ในตรอกซอยแห่งหนึ่ง ช่วงเช้าก่อนเวลาเข้าเรียน
ถ้ามองออกไปยังแสงสว่างที่อยู่ด้านนอก จะมองเห็นเหล่านักเรียนที่แต่งกายด้วยชุดนักเรียนไทยเป็นระเบียบเรียบร้อยเดินกันขวักไขว่
นี่ก็เป็นเพียงซอยเล็กๆไม่น่าจดจำ ที่มีความหมายแค่เป็นทางผ่านระหว่างไปโรงเรียน
แต่เพราะเหตุนั้น สถานที่แห่งนี้จึงเหมาะเป็นแหล่งมั่วสุมของเหล่าเด็กเกเรอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสูบบุหรี่ หรือแม้แต่ดักรอเหยื่อให้เข้ามาในสายตา
แน่นอนว่าสำหรับโรงเรียนของสิ่งมีชีวิตลี้ลับแล้ว ไม่มีเด็กเกเรถึงขั้นนั้น เป็นเพราะลำพังแค่ข่มสัญชาตญาณตัวเองเอาไว้ก็แทบแย่ ยังไม่รวมถึงกฎข้อบังคับการใช้กำลังที่ค่อนข้างเข้มงวด
และสำหรับสารเสพติด ก็แทบไม่ได้อยู่ในความคิดของนักเรียนในโรงเรียนจิตตวิทยาเลยแม้แต่น้อย
ทว่า ควันบุหรี่ก็ยังลอยออกไปด้านนอกตรอก เหล่านักเรียนที่เดินผ่านจึงเผยสีหน้ารังเกียจออกมาเบาๆ
หรือก็คือ ตอนนี้ในซอยอันไร้ซึ่งความน่าจดจำที่เป็นเพียงทางผ่านไปโรงเรียนจิตตวิทยานั้น มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังใช้สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งมั่วสุม ไม่ก็…กำลังดักรอเหยื่อ
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่นักเรียนของโรงเรียนอาคมจิตตวิทยา
เป็นเด็กนักเรียนที่ไม่คู่ควรต่อคำว่าสงสารหรือน่าเห็นใจ…
“เฮ้ย เล่นไอ้เด็กนั่นเลยมั้ย?”
หนึ่งในสามของคนในกลุ่มเอ่ยขณะชะโงกมองไปนอกซอย ที่อยู่ในสายตาของเขาคือนักเรียนคนหนึ่งที่ท่าทางไม่ค่อยสู้คน
“เอาดิ ลากเข้ามาเลย”
และก็มีเสียงตอบรับที่แฝงด้วยความสนุกสนานเช่นนั้น
ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของเด็กอีกคนที่ต้องเอาตัวเป้าหมายเข้ามาภายในซอยไร้ผู้คนแห่งนี้
“เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
เขากล่าว พร้อมเดินออกไปด้านนอกซอยรับกับแสงอาทิตย์ยามเช้า
ปลายเท้าค่อยๆย่างเข้าใกล้เป้าหมาย
ก่อนที่จะกอดคอ…ไม่สิ ล็อกคอ‘เด็กหนุ่ม’ผู้น่าสงสารคนนั้นจากทางด้านหลัง
“ทะ ทำอะไรน่ะ!?”
“ตามมา อย่าแหกปากเชียวล่ะ”
“…!?”
เด็กหนุ่มพยายามจะขัดขืน แต่ก็รู้สึกได้ถึงของแหลมคมที่จี้อยู่ตรงเอว
ดังนั้นจึงต้องเดินตามเข้ามาด้านในซอยโดยไร้การขัดขืน ไม่รู้หรอกว่าเมื่อตามเข้ามาจะพบกับอะไรบ้าง แต่เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่รักชีวิตคนหนึ่ง
และเมื่อมาถึงด้านใน เด็กหนุ่มผู้อับโชคก็ถูกรุมล้อมด้วยเด็กเกเรทั้งสาม
“พะ พวกคุณ ไม่ได้อยู่โรงเรียนนี้นี่!?”
