบไม่สนลูกพี่ที่หมดสติ
…และแล้วในโรงงานก็เหลือแค่ผมกับร่างดำของมัจจุราช
“ขอบใจนะ น้องประธาน”
ผมกล่าวขอบคุณขณะที่น้องประธานกำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้แผลของผม
“ช่วยลูกน้องก็เป็นหน้าที่ของผมครับ ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้จัดการให้เด็ดขาดก็เถอะ”
“ฮะฮะ แค่นั้นก็คงไม่กล้าเข้าใกล้โรงเรียนเราแล้วล่ะ”
“ได้งั้นก็ดีครับ อ๋อ…อีกอย่างผมอ่านชื่อบนเสื้อพวกนั้นไว้แล้วด้วย เดี๋ยวรอพวกมันตายเมื่อไหร่ค่อยทบต้นทบดอกเอาตอนนั้นก็ได้”
เป็นคำพูดที่ฟังแล้วได้แต่ยิ้มแห้งๆเลยล่ะ
จากนั้น น้องประธานก็สลายทั้งปีกและเงาดำที่ปกคลุมออกทั้งหมด จนตอนนี้ก็กลับไปเป็นประธานนักเรียนที่แต่งกายด้วยเสื้อเบลเซอร์ตามปกติ
เส้นผมสีชมพูสดใสที่ตัดกับดวงตาสีแดงกำลังยิ้มบางๆ
“ผมเรียกรถพยาบาลไว้แล้ว อดทนหน่อยนะครับ”
“อืม…ขอบคุณอีกครั้งนะ”
“เล็กน้อยครับ ที่จริงผมจะเอามือถือมาคืนพี่น่ะครับ …อ้าว?”
“หืม?”
“สงสัยจะหล่นไปตอนบินมานี่น่ะครับ เดี๋ยวผมไปหามาคืนให้…”
“ฮะฮะ!”
ผมเผลอหัวเราะเสียงดังจนน้องประธานตำหนิ
“อย่าหัวเราะสิครับ! เดี๋ยวแผลก็ฉีกหรอก!”
“ทะ โทษที โทษที มันอดขำไม่ได้น่ะ”
“ให้ตายสิ…”
น้องประธานกุมศีรษะอย่างเหนื่อยใจ
ผมที่โดนแก้มัดแล้วก็พูดเหมือนรำลึกความหลัง
“แต่ว่า…เห็นน้องประธานสภาพนั้นแล้วนึกถึงเมื่อก่อนเลยนะ”
“พูดถึงอะไรครับเนี่ย?”
ผมส่ายหน้าให้คำถาม จากนั้นก็ได้ยินเสียงรถพยาบาลดังมาจากที่ไกลๆ
+ +
ต่อไปก็อยู่ในช่วงสรุปเรื่องราว ตัวผมคริสโตเฟอร์ จะขอเป็นคนเรียบเรียงทั้งหมดเอง
พี่ต้นที่ได้รับบาดเจ็บหนัก ก็ต้องนอนพักอยู่โรงพยาบาลอีกสักพัก
ส่วนเหล่าเด็กเกเรพวกนั้น พวกผมไม่ได้แจ้งความแต่อย่างใด ดูเหมือนพี่ต้นก็ไม่อยากมีปัญหามากกว่านี้ เคราะห์ดีหน่อยที่หลังจากจบเรื่อง การไถเงินช่วงเช้าก็หายไปโดยปริยาย
ไม่รู้ว่าพวกเด็กเกเรมีแหล่งข่าวหรือว่ายังไง แต่พอโดนผมขู่ไปแบบนั้น ก็เหมือนจะไม่มีใครกล้ามาแหยมกับโรงเรียนอาคมจิตตวิทยาอีกแล้ว
ผมได้ไปรู้ภายหลังว่า หัวโจกคนนั้นกลัวหัวหดเสียจนไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อเลยทีเดียว คงฝังใจไปอีกนานเลยล่ะ
และถ้าฝังใจไปยันตายได้เลยก็ดีอยู่หรอก แต่อย่าลืมนะว่าหลังตายยังมีผมรอคิดบัญชีอีกต่อนึง …คิดไปคิดมาก็น่าสงสารเหมือนกันแฮะ
แต่ก็นะ มาทำร้ายลูกน้องผมแบบนี้ โดนไปแค่นั้นยังน้อยไปด้วยซ้ำ คิดว่าลูกน้องทำงานดีเยี่ยมแบบพี่ต้นมันหากันได้ง่ายๆหรือไงฮึ?
