…ขณะพี่ต้นกำลังจัดแจงของเข้าตู้ ผมก็ลุกไปช่วย
“ปกติผมไม่เห็นพี่มาเวลานี้เลยนะครับ?”
“ที่จริงก็มีเหตุผลอยู่หรอก แต่ไว้จัดการพวกนี้ให้เสร็จก่อนเถอะ”
พี่ต้นตอบด้วยรอยยิ้ม
ผมก็หัวเราะเบาๆ
“ทีหลังถ้าจะแบกมาเยอะขนาดนี้ โทรเรียกให้ผมไปช่วยก็ได้นะครับ”
“ตอนแรกก็ไม่เยอะหรอก แต่ระหว่างทางก็โดนให้มาเรื่อยๆเลยล่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ”
นี่ก็เป็นของที่ได้มาจากนักเรียนที่พี่ต้นไปช่วยเหลือสินะ รู้สึกความนิยมของสมาชิกสภานักเรียนรุ่นพี่คนนี้จะพุ่งแรงขึ้นทุกวันเลยสิเนี่ย
ผมสังเกตเห็นรอยแผลที่แถวสีข้างของพี่ต้น แม้ตอนนี้จะทำแผลและพันผ้าไว้เรียบร้อย แต่กลิ่นเลือดอันเบาบางก็ยังทิ่มแทงเข้าจมูก
…เอาไว้ค่อยถามแล้วกัน ตอนนี้เก็บของก่อนดีกว่า
“เดี๋ยวฉันช่วยด้วยนะคะ!”
“ขอบคุณนะ น้องพลอย”
และพวกผมก็จัดข้าวของเข้าตู้ที่ส่วนใหญ่เป็นขนมกันอยู่สักพัก
…เมื่อเสร็จสิ้น พวกผมก็ย้ายมานั่งที่โต๊ะรับแขก
พี่ต้นเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ในห้อง
“ใกล้เข้าเรียนแล้วสิ…”
พร้อมพึมพำและลูบต้นคอตัวเอง
กระด้งฝัดข้าวที่ใส่ไว้ตรงท่อนแขนทั้งสองข้างก็ยังสะดุดตาเช่นเคย
นี่คือพี่ต้น หนึ่งในสมาชิกสภานักเรียน ตำแหน่ง ฝ่ายควบคุมความประพฤติ
เด็กหนุ่มชั้นมอหกแววตาคมกริบ ตัวสูงชะลูด ทรงผมแทรกกลางสีเลือดหมู ใบหน้าคมกริบไม่แพ้แววตา ร่างกายสมส่วนสุขภาพดีที่เข้ากั๊นเข้ากันกับชุดนักเรียนไทยขาสั้น แถมยังเนื้อหอมในหมู่นักเรียน
และนี่ก็เป็นการแนะนำพี่ต้นอย่างจริงๆจังๆครั้งแรกเลยล่ะนะ สมาชิกสภาที่เรียกว่าทรงงานหนักที่สุดเลยก็ว่าได้
อืม ที่จะเปรียบเทียบด้วยก็คือพี่น้ำกับสไปรท์นั่นแหละ อัตราส่วนการทำงานต่างกันหลายเท่าตัวเลยล่ะนะ
เป็นลูกน้องที่ผมภูมิใจนำเสนอสุดๆเลยล่ะ ถ้าให้ว่าในประเด็นด้านการทำงานแล้ว ‘เกือบๆ’จะดีเท่าผมเลยด้วยซ้ำ…
“อะแฮ่ม!”
พลอยกระแอมเสียงดัง
…มองออกว่าผมกำลังคิดเสียมารยาทกับพี่ต้นอยู่สินะนั่น?
“เป็นหวัดเหรอ? น้องพลอย”
พี่ต้นถามด้วยความเป็นห่วง
พลอยปัดมือเบาๆ
“ไม่ใช่ค่ะ …แค่ได้กลิ่นคนหลงตัวเองน่ะค่ะ”
“นั่นว่าฉันใช่มั้ย?”