เด็กหนุ่มเอ่ยถาม เมื่อมองเห็นว่าบนอกซ้ายของเสื้อเชิ้ตอีกฝ่าย สลักด้วยตัวย่อคนละโรงเรียนกับของตน
ไม่ใช่จากโรงเรียนอาคมจิตตวิทยา และที่สำคัญคือไร้ซึ่งพลังวิญญาณ
คนที่น่าจะเป็นหัวโจกกระชากหัวเด็กหนุ่มอย่างแรง
“ก็เออสิ! อย่าเหมารวมพวกข้าเป็นผีสางอย่างพวกแก!”
ใช่แล้ว เด็กเกเรสามคนนี้ไม่ได้ศึกษาอยู่ในโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
พวกเขาก็เป็นเพียงกลุ่มนักเรียนที่มีความนึกคิดรังเกียจตัวตนที่เรียกว่าภูตผีก็เท่านั้น
ถ้าจะให้ลงลึกกว่านั้นหน่อย พวกเขาจงเกลียดจงชังเหล่านักเรียนในโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั้งหมดเลยล่ะ
และยังเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาอีกด้วย
หัวโจกจรดมีดไว้ที่ลำคอเด็กหนุ่ม
“ผีอย่างพวกแกคงฆ่าไม่ตายใช่มั้ยล่ะ?”
“มะ ไม่ใช่นะครับ! ผมก็มีร่างกายเหมือนมนุษย์!”
“มันจะเป็นอย่างงั้นได้ไงวะ!!”
เขาตะโกนพร้อมปักมีดลงข้างๆศีรษะเด็กหนุ่ม
คมมีดเจาะทะลุกำแพงเข้าไปนิดหน่อย
“จะยังไงก็ช่าง! มีตังค์เท่าไหร่ส่งมาให้หมด!”
“จะไถเงินกันเหรอครับ…!?”
“ก็เออสิวะ! รีบส่งมาได้แล้ว!”
เป็นการกระทำที่ออกจะตกยุคไปหน่อย แต่เป้าหมายของมนุษย์สามคนนี้คือไถเงินจากเด็กหนุ่ม
แม้ในจิตใจจะรังเกียจผีสาง แต่พวกเขาก็แค่พยายามทำตัวให้เหมือนกับเด็กเกเรทั่วๆไป ไม่ได้มีความคิดจะฆ่าฟันแต่อย่างใด
มีดก็แค่ไว้ใช้ขู่เท่านั้น
หลักๆก็แค่อยากได้เงินไปใช้ที่ร้านเกม หลังจากที่จะโดดเรียนวันนี้
“…”
น่าเสียดายที่แม้เด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นภูตผี แต่ก็ไม่ได้มีความสามารถมากพอจะหลุดลอดไปจากสถานการณ์ ดังนั้นเขาจึงได้แต่นิ่งเงียบเป็นการต่อต้าน
“เฮ้ย! พวกแก! ค้นกระเป๋าไอ้ผีนี่หน่อย!”
เมื่อหัวโจกว่าเช่นนั้น เหล่าลูกน้องอีกสองคนก็กระชากกระเป๋าของเด็กหนุ่ม
“อ๊ะ! อย่านะครับ!”
“หุบปาก!”
เสียงทึบๆดังขึ้นที่แก้มของเด็กหนุ่ม
เลือดไหลกลบริมฝีปาก
“เหอะ โดนไปทีเดียวเงียบเลยนะแก”
หัวโจกแสดงท่าทีชอบใจ ดูเหมือนจะมีปมในจิตใจที่หนาน่าดู ถึงได้เกลียดตัวตนที่เรียกว่าภูตผีถึงเพียงนี้
ลูกน้องรุมรื้อกระเป๋าของเด็กหนุ่มอย่างกับอีแร้งกินซากศพ
…นี่เป็นแค่ซอยเล็กๆไร้ซึ่งบทบาทและความน่าสนใจ ผู้คนที่เดินผ่านก็แค่เดินผ่านไปเฉยๆ ไม่แม้แต่จะชายตามองเข้ามาด้านใน
‘ไม่มีใครมาช่วยแน่’ นั่นคือสิ่งที่อยู่ในหัวเด็กหนุ่มที่กำลังสั่นด้วยความกลัว
“ลูกพี่! ไอ้เด็กนี่มันมีแค่สองร้อยเอง!”
“สองร้อยก็เงินเหมือนกันนั่นแหละ! ต่อไปค้นกระเป๋ากางเกงด้วย”
“คะ แค่นั้นยังไม่พออีกเหรอครับ!?”
