สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ 14 เคสที่ 8 ไถเงิน (1)

ตอนที่ 14 เคสที่ 8 ไถเงิน (1)

ในตรอกซอยแห่งหนึ่ง ช่วงเช้าก่อนเวลาเข้าเรียน 

ถ้ามองออกไปยังแสงสว่างที่อยู่ด้านนอก จะมองเห็นเหล่านักเรียนที่แต่งกายด้วยชุดนักเรียนไทยเป็นระเบียบเรียบร้อยเดินกันขวักไขว่

นี่ก็เป็นเพียงซอยเล็กๆไม่น่าจดจำ ที่มีความหมายแค่เป็นทางผ่านระหว่างไปโรงเรียน

แต่เพราะเหตุนั้น สถานที่แห่งนี้จึงเหมาะเป็นแหล่งมั่วสุมของเหล่าเด็กเกเรอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสูบบุหรี่ หรือแม้แต่ดักรอเหยื่อให้เข้ามาในสายตา

แน่นอนว่าสำหรับโรงเรียนของสิ่งมีชีวิตลี้ลับแล้ว ไม่มีเด็กเกเรถึงขั้นนั้น เป็นเพราะลำพังแค่ข่มสัญชาตญาณตัวเองเอาไว้ก็แทบแย่ ยังไม่รวมถึงกฎข้อบังคับการใช้กำลังที่ค่อนข้างเข้มงวด

และสำหรับสารเสพติด ก็แทบไม่ได้อยู่ในความคิดของนักเรียนในโรงเรียนจิตตวิทยาเลยแม้แต่น้อย

ทว่า ควันบุหรี่ก็ยังลอยออกไปด้านนอกตรอก เหล่านักเรียนที่เดินผ่านจึงเผยสีหน้ารังเกียจออกมาเบาๆ

หรือก็คือ ตอนนี้ในซอยอันไร้ซึ่งความน่าจดจำที่เป็นเพียงทางผ่านไปโรงเรียนจิตตวิทยานั้น มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังใช้สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งมั่วสุม ไม่ก็…กำลังดักรอเหยื่อ

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่นักเรียนของโรงเรียนอาคมจิตตวิทยา

เป็นเด็กนักเรียนที่ไม่คู่ควรต่อคำว่าสงสารหรือน่าเห็นใจ…

“เฮ้ย เล่นไอ้เด็กนั่นเลยมั้ย?”

หนึ่งในสามของคนในกลุ่มเอ่ยขณะชะโงกมองไปนอกซอย ที่อยู่ในสายตาของเขาคือนักเรียนคนหนึ่งที่ท่าทางไม่ค่อยสู้คน

“เอาดิ ลากเข้ามาเลย”

และก็มีเสียงตอบรับที่แฝงด้วยความสนุกสนานเช่นนั้น

ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของเด็กอีกคนที่ต้องเอาตัวเป้าหมายเข้ามาภายในซอยไร้ผู้คนแห่งนี้

“เดี๋ยวข้าจัดการเอง”

เขากล่าว พร้อมเดินออกไปด้านนอกซอยรับกับแสงอาทิตย์ยามเช้า 

ปลายเท้าค่อยๆย่างเข้าใกล้เป้าหมาย

ก่อนที่จะกอดคอ…ไม่สิ ล็อกคอ‘เด็กหนุ่ม’ผู้น่าสงสารคนนั้นจากทางด้านหลัง

“ทะ ทำอะไรน่ะ!?”

“ตามมา อย่าแหกปากเชียวล่ะ”

“…!?”

เด็กหนุ่มพยายามจะขัดขืน แต่ก็รู้สึกได้ถึงของแหลมคมที่จี้อยู่ตรงเอว

ดังนั้นจึงต้องเดินตามเข้ามาด้านในซอยโดยไร้การขัดขืน ไม่รู้หรอกว่าเมื่อตามเข้ามาจะพบกับอะไรบ้าง แต่เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่รักชีวิตคนหนึ่ง

และเมื่อมาถึงด้านใน เด็กหนุ่มผู้อับโชคก็ถูกรุมล้อมด้วยเด็กเกเรทั้งสาม

“พะ พวกคุณ ไม่ได้อยู่โรงเรียนนี้นี่!?”