“ร้อนตัวเกินไปแล้วค่ะ ประธาน”
…ร้อนตัวก็แย่แล้วเถอะ ในห้องก็มีอยู่แค่นี้ พลอยก็ไม่น่าจะนินทาใครต่อหน้าด้วย
คนที่จะตกเป็นขี้ปากยัยนี่แบบซึ่งๆหน้าก็เหลือแค่ผมเท่านั้นแหละ…
“ไม่ได้เป็นหวัดก็ดีแล้ว …พี่ไม่ได้เข้าสภาตั้งหลายวัน ทั้งสองคนยังเหมือนเดิมเลยนะ”
ออร่าช่างเปล่งปลั่งยิ่งนัก ไม่แปลกใจที่ทำไมถึงได้รับความนิยม …ที่รู้สึกแสบตานี่ผมคิดไปเองใช่มั้ยเนี่ย?
แต่ว่าที่พูดเหมือนตำหนิตัวเองแบบนั้นก็รู้สึกรับไม่ได้ชอบกลแฮะ
ถึงช่วงนี้พี่ต้นจะไม่ได้เข้าสภาเพราะมีนักเรียนมาขอให้ช่วยเยอะก็เถอะ แต่ถ้าให้นับตามปฎิทินล่ะก็ เผลอๆจำนวนครั้งที่เข้าสภาจะเยอะกว่าพี่น้ำกับสไปรท์เสียอีก
ไม่เห็นต้องพูดแบบนั้นออกมาเล้ย แค่นี้ผมก็ภูมิใจสุดๆแล้วล่ะ
พอคิดไปถึงตรงนั้น ตอนเย็นสองคนนั้นจะมาสภามั้ยนะ?
“ถอดออกก่อนก็ได้มั้งครับ? ไอ้นั่นน่ะ”
ผมเห็น ‘กระด้งฝัดข้าว’ ของพี่ต้นทีไรก็ต้องถามทุกที
พี่ต้นก็ขยับมือเบาๆ
“ถอดแล้วมันครั้นเนื้อครั้นตัวน่ะ คงเพราะเกิดมาเป็นแบบนี้ด้วยล่ะมั้ง? น้องพลอยก็เหมือนกันใช่มั้ย?”
“ค่ะ”
นั่นสิเนอะ อย่างพลอยก็ใส่ชฎามาทุกวันเลยนี่นา
อืมๆ ลักษณะเฉพาะของผีไทยนั่นแหละ ผมก้าวก่ายมากไม่ได้หรอก
…พูดถึงกระด้งฝัดข้าว ก็คงจะสงสัยกันว่าทำไมหนุ่มรุ่นพี่คนนี้ถึงต้องใส่กระด้งฝัดข้าวตลอดเวลาสินะ?
เชื้อสายของพี่ต้นนั้น มาจากสิ่งมีชีวิตลี้ลับที่เรียกกันว่า ‘กระหัง’ นั่นเอง
…ก็เป็นแค่ลูกหลานของกระหังมาอีกทีนั่นแหละ แต่อย่างน้อยลักษณะเฉพาะก็ยังเข้มข้นขนาดนี้เลยล่ะนะ
อ๋อ รอบนี้ไม่ต้องให้พลอยอธิบายหรอก ผมก็รู้จักกระหังอยู่ ค่อนข้างดังเลยนี่นะ แถมยังเป็นคนในสภาด้วยกันอีกต่างหาก
ตามความเชื่อก็เป็นผีประเภทเดียวกับกระสือ …ยังไม่มีเคสกระสือเลยแฮะ ละไว้แค่นั้นก่อนแล้วกัน…
บางแห่งก็เชื่อว่ากระหังจะปรากฏตัวเป็นสุนัขดำที่มีดวงตาสีแดง แต่สำหรับพี่ต้นแล้วนอกจากจะไม่ใช่สุนัข ตายังเป็นสีทองอีก
อย่างว่าล่ะนะ ความเชื่อก็คือความเชื่อ ของจริงอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ สำหรับยุคนี้ที่ภูตผีมีให้เห็นกันดาษดื่นก็ยิ่งหาข้อเท็จจริงได้ง่ายๆ