“ใครสั่งให้พูดกันวะ!!!”
เด็กหนุ่มโดนต่อยอีกครั้ง
…แต่แล้ว ในขณะที่หนึ่งในลูกน้องเข้ามาจะล้วงกระเป๋า หาของมีค่าให้เยอะกว่านี้อีกสักนิดนั่นเอง…
เสียงลมกรรโชกพร้อมเสียงกระแทกก็ผ่านหูของหัวโจกไป
หัวโจกรีบหันไปยังทิศทางนั้น
“เกิดอะไรขึ้น…วะ…?”
น้ำเสียงขาดช่วง เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือหนึ่งในลูกน้องของเขาหมดสติอยู่ที่พื้น
อีกทั้งเสียงลมที่โฉบไปมาก็ยังดังอยู่เรื่อยๆ
“อั่ก!”
คราวนี้เป็นเสียงเช่นเดิมที่ดังจากลูกน้องอีกคน
สมุนทั้งสองล้มลง เหลือเพียงหัวโจกที่กำลังจับคอเสื้อของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่อย่างไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น
เสียงลมกรรโชกพร้อมด้วยเงาดำน่าขนลุกที่พุ่งไปมา ทำให้หัวโจกปล่อยมือจากเด็กหนุ่ม
และยกมีดขึ้น
“ใครวะ!? อยู่ไหน!? ออกมาเดี๋ยวนี้นะโว้ย!!”
เขาหันซ้ายหันขวาอย่างร้อนรน จนเสียงลมหยุดลง
และสายตาของเขาก็ไปบรรจบกับแสงสีทองสองจุดที่สะท้อนกับความมืดสลัวของตรอก
“บ้าอะไรวะ…”
สองสีทองนั้น ราวกับดวงตาของแมวที่จ้องอยู่ในความมืด
แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่ความน่าขนลุกที่ปล่อยออกมา ทำให้หัวโจกมั่นใจว่าสิ่งที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่แมวแน่ๆ
และเมื่อไปถึงความจริงนั้น หัวโจกก็ก้าวถอยหลังด้วยความกลัว
แต่นี่ก็เป็นแค่ซอยแคบๆ ไม่มีที่ให้ถอยมากไปกว่านี้
พริบตาถัดมา แสงสีทองก็พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
หัวโจกตกใจจนแทงมีดออกไปด้านหน้า
สัมผัสได้ว่าคมมีดเฉือนไปที่ผิวหนังของใครสักคน…
“อึก!”
ไม่ทันที่จะได้คิดต่อ เขาก็โดนฝ่ามือจับที่ลำคอและกระแทกเข้าใส่กำแพง
“นะ…หนอย!”
ในสายตาของหัวโจก นอกจากจะเห็นท่อนแขนเรียวยาวที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อบางๆอย่างคนสุขภาพดี ในท่อนแขนนั้นก็มีสิ่งที่ดูคล้ายกับจานบินอยู่ด้วย
…แต่ที่จริงก็เป็นเพราะความไม่รู้ของหัวโจกคนนี้…
เพราะสิ่งที่ติดอยู่ที่ท่อนแขนของคนตรงหน้านั้น จะเรียกกันว่า ‘กระด้งฝัดข้าว’
เมื่ออยู่ชิดกันเช่นนี้ หัวโจกจึงมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ…
เด็กหนุ่มที่มีดวงตาสีทองซึ่งสะท้อนกับความมืดของตรอกซอยพูดขึ้น
“เด็กโรงเรียนอื่นไม่ใช่เหรอ? แถมยังเป็นมนุษย์ คิดไงถึงได้มาไถเงินเด็กโรงเรียนนี้กันล่ะ?”
“…ก็ข้าไม่ชอบหน้าพวกผีสางอย่างพวกแกนี่หว่า! …อึก!?”
โดนกดลำคอให้แน่นยิ่งขึ้น
“เฮ้อ…สมัยนี้ผีสางก็เป็นเรื่องปกติไปแล้ว อีกอย่างนายก็น่าจะเกิดไม่ทันยุคที่ไม่มีผีสางด้วย”
เป็นไปตามที่เจ้าของดวงตาสีทองพูด
ยุคสมัยที่มีผีสางเดินกันขวักไขว่และยังผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เกิดขึ้นมานานแสนนาน ไม่มีทางที่หัวโจกคนนี้จะเกิดทันยุคที่ไร้ซึ่งภูตผีอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ นายอยู่โรงเรียนไหน?”