ก็เอาเป็นว่า จบเคสที่เรื่องราวบานปลายไปกว่าทุกทีด้วยดีล่ะนะ …ส่วนเคสนี้จะเรียกว่าเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตลี้ลับก็พูดได้ไม่ค่อยเต็มปากเท่าไหร่ด้วยสิ…
“ประธานคะ”
“หืม?”
พวกผมกำลังอยู่ระหว่างการกลับบ้าน หลังจากไปส่งพี่ต้นที่โรงพยาบาลเรียบร้อย
“คือ…ฉันทันไปเห็นพอดีน่ะค่ะ ประธานในตอนนั้นน่ากลัวมากเลย…”
มาทันด้วยเหรอเนี่ย สงสัยจะยืนมองๆกันอยู่ที่นอกโรงงานล่ะมั้ง?
“งั้นเหรอ? โทษทีนะ แต่กับเจ้าพวกนั้นต้องเล่นไม้แข็งหน่อยน่ะ”
“แข็งโป๊กเลยนะคะนั่น?”
“รีบๆชินได้แล้วน่า ไม่รู้ว่าจะมีเคสไหนที่ฉันต้องทำอะไรแบบนั้นอีก ถ้าอย่างเธอที่เป็นรองประธานจะกลัวตลอดล่ะก็ มันจะทำให้จบเคสในอนาคตได้ยากนะ?”
“ก็เข้าใจอยู่หรอกค่ะ…”
ดูทรงจะกลัวจริงๆนะเนี่ย ตัวสั่นไม่หยุดเลยแฮะ
ผมลูบหลังพลอยๆเบา
“ลวนลามทางเพศค่ะ”
“นี่ฉันปลอบเธออยู่นะเฮ้ย!?”
“มาจับเนื้อต้องตัวเด็กผู้หญิงง่ายๆได้ไงกันคะ!”
“งั้นเธอก็อย่ากลัวแต่แรกสิเฟ้ย! อย่างดิวยังไม่เห็นพูดอะไรสักคำ!”
ดิวที่ได้ยินแบบนั้นก็ตอบกลับมา
“…ฉันเฉยๆน่ะ …แต่เจี๊ยบขนร่วงไปหลายอันเลย”
“จิ๊บ…”
ตัวก็นิดเดียว เกิดขนร่วงบ่อยๆเข้าก็น่าสงสารตายเลยนะเนี่ย…
“เออๆ ขอโทษพวกเธอด้วยแล้วกัน เดี๋ยวไว้ว่างๆจะพาไปเลี้ยงข้าวแทนคำขอโทษ โอเคมั้ย?”
“ชวนเด็กผู้หญิงน่ารักสองคนไปพร้อมกันแบบนี้ เจ้าชู้จริงๆนะคะเนี่ย?”
“ก็แย่แล้วเถอะ ก็ไปกันหมดทั้งสภาเนี่ยแหละ”
“…ให้ฉันไปด้วยเหรอ?”
“จริงสิ เธอกินเยอะนี่นา คงต้องเป็นบุฟเฟ่ต์สินะ? จะมีร้านบุฟเฟ่ต์ไหนรับผีปอบมั้ยเนี่ย…”
“…ฉันรู้จักอยู่ร้านนึง”
“งั้นก็ตกลงตามนั้น แต่ต้องรอพี่ต้นหายดีก่อนล่ะนะ!”
และแล้วก็จบเคสลงโดยสวัสดิภาพ โดยส่วนตัวผมก็ค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์เลยล่ะ แต่ว่า…ตอนสุดท้ายนั่นถ้าไม่ได้พี่ต้นดึงสติไว้ ก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับหัวโจกคนนั้นบ้าง
แถมผมยังใช้พลัง‘ฝั่งซาตาน’มากไปหน่อย …เห็นทีพรุ่งนี้ได้วุ่นวายแน่
เอาเถอะ เรื่องของพรุ่งนี้ก็ยกยอดไปไว้พรุ่งนี้ ส่วนตอนนี้ก็รีบไปส่งสองคนนี้แล้วกลับบ้านนอนดีกว่า แถมจะได้รู้ทางไปบ้านสมาชิกสภาเพิ่มอีกสองคนด้วย
อ๋อ ส่วนโทรศัพท์พี่ต้นที่ทำหล่น สุดท้ายผมก็หาไม่เจอ …คงต้องซื้อคืนทีหลังนั่นล่ะ
เคสที่ 8 ไถเงิน (กระหัง) /จบ