ส่วนกระด้งฝัดข้าว ก็เป็นหนึ่งในลักษณะเฉพาะของกระหังแบบพี่ต้น …พูดในมุมของผมก็คือบินได้นั่นแหละ
ไม่ค่อยแน่ใจหลักการทำงานเท่าไหร่ ของแบบนั้นมันช่วยในการบินตรงไหนกัน? ถ้าเป็นอย่างเดดวิงของผมก็ว่าไปอย่าง
ประเด็นนั้นก็สงสัยตั้งแต่ตอนที่คุยกับเด็กสาวชมรมข่าวก่อนหน้านี้แล้วด้วยสิ ว่าตกลงกระหังใช้การบินหรือลอยกันแน่
แต่เอาเถอะ ผมไม่ลงลึกขนาดนั้นหรอก เพราะในมุมผมก็มองว่าเหมือนๆกันอยู่ดี
เอาเป็นว่าพี่ต้นเป็นกระหังก็แล้วกัน อ๋อ…ที่จริงตามความเชื่อก็จะมีสากห้อยไว้แถวก้นกบแทนหางด้วยล่ะนะ แต่สำหรับพี่ต้นไม่มีอะไรแบบนั้น
นับเป็นเรื่องดี ไม่งั้นคงตลกน่าดู
จบการแนะนำไว้เท่านี้ ต่อไปก็เข้าเรื่อง
“เอ่อ พี่ต้นครับ”
“ครับ?”
“คือช่วงเช้าพี่ไปช่วยนักเรียนที่โดนไถเงินเหรอครับ?”
เมื่อตัดตัวเลือกไปแล้ว สมาชิกสภาที่อยู่ในข่าวที่พลอยเอาผมดูก็น่าจะเหลือแค่พี่เขา
พี่ต้นพยักหน้า
“บังเอิญเจอพอดีน่ะ ว่าจะฝากน้องประธานให้ติดต่อยามให้อยู่เหมือนกัน”
“นั่นสินะครับ ช่วงนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยกว่าปกติด้วยสิ”
กลายเป็นว่าปัญหานั้นคงปล่อยผ่านไม่ได้แล้วล่ะนะ คงต้องให้ยามไปส่องๆบริเวณนั้นตอนช่วงเช้าสักหน่อย อย่างน้อยก็น่าจะลดโอกาสที่จะเกิดเรื่องได้บ้าง
ไม่รู้ทำไมถึงได้นึกมาไถเงินเด็กโรงเรียนสำหรับภูตผีแบบนี้ แถมคนก่อเรื่องก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาด้วย
คงจะมีกลุ่มคนที่ไม่ค่อยชอบหน้าสิ่งมีชีวิตลี้ลับแบบพวกผมล่ะมั้ง?
ไม่สิ…ต้องมีอยู่แล้ว ยิ่งผมที่เคยสัมผัสประสบการณ์นั้นมาด้วยตัวเองด้วย…
“เดี๋ยวไว้จะลองไปคุยให้ครับ”
ได้กำหนดการณ์มาหนึ่งอย่าง ต้องไปติดต่อหัวหน้ายามให้ดูแลความเรียบร้อยของซอยเปลี่ยวๆบริเวณหน้าโรงเรียนเอาไว้ ส่วนใหญ่ชอบไปไถเงินกันตรงจุดนั้น
พี่ต้นมองไปรอบๆและสายตาก็ไปสะดุดกับหนังสือพิมพ์ที่พลอยวางไว้ที่โต๊ะ
หนังสือพิมพ์ที่ลงหัวข้อข่าวซะใหญ่โตว่า ‘อัศวินแห่งความยุติธรรม’ นั่นแหละ…
“น้องประธานรู้จากข่าวนี่เหรอ?”
“อ่าครับ พลอยเอาให้ดูน่ะครับ”
“ทำไมประธานพูดเหมือนฉันเป็นคนผิดเลยล่ะคะ?”