เด็กหนุ่มเอ่ยถาม เมื่อมองเห็นว่าบนอกซ้ายของเสื้อเชิ้ตอีกฝ่าย สลักด้วยตัวย่อคนละโรงเรียนกับของตน

ไม่ใช่จากโรงเรียนอาคมจิตตวิทยา และที่สำคัญคือไร้ซึ่งพลังวิญญาณ

คนที่น่าจะเป็นหัวโจกกระชากหัวเด็กหนุ่มอย่างแรง

“ก็เออสิ! อย่าเหมารวมพวกข้าเป็นผีสางอย่างพวกแก!”

ใช่แล้ว เด็กเกเรสามคนนี้ไม่ได้ศึกษาอยู่ในโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ 

พวกเขาก็เป็นเพียงกลุ่มนักเรียนที่มีความนึกคิดรังเกียจตัวตนที่เรียกว่าภูตผีก็เท่านั้น

ถ้าจะให้ลงลึกกว่านั้นหน่อย พวกเขาจงเกลียดจงชังเหล่านักเรียนในโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั้งหมดเลยล่ะ

และยังเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาอีกด้วย

หัวโจกจรดมีดไว้ที่ลำคอเด็กหนุ่ม

“ผีอย่างพวกแกคงฆ่าไม่ตายใช่มั้ยล่ะ?”

“มะ ไม่ใช่นะครับ! ผมก็มีร่างกายเหมือนมนุษย์!”

“มันจะเป็นอย่างงั้นได้ไงวะ!!”

เขาตะโกนพร้อมปักมีดลงข้างๆศีรษะเด็กหนุ่ม 

คมมีดเจาะทะลุกำแพงเข้าไปนิดหน่อย

“จะยังไงก็ช่าง! มีตังค์เท่าไหร่ส่งมาให้หมด!”

“จะไถเงินกันเหรอครับ…!?”

“ก็เออสิวะ! รีบส่งมาได้แล้ว!”

เป็นการกระทำที่ออกจะตกยุคไปหน่อย แต่เป้าหมายของมนุษย์สามคนนี้คือไถเงินจากเด็กหนุ่ม

แม้ในจิตใจจะรังเกียจผีสาง แต่พวกเขาก็แค่พยายามทำตัวให้เหมือนกับเด็กเกเรทั่วๆไป ไม่ได้มีความคิดจะฆ่าฟันแต่อย่างใด

มีดก็แค่ไว้ใช้ขู่เท่านั้น

หลักๆก็แค่อยากได้เงินไปใช้ที่ร้านเกม หลังจากที่จะโดดเรียนวันนี้

“…”

น่าเสียดายที่แม้เด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นภูตผี แต่ก็ไม่ได้มีความสามารถมากพอจะหลุดลอดไปจากสถานการณ์ ดังนั้นเขาจึงได้แต่นิ่งเงียบเป็นการต่อต้าน

“เฮ้ย! พวกแก! ค้นกระเป๋าไอ้ผีนี่หน่อย!”

เมื่อหัวโจกว่าเช่นนั้น เหล่าลูกน้องอีกสองคนก็กระชากกระเป๋าของเด็กหนุ่ม

“อ๊ะ! อย่านะครับ!”

“หุบปาก!”

เสียงทึบๆดังขึ้นที่แก้มของเด็กหนุ่ม

เลือดไหลกลบริมฝีปาก

“เหอะ โดนไปทีเดียวเงียบเลยนะแก”

หัวโจกแสดงท่าทีชอบใจ ดูเหมือนจะมีปมในจิตใจที่หนาน่าดู ถึงได้เกลียดตัวตนที่เรียกว่าภูตผีถึงเพียงนี้

ลูกน้องรุมรื้อกระเป๋าของเด็กหนุ่มอย่างกับอีแร้งกินซากศพ

…นี่เป็นแค่ซอยเล็กๆไร้ซึ่งบทบาทและความน่าสนใจ ผู้คนที่เดินผ่านก็แค่เดินผ่านไปเฉยๆ ไม่แม้แต่จะชายตามองเข้ามาด้านใน

‘ไม่มีใครมาช่วยแน่’ นั่นคือสิ่งที่อยู่ในหัวเด็กหนุ่มที่กำลังสั่นด้วยความกลัว

“ลูกพี่! ไอ้เด็กนี่มันมีแค่สองร้อยเอง!”