“บอกก็โง่สิวะ!”
“ป้ายชื่อก็บอกอยู่นะ ฉันก็ถามไปงั้น”
หัวโจกถูกปล่อยมือกะทันหัน ไอดังค่อกแค่ก พยายามสูดอากาศเข้าปอด
เด็กหนุ่มที่ท่อนแขนประดับด้วยกระด้งฝัดข้าวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หมายจะโทรไปที่โรงเรียนของหัวโจกคนนี้
ขณะที่กำลังกดโทรนั่นเอง
“แก…เป็นใครวะ!? มาเสื*กเรื่องคนอื่นทำไม!?”
โดนถามมาเช่นนั้น
เด็กหนุ่มดวงตาสีทองจึงลูบลำคอตนเองเบาๆ พลางถอนหายใจ
“หน้าที่ฉันคือช่วยเหลือนักเรียน ที่นายไถเงินน้องคนนี้ก็อยู่ในความรับผิดชอบของฉันเหมือนกัน”
เพียงแค่นั้นและกดโทรศัพท์ต่อ
จังหวะที่กำลังจะต่อสาย
หัวโจกก็สังเกตเห็นช่องว่าง ลุกขึ้นพร้อมกำมีดในมือแน่น
จากนั้นก็แทงเข้าใส่
“ตายซะ! ไอ้บัดซบเอ๊ย!”
แม้จะเล่นทีเผลอ แต่ก็อยู่ในการคาดการณ์
เขาโยกตัวหลบก่อนใช้กำปั้นซัดไปที่แก้มหัวโจกอย่างแรง
พลั่ก!
เสียงน่าจะประมาณนั้น
เป็นหมัดที่รุนแรงจนคนที่โดนหมดสติลงทันที
เด็กเกเรทั้งสามร่วงลงกองกับพื้น
เด็กหนุ่มที่น่าสงสารก็เริ่มทำความเข้าใจสถานการณ์ได้ หลังจากที่ยืนเหม่อลอยมาตั้งแต่เมื่อครู่
“ขะ ขอบคุณที่ช่วยนะครับ”
“ไม่หรอก …ที่จริงพี่ก็ได้ข่าวมาสักพักแล้วล่ะ เดี๋ยวต้องส่งคนมาดูแลซอยนี้สักหน่อยแล้วสิ”
เมื่ออีกฝ่ายพูดเหมือนพึมพำ ก็สังเกตเห็นว่าป้ายชื่อที่สลักบนอกของผู้มีพระคุณนั้น คือของโรงเรียนอาคมจิตตวิทยา
“พะ ผมอยากขอบคุณพี่เป็นการส่วนตัวอีกครั้งน่ะครับ! พี่อยู่ห้องไหนเหรอครับ!?”
เด็กหนุ่มที่โดนถามแบบนั้นก็ลูบคอตัวเองเล็กน้อย ดูเหมือนนั่นจะเป็นกิริยาที่ติดเป็นนิสัยของเขา
“อืม…ที่จริงพี่อยู่สภานักเรียนน่ะ ถ้าอยากขอบคุณจริงๆไว้ไปหาพี่ที่ห้องสภาก็แล้วกัน”
และเตรียมจะเดินออกจากซอย นี่ก็ใกล้เวลาเข้าเรียนเต็มทีแล้ว
“พะ พี่ครับ!”
“ครับ?”
“…ผมอยากรู้ชื่อพี่น่ะครับ แค่ชื่อเล่นก็ได้!”