พลอยพูดแทรกด้วยความโมโหเล็กน้อย
พี่ต้นปัดมือ
“ไม่ๆ พี่ไม่ได้จะว่าอะไร แค่เขินนิดหน่อย ชมรมข่าวเล่นเขียนซะเว่อร์เลยนี่”
“ก็จริงครับ”
เล่นเขียนซะตัวโตๆว่าอัศวินแห่งความยุติธรรมแบบนั้น สำหรับพี่ต้นที่อยู่มอหกน่ะ อย่าว่าแต่จะภูมิใจเลย อาจจะอายมากกว่าด้วยซ้ำ
“แต่นักเรียนบางคนก็น่าจะชอบอะไรแบบนั้นนะ ระหว่างทางมาที่นี่โดนเรียกบ่อยกว่าปกติเยอะเลย”
“มิน่าล่ะ…”
ของที่เอามาถึงได้เยอะเป็นบ้าเป็นหลัง
ผมมองไปที่แผลของพี่ต้น กลิ่นเลือดยังคงตีเข้าจมูก
ผมผสานมือก่อนถามด้วยใบหน้าจริงจัง
“แผลนั่น ได้จากตอนเช้าเหรอครับ?”
พลอยที่สงสัยเช่นกันจึงพยักหน้าดัง อืมๆ
เด็กหนุ่มกระหังยกแขนขึ้นเล็กน้อย
“นี่เหรอ? ได้มาตอนเช้านั่นแหละ พอดีฝั่งนั้นมีมีด…”
ไม่ทันที่พี่ต้นจะพูดจบ ผมก็แทรกออกไป
“มีด!? นั่นมันเข้าค่ายเรียกตำรวจให้มาจับข้อหาพยายามฆ่าได้เลยนะครับ!?”
“ก็ใช่อยู่หรอก แต่พี่เป็นฝ่ายเริ่มทำร้ายพวกเขาก่อนด้วยสิ”
“ฝั่งโน้นมันไถเงินเด็กโรงเรียนเราอยู่ไม่ใช่หรือไงครับ!”
พี่ต้นช่วยนักเรียนที่กำลังโดนขู่กรรโชก มาแนวนั้นยังไงก็ต้องใช้ความรุนแรงเข้าทำอยู่แล้ว
ถ้าถึงขนาดที่อีกฝ่ายใช้อาวุธก็ข้ามเส้นเกินไป
ผมคิดแบบนั้น
พี่ต้นทำท่าลำบากใจ
“…พี่ก็ไม่อยากพูดงี้หรอก แต่น้องประธานหรือน้องพลอยก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอ? เหตุเล็กๆแบบนั้นตำรวจเขาไม่ใส่ใจหรอก อาจจะมองเป็นแค่เด็กนักเรียนตีกันก็ได้”
ที่ว่ามาก็ถูก ยังไงก็คงถูกมองแค่ว่าเป็นเหตุทะเลาะวิวาทอยู่ดี ถ้าไม่ถึงขนาดยกพวกตีกันจนเป็นเรื่องใหญ่โต ตำรวจก็คงไม่สนใจ
แต่ว่าถึงขนาดใช้มีดกับลูกน้องผมเลยนี่มันก็…จะปล่อยให้ลอยนวลเฉยๆได้เหรอ…
ผมถามตัวเองเช่นนั้นด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
“ประธานคะ…ทำหน้าน่ากลัวเกินไปแล้ว”
“อ๊ะ โทษที”
ผมข่มอารมณ์ตัวเอง พิงหลังกับโซฟา
เกือบหลุดไปแล้วสิ ต้องปรับอารมณ์ให้เข้าที่ …ใจเย็นเข้าไว้ ใจเย็นไว้คริสโตเฟอร์…
พี่ต้นหัวเราะ
“ฮะฮะ น้องประธานนี่จริงจังได้ทุกเรื่องเลยนะ”
“ประเด็นมันไม่น่าปล่อยผ่านเท่าไหร่น่ะครับ พี่ต้นได้แผลกลับมาเลยนี่?”