“สองร้อยก็เงินเหมือนกันนั่นแหละ! ต่อไปค้นกระเป๋ากางเกงด้วย”

“คะ แค่นั้นยังไม่พออีกเหรอครับ!?”

“ใครสั่งให้พูดกันวะ!!!”

เด็กหนุ่มโดนต่อยอีกครั้ง

…แต่แล้ว ในขณะที่หนึ่งในลูกน้องเข้ามาจะล้วงกระเป๋า หาของมีค่าให้เยอะกว่านี้อีกสักนิดนั่นเอง… 

เสียงลมกรรโชกพร้อมเสียงกระแทกก็ผ่านหูของหัวโจกไป

หัวโจกรีบหันไปยังทิศทางนั้น

“เกิดอะไรขึ้น…วะ…?”

น้ำเสียงขาดช่วง เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือหนึ่งในลูกน้องของเขาหมดสติอยู่ที่พื้น

อีกทั้งเสียงลมที่โฉบไปมาก็ยังดังอยู่เรื่อยๆ

“อั่ก!”

คราวนี้เป็นเสียงเช่นเดิมที่ดังจากลูกน้องอีกคน

สมุนทั้งสองล้มลง เหลือเพียงหัวโจกที่กำลังจับคอเสื้อของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่อย่างไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น

เสียงลมกรรโชกพร้อมด้วยเงาดำน่าขนลุกที่พุ่งไปมา ทำให้หัวโจกปล่อยมือจากเด็กหนุ่ม

และยกมีดขึ้น

“ใครวะ!? อยู่ไหน!? ออกมาเดี๋ยวนี้นะโว้ย!!”

เขาหันซ้ายหันขวาอย่างร้อนรน จนเสียงลมหยุดลง

และสายตาของเขาก็ไปบรรจบกับแสงสีทองสองจุดที่สะท้อนกับความมืดสลัวของตรอก

“บ้าอะไรวะ…”

สองสีทองนั้น ราวกับดวงตาของแมวที่จ้องอยู่ในความมืด

แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่ความน่าขนลุกที่ปล่อยออกมา ทำให้หัวโจกมั่นใจว่าสิ่งที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่แมวแน่ๆ

และเมื่อไปถึงความจริงนั้น หัวโจกก็ก้าวถอยหลังด้วยความกลัว

แต่นี่ก็เป็นแค่ซอยแคบๆ ไม่มีที่ให้ถอยมากไปกว่านี้

พริบตาถัดมา แสงสีทองก็พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว 

หัวโจกตกใจจนแทงมีดออกไปด้านหน้า

สัมผัสได้ว่าคมมีดเฉือนไปที่ผิวหนังของใครสักคน…

“อึก!”

ไม่ทันที่จะได้คิดต่อ เขาก็โดนฝ่ามือจับที่ลำคอและกระแทกเข้าใส่กำแพง

“นะ…หนอย!”

ในสายตาของหัวโจก นอกจากจะเห็นท่อนแขนเรียวยาวที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อบางๆอย่างคนสุขภาพดี ในท่อนแขนนั้นก็มีสิ่งที่ดูคล้ายกับจานบินอยู่ด้วย

…แต่ที่จริงก็เป็นเพราะความไม่รู้ของหัวโจกคนนี้…

เพราะสิ่งที่ติดอยู่ที่ท่อนแขนของคนตรงหน้านั้น จะเรียกกันว่า ‘กระด้งฝัดข้าว’

เมื่ออยู่ชิดกันเช่นนี้ หัวโจกจึงมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ…

เด็กหนุ่มที่มีดวงตาสีทองซึ่งสะท้อนกับความมืดของตรอกซอยพูดขึ้น

“เด็กโรงเรียนอื่นไม่ใช่เหรอ? แถมยังเป็นมนุษย์ คิดไงถึงได้มาไถเงินเด็กโรงเรียนนี้กันล่ะ?”