ดวงตาสีทองหรี่ยิ้มเล็กน้อย เส้นผมสีเลือดหมูเผยให้เห็นเมื่อแสงอาทิตย์จากนอกซอยส่องเข้ามา
และตอบออกไปอย่างสุภาพ
“…ต้นน่ะ เรียกว่าพี่ต้นก็ได้”
+ +
ช่วงพักเที่ยง
เนื่องจากนี่เป็นโรงเรียนสำหรับภูตผี ช่วงพักกลางวันจึงให้เวลามากกว่าโรงเรียนของมนุษย์ปกติ
ถ้าถามว่าทำไมล่ะก็…ภูตผีบางตนก็ไม่ได้ใช้เวลากินข้าวแค่แป๊บเดียวนี่นะ ยกตัวอย่างก็ผีปอบคนหนึ่งที่เป็นสมาชิกสภานักเรียนนั่นแหละ
ด้วยเหตุนั้น ตัวผมที่ใช้เวลากินข้าวไม่ค่อยต่างจากคนทั่วไป จึงได้ใช้ช่วงเวลาที่ว่างนี้มานั่งอยู่ในห้องสภาแทน
บางทีก็มีคนมาขอให้ช่วยตอนช่วงพักเที่ยงด้วยล่ะนะ นี่จึงเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้ว
ส่วนคนที่อยู่ในห้องกับผมตอนนี้ ก็คือผีนางรำเช่นเดิม
“ประธานดูข่าวนี่สิคะ!”
พลอยเดินมาอย่างกระตือรือร้น ในมือก็ถือหนังสือพิมพ์จากชมรมข่าวมาด้วย
ชมรมข่าวจะพิมพ์หนังสือพิมพ์ด้วยตัวเอง และจะแจกจ่ายให้นักเรียนในโรงเรียนแบบฟรีๆ หลักๆก็คือหาพวกหัวข้อต่างๆที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมาใส่ในข่าวนั่นแหละ
อย่างเมื่อสัปดาห์ก่อน ผมก็ช่วยพวกเขาไปเรื่องนึงด้วย ผลตอบรับรู้สึกจะออกมาดีน่าดูเลยล่ะ
พลอยนั่งลงบนโต๊ะประธาน
“อย่านั่งบนโต๊ะสิ”
“อย่าพึ่งบ่นได้มั้ยคะ? ลองดูสิ!”
ผมไล่สายตาอ่านข่าวที่พลอยชี้ให้ดู
“…ไถเงินช่วงเช้าอีกแล้วเรอะ? ให้ตายสิ แถมยังเป็นเด็กจากโรงเรียนอื่นก่อเหตุอีกแล้วด้วย”
“น่ากลัวใช่มั้ยล่ะคะ?”
“ก็นะ …แต่ชมรมข่าวนี่หาข่าวกันเร็วดีจัง พึ่งเกิดเรื่องเมื่อเช้าเองนี่?”
“ชมรมข่าวก็ต้องหาข่าวสิคะ? ประธานสงสัยอะไรเนี่ย?”
“อืม…”
อย่างน้อยก็ไม่ได้โดนด่าตรงๆ แต่ในความรู้สึกเหมือนโดนหลอกด่าไงชอบกล
ผมปัดหนังสือพิมพ์ที่พลอยยื่นมาใกล้จนแทบจะทิ่มหน้าออก
“ว่าแต่ …ไอ้อัศวินแห่งความยุติธรรมนี่ หมายถึงอะไร?”
ชมรมข่าวก็ชอบใส่สีตีไข่ให้เว่อร์ๆล่ะนะ …จากที่อ่านเมื่อกี้ เห็นมีเขียนไว้ว่า ‘อัศวินแห่งความยุติธรรม’ เข้าช่วยเหลือเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารไว้ได้อย่างทันท่วงทีด้วย
พลอยพลิกหน้าหนังสือพิมพ์
“เดี๋ยวนะคะ… อ๋อ รู้สึกจะหมายถึงสภานักเรียนคนนึงน่ะค่ะ”
“สภานักเรียน? นั่นมันก็พวกเราไม่ใช่เหรอ?”
“หรือว่าจะเป็นประธานเหรอคะ?”
ผมปัดมือให้คำพูดของพลอย
“ไม่ใช่ฉันสักหน่อย ฉันมาถึงก็ตรงดิ่งเข้าโรงเรียนเลยต่างหาก”
และถ้าเป็นผมจริงๆ คงไม่โดนเขียนด้วยคำว่าอัศวินแน่นอน เผลอๆจะโดนเรียกว่ามัจจุราชมากกว่า
…ถ้าให้ตัดตัวเลือกล่ะก็ ไม่ใช่ผมกับพลอยแน่นอน ส่วนดิวกับสไปรท์ยิ่งไม่น