“ก็แผลไม่ใหญ่มากหรอก โดนถากๆเอง …ที่จริงพี่มีเรื่องจะขอให้ช่วยด้วยน่ะ ขอรบกวนหน่อยได้มั้ย?”
ดูเหมือนจะพยายามไม่ให้ผมคิดมากเรื่องแผลสินะ
ผมครางในลำคอก่อนตอบ
“หืม? เกี่ยวกับงานสภารึเปล่าครับ?”
“…ถ้าไม่เกี่ยวจะไม่ช่วยเหรอ”
“มั้งครับ?”
สงสัยจะปรับอารมณ์เร็วไปหน่อย คำพูดน่าหงุดหงิดจึงได้ออกจากปากผมแบบนั้น
และแล้ว ผมก็โดนพลอยกระทุ้งศอกใส่
“ประธานคะ! พี่ต้นอุตส่าห์ขอให้ช่วยเลยนะคะ!?”
“ฉันเข็ดจากตอนพี่น้ำแล้วน่ะ เลยกะว่าถ้าเคสที่มาจากสภาชิกสภาด้วยกันเองแล้ว ฉันจะลดความสำคัญลงไปนิดนึง”
“โอ้โห …พอโดนตอบมาแบบนั้น ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกันนะคะเนี่ย?”
พี่ต้นมองภาพที่ผมเถียงกับพลอยพร้อมหัวเราะ
ให้ตายสิ ขนาดตอนขำยังหล่อเลย …คนหน้าตาดีก็งี้แหละนะ แต่ถ้าพูดถึงหน้าตา หน้าผมก็ไม่ได้แย่เลยนี่นา? ออกจะหล่อซะด้วยซ้ำ
ทำไมกันน้า ความรู้สึกห่างชั้นนี่มันอะไรกัน…
“น้องประธาน คือถึงจะบอกว่าพี่อยากให้ช่วยก็เถอะ ที่จริงก็เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดตอนเช้าด้วยนั่นแหละ”
“เหรอครับ? แล้วก็ไม่รีบบอกแต่แรก …อยากให้ช่วยอะไรครับ?”
“เอ… จะให้บอกตอนนี้เลยเหรอ?”
พี่ต้นถามกลับพร้อมลูบคอตัวเองด้วยท่าทางที่ติดเป็นนิสัย
ผมขมวดคิ้ว
“รอใครตัดริบบิ้นเหรอครับ?”
พลอยถอนหายใจ
“คำพูดคำจาคนเรานี่นะ…”
“จะเหน็บกันก็เบาๆหน่อยสิเฟ้ย!”
“เชอะ”
พลอยหันหน้าหนีไปทางอื่น
พี่ต้นก็ยิ้มแห้งๆ
“พี่ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก …แต่เหมือนน้องประธานจะลืมอะไรไปนะ”
“ลืมอะไรครับ?”
“นี่เลยเวลาเข้าเรียนมาสักพักแล้วนะ?”
“……”
…เวลาพักสองชั่วโมงมันหมดไปเร็วขนาดนั้นได้ยังไงกัน? มีภูตผีตัวไหนที่มีความสามารถเกี่ยวกับเวลามาแกล้งรึเปล่านะ?