“…ก็ข้าไม่ชอบหน้าพวกผีสางอย่างพวกแกนี่หว่า! …อึก!?”

โดนกดลำคอให้แน่นยิ่งขึ้น

“เฮ้อ…สมัยนี้ผีสางก็เป็นเรื่องปกติไปแล้ว อีกอย่างนายก็น่าจะเกิดไม่ทันยุคที่ไม่มีผีสางด้วย”

เป็นไปตามที่เจ้าของดวงตาสีทองพูด

ยุคสมัยที่มีผีสางเดินกันขวักไขว่และยังผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เกิดขึ้นมานานแสนนาน ไม่มีทางที่หัวโจกคนนี้จะเกิดทันยุคที่ไร้ซึ่งภูตผีอย่างแน่นอน

“เอาล่ะ นายอยู่โรงเรียนไหน?”

“บอกก็โง่สิวะ!”

“ป้ายชื่อก็บอกอยู่นะ ฉันก็ถามไปงั้น”

หัวโจกถูกปล่อยมือกะทันหัน ไอดังค่อกแค่ก พยายามสูดอากาศเข้าปอด

เด็กหนุ่มที่ท่อนแขนประดับด้วยกระด้งฝัดข้าวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หมายจะโทรไปที่โรงเรียนของหัวโจกคนนี้

ขณะที่กำลังกดโทรนั่นเอง

“แก…เป็นใครวะ!? มาเสื*กเรื่องคนอื่นทำไม!?”

โดนถามมาเช่นนั้น

เด็กหนุ่มดวงตาสีทองจึงลูบลำคอตนเองเบาๆ พลางถอนหายใจ

“หน้าที่ฉันคือช่วยเหลือนักเรียน ที่นายไถเงินน้องคนนี้ก็อยู่ในความรับผิดชอบของฉันเหมือนกัน”

เพียงแค่นั้นและกดโทรศัพท์ต่อ

จังหวะที่กำลังจะต่อสาย

หัวโจกก็สังเกตเห็นช่องว่าง ลุกขึ้นพร้อมกำมีดในมือแน่น

จากนั้นก็แทงเข้าใส่

“ตายซะ! ไอ้บัดซบเอ๊ย!”

แม้จะเล่นทีเผลอ แต่ก็อยู่ในการคาดการณ์

เขาโยกตัวหลบก่อนใช้กำปั้นซัดไปที่แก้มหัวโจกอย่างแรง

พลั่ก!

เสียงน่าจะประมาณนั้น

เป็นหมัดที่รุนแรงจนคนที่โดนหมดสติลงทันที

เด็กเกเรทั้งสามร่วงลงกองกับพื้น

เด็กหนุ่มที่น่าสงสารก็เริ่มทำความเข้าใจสถานการณ์ได้ หลังจากที่ยืนเหม่อลอยมาตั้งแต่เมื่อครู่

“ขะ ขอบคุณที่ช่วยนะครับ”

“ไม่หรอก …ที่จริงพี่ก็ได้ข่าวมาสักพักแล้วล่ะ เดี๋ยวต้องส่งคนมาดูแลซอยนี้สักหน่อยแล้วสิ”

เมื่ออีกฝ่ายพูดเหมือนพึมพำ ก็สังเกตเห็นว่าป้ายชื่อที่สลักบนอกของผู้มีพระคุณนั้น คือของโรงเรียนอาคมจิตตวิทยา

“พะ ผมอยากขอบคุณพี่เป็นการส่วนตัวอีกครั้งน่ะครับ! พี่อยู่ห้องไหนเหรอครับ!?”