ผมที่มีหน้าตาถึงเป็นประธานนักเรียน ครั้นจะให้จู่ๆโดดเรียนคาบบ่ายและนั่งแกร่วอยู่ที่ห้องสภาล่ะก็ คงโดนคนอื่นมองว่าไม่เหมาะสมกับตำแหน่งแน่ๆ
ที่สำคัญคือผมไม่อยากให้การเข้าเรียนของผมบกพร่อง หรือก็คืออยากเข้าเรียนครบทุกคาบ ทุกวันแบบไม่ขาดไม่เกิน
โชคดีที่กลับไปทันอาจารย์ขานชื่อพอดี ไม่งั้นผมได้ลาออกจากโรงเรียนแน่ๆ
…นี่ผมป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่างรึเปล่านะ? บางทีก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องจริงจังขนาดนั้น
ช่างเถอะ ผมก็แค่อยากให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเหตุดังกล่าวผลการเรียนของผมจึงอยู่ในระดับท็อปของชั้นปี
ท็อปขนาดไหนน่ะหรือ? ที่หนึ่งไงเล่าที่หนึ่งน่ะ เดอะเฟิร์สไงเดอะเฟิร์ส
ประโยคหลังก็แค่อยากอวยตัวเองเท่านั้นแหละ ไม่มีไรมากหรอก
…และสุดท้ายก็ถึงช่วงเลิกเรียน
ผมกลับมาที่ห้องสภา
รอสักพักก่อนที่พลอยกับพี่ต้นจะตามมาทีหลัง
ตอนนี้จึงอยู่ในสภาพเดิมเป๊ะอย่างกับตอนพักเที่ยงไม่มีผิด
“เอาล่ะพี่ต้น…”
ผมลากเสียงไว้แค่นั้นและเบนสายตาไปข้างๆพี่ต้น
ที่จริงก็ไม่เหมือนตอนกลางวันเป๊ะหรอก เพราะในสายตาตรงจุดที่ผมมองไปนั้น มีดิวนั่งอยู่ด้วย
…ดิวก็ค่อนข้างมาสภาบ่อยเลยล่ะนะ ถึงจะทำงานน้อยกว่าพี่ต้น แต่ก็นับว่าเกินมาตรฐานเมื่อเทียบกับพี่น้ำกับสไปรท์
หรือก็คือไม่มีจุดให้ด่านั่นแหละ แต่บางครั้งบางทีก็รู้สึกเหมือนเธอแค่มาหาที่กินขนมเฉยๆไงไม่รู้สิ…
และที่ผมลากเสียงและหยุดไปแค่นั้น ก็เพราะยัยผีปอบเคี้ยวขนมดังซะจนน่ารำคาญ
“ง่ำๆ”
กรุบ! กรุบ!
“ดิว”
“ง่ำ…คริสโตเฟอร์?”
กรุบ! กรั๊บ! กรอบ!
“กินเบาๆหน่อยได้มั้ย?”
เสียงดังจนทำให้น่าจะคุยไม่รู้เรื่องเลยล่ะ หล่อนเคี้ยวก้อนอิฐอยู่หรือไง?
ดิวเคี้ยวจนเกลี้ยงปากก่อนหยิบมาให้ผมหนึ่งชิ้น
“…อือ อะ…”
“ไม่ได้ขอกินว้อย!”
“…ลองดู”
ยัยนี่อยากทำอะไรกันแน่เนี่ย? ไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด
แต่เอาก็เอา…กินก็ได้
ผมรับขนมที่รูปทรงธรรมด๊าธรรมดาจากดิวและเอาเข้าปาก
ทันทีที่กัด…
กรุบ!
…เสียงดังยังกับกระดูกแตก นี่ฟันผมละเอียดเป็นเม็ดทรายไปแล้วรึเปล่าเนี่ย? ไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนให้รู้ว่ามันดังสุดๆ แต่เอาเป็นว่าเป็นเสียงที่ดังมากๆเลยล่ะ
ยิ่งพอมาเคี้ยวด้วยตัวเองแล้ว นอกจากจะดังจนน่ารำคาญและได้ยินเสียงรอบข้างลำบาก รสชาติก็ยังแค่ ‘งั้นๆ’
พลอยกับพี่ต้นหัวเราะร่า
ส่วนดิวก็กลับไปกินเงียบๆไม่พูดอะไรตามเดิม ส่วนเสียงเคี้ยวก็ยังดังอยู่น่ะนะ
“ประธานไม่เคยกินเหรอคะ?”
พลอยเอ่ยถามพร้อมหัวเราะ
เสียงกรอบแกรบยังดังไม่หยุด ผมพยายามเคี้ยวให้หมดแล้วกลืนโดนเร็ว
“…ไม่เคย ยี่ห้อบ้าอะไรเนี่ย?”