เด็กหนุ่มที่โดนถามแบบนั้นก็ลูบคอตัวเองเล็กน้อย ดูเหมือนนั่นจะเป็นกิริยาที่ติดเป็นนิสัยของเขา

“อืม…ที่จริงพี่อยู่สภานักเรียนน่ะ ถ้าอยากขอบคุณจริงๆไว้ไปหาพี่ที่ห้องสภาก็แล้วกัน”

และเตรียมจะเดินออกจากซอย นี่ก็ใกล้เวลาเข้าเรียนเต็มทีแล้ว

“พะ พี่ครับ!”

“ครับ?”

“…ผมอยากรู้ชื่อพี่น่ะครับ แค่ชื่อเล่นก็ได้!”

ดวงตาสีทองหรี่ยิ้มเล็กน้อย เส้นผมสีเลือดหมูเผยให้เห็นเมื่อแสงอาทิตย์จากนอกซอยส่องเข้ามา

และตอบออกไปอย่างสุภาพ

“…ต้นน่ะ เรียกว่าพี่ต้นก็ได้”

 

+   +

 

ช่วงพักเที่ยง

เนื่องจากนี่เป็นโรงเรียนสำหรับภูตผี ช่วงพักกลางวันจึงให้เวลามากกว่าโรงเรียนของมนุษย์ปกติ 

ถ้าถามว่าทำไมล่ะก็…ภูตผีบางตนก็ไม่ได้ใช้เวลากินข้าวแค่แป๊บเดียวนี่นะ ยกตัวอย่างก็ผีปอบคนหนึ่งที่เป็นสมาชิกสภานักเรียนนั่นแหละ

ด้วยเหตุนั้น ตัวผมที่ใช้เวลากินข้าวไม่ค่อยต่างจากคนทั่วไป จึงได้ใช้ช่วงเวลาที่ว่างนี้มานั่งอยู่ในห้องสภาแทน

บางทีก็มีคนมาขอให้ช่วยตอนช่วงพักเที่ยงด้วยล่ะนะ นี่จึงเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้ว

ส่วนคนที่อยู่ในห้องกับผมตอนนี้ ก็คือผีนางรำเช่นเดิม

“ประธานดูข่าวนี่สิคะ!”

พลอยเดินมาอย่างกระตือรือร้น ในมือก็ถือหนังสือพิมพ์จากชมรมข่าวมาด้วย

ชมรมข่าวจะพิมพ์หนังสือพิมพ์ด้วยตัวเอง และจะแจกจ่ายให้นักเรียนในโรงเรียนแบบฟรีๆ หลักๆก็คือหาพวกหัวข้อต่างๆที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมาใส่ในข่าวนั่นแหละ

อย่างเมื่อสัปดาห์ก่อน ผมก็ช่วยพวกเขาไปเรื่องนึงด้วย ผลตอบรับรู้สึกจะออกมาดีน่าดูเลยล่ะ

พลอยนั่งลงบนโต๊ะประธาน

“อย่านั่งบนโต๊ะสิ”

“อย่าพึ่งบ่นได้มั้ยคะ? ลองดูสิ!”

ผมไล่สายตาอ่านข่าวที่พลอยชี้ให้ดู

“…ไถเงินช่วงเช้าอีกแล้วเรอะ? ให้ตายสิ แถมยังเป็นเด็กจากโรงเรียนอื่นก่อเหตุอีกแล้วด้วย”

“น่ากลัวใช่มั้ยล่ะคะ?”

“ก็นะ …แต่ชมรมข่าวนี่หาข่าวกันเร็วดีจัง พึ่งเกิดเรื่องเมื่อเช้าเองนี่?”

“ชมรมข่าวก็ต้องหาข่าวสิคะ? ประธานสงสัยอะไรเนี่ย?”

“อืม…”

อย่างน้อยก็ไม่ได้โดนด่าตรงๆ แต่ในความรู้สึกเหมือนโดนหลอกด่าไงชอบกล

ผมปัดหนังสือพิมพ์ที่พลอยยื่นมาใกล้จนแทบจะทิ่มหน้าออก

“ว่าแต่ …ไอ้อัศวินแห่งความยุติธรรมนี่ หมายถึงอะไร?”