“สแน็คบอมบ์ค่ะ”
“ไม่รู้จัก!”
พลอยผายมือไปด้านข้างและทำเสียงเนิบๆเหมือนที่เห็นในโฆษณาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
“เป็นขนมที่ขึ้นขื่อเรื่องความดังของเสียงเคี้ยวเลยนะคะ? นอกจากจะใช้การทอดแบบไร้น้ำมัน ยังให้วิตามินต่างๆมากมายที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง”
สรรพคุณมันจะลวงโลกไปแล้วนะเฮ้ย นี่ผ่านอย.มาได้ไงเนี่ย? ขนมกรุบกรอบที่ไหนมันช่วยให้ร่างกายแข็งแรงกันบ้างหา?
อ๋อ ถ้าใครจะเล่นมุก อย.ย่อมาจากอย่อย ล่ะก็ ผมไม่ขำให้หรอกนะ
พี่ต้นลูบต้นคอพลางกลั้วหัวเราะ
“ฮะฮะ น้องดิวแค่อยากให้รู้ว่าเสียงขนมที่เธอกินดังนั่นแหละ”
“มีปากไม่พูดเล่า…”
พลอยก็พูดแทรกผมขึ้นมา
“บางคนมีปากแต่ไม่ควรพูดก็มีอยู่ถมเถไปค่ะ ข้างๆฉันก็มีคนนึง”
“นี่พลอย ช่วงนี้เธอจะพูดแรงไปหน่อยมั้ยเนี่ย?”
ถึงจะเป็นลูกซาตานก็มีหัวใจนะ โดนคำพูดแรงๆแบบนี้กรอกหูทุกวันจะทำเอาเครียดสะสมนะเฟ้ย
เด็กสาวนางรำกุมคาง
“จะเก็บไปพิจารณาค่ะ”
“ไม่ต้องพิจารณาบ้าอะไรทั้งนั้น รีบเปลี่ยนวิธีพูดกับฉันใหม่เดี๋ยวนี้เลย!”
“เป็นคำสั่งรึเปล่าคะ?”
“จะเล่นยังงี้จริงดิ?”
ผมรู้ดีว่าถ้าเป็นคำสั่งของประธาน พลอยคงยอมทำตามแต่โดยดี
…แต่ถามจริงเถอะ ใครมันจะบ้าอำนาจขนาดไปสั่งลูกน้องให้เปลี่ยนวิธีพูดกับตัวเองกันบ้างเล่า?
ของอย่างนี้มันอยู่ที่จิตสำนึกไม่ใช่เหรอ…
กรุบ! กรอบ!
“นี่ก็เคี้ยวจัง! ไปกินที่อื่นได้มั้ย!?”
ผมหันไปตะคอกใส่ดิว แต่เด็กสาวผีปอบกลับหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
พี่ต้นกะพริบตาปริบๆด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“โทษที …พี่เห็นมันน่ากินดีก็เลย…”
“อะ เอ่อ ผมไม่ได้กะจะว่าพี่ครับพี่ต้น คือมัน…”
“คิกคิก”
“อีพลอย! หยุดหัวเราะเลยนะโว้ย!”
“เป็นคำสั่งรึเปล่าคะ?”
“หุบปาก!!!”
สงสัยผมคงตำหนิพลอยไม่ได้แล้วล่ะ บางทีผมก็พูดกับเธอแรงไปหน่อยเหมือนกัน …เฮ้อ รู้สึกแนวๆนี้ถ้าใช้เป็นคำแบบไทยๆก็คงจะเป็น
ศีลเสมอกัน ล่ะนะ…
ส่วนเคสนี้ก็ยังไม่จบหรอก ไม่สิ…ยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ พี่ต้นยังไม่ได้บอกเลยนี่ว่าจะให้ช่วยเรื่องอะไร แต่เอาเถอะ นี่ก็ในเวลาชมรม มีเวลาถมเถไป
เคสที่ 7 ไถเงิน (กระหัง) /มีต่อ