ชมรมข่าวก็ชอบใส่สีตีไข่ให้เว่อร์ๆล่ะนะ …จากที่อ่านเมื่อกี้ เห็นมีเขียนไว้ว่า ‘อัศวินแห่งความยุติธรรม’ เข้าช่วยเหลือเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารไว้ได้อย่างทันท่วงทีด้วย

พลอยพลิกหน้าหนังสือพิมพ์

“เดี๋ยวนะคะ… อ๋อ รู้สึกจะหมายถึงสภานักเรียนคนนึงน่ะค่ะ”

“สภานักเรียน? นั่นมันก็พวกเราไม่ใช่เหรอ?”

“หรือว่าจะเป็นประธานเหรอคะ?”

ผมปัดมือให้คำพูดของพลอย

“ไม่ใช่ฉันสักหน่อย ฉันมาถึงก็ตรงดิ่งเข้าโรงเรียนเลยต่างหาก”

และถ้าเป็นผมจริงๆ คงไม่โดนเขียนด้วยคำว่าอัศวินแน่นอน เผลอๆจะโดนเรียกว่ามัจจุราชมากกว่า

…ถ้าให้ตัดตัวเลือกล่ะก็ ไม่ใช่ผมกับพลอยแน่นอน ส่วนดิวกับสไปรท์ยิ่งไม่น่าใช่เข้าไปใหญ่ พี่น้ำก็มาโรงเรียนสายสุดๆก็ไม่น่าใช่อยู่ดี

งั้นก็ต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของสภา แถมยังเป็นห่วงความปลอดภัยของนักเรียน และยังมาโรงเรียนเช้าแต่ก็แวะตรวจความเรียบร้อยรอบๆโรงเรียนก่อนที่จะเข้าเรียนด้วย…

อืม…ถ้าตัดข้อสุดท้ายไป นั่นมันก็คือผมชัดๆเลยนี่นา?

“ประธานกำลังคิดอะไรหลงตัวเองอยู่รึเปล่าคะ?”

“เสียมารยาทจริง!”

…ก๊อกๆ

ผมกับพลอยหันไปทางประตู

“มีคนมาขอช่วยรึเปล่านะ?”

“ฉันก็ไม่รู้หรอก เธอไปเปิดให้หน่อย”

“รับทราบค่ะ”

…และเมื่อประตูถูกเปิดออก

“เอ๊ะ?”

ก็ได้ยินพลอยทำเสียงประหลาดใจ

คนอยู่หลังประตูเดินเข้ามาพร้อมวางถุงสัมภาระมากมายไว้บนโต๊ะรับแขก

และพูดขึ้น

“ขอโทษที…พอดีพี่มือเต็มน่ะ แค่เคาะประตูได้ก็เต็มกลืนแล้ว”

“พี่ต้น?”

ผมเผยสีหน้าสงสัย เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอสมาชิกสภาคนนี้เอาตอนนี้ สมาชิกชมรมคนสุดท้ายที่ยังไม่มีบท…

พี่ต้นก็ส่งรอยยิ้มให้พวกผม

“สวัสดีตอนบ่าย น้องประธาน น้องพลอย”

เคสที่ 7 ไถเงิน (กระหัง) /มีต่อ

สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ

สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ

Score 10
Status: Completed
คริสโตเฟอร์ ลูกชายของซาตาน ผู้ที่ลงมายังภพมนุษย์และศึกษาอยู่ในโรงเรียนสำหรับภูติผี ...หะ? ว่าไงนะ? โรงเรียนที่ว่านั่น เจ้าลูกชายซาตานเป็นประธานนักเรียนด้วยอย่างงั้นเหรอ!? แล้วยังงี้คริสโตเฟอร์ที่ต้องมานั่งแก้ปัญหาหนักอกหนักใจของวัยรุ่นเชื้อสาย 'ผีไทย' จะทำยังไงเนี่ย!?

Options

not work with dark mode
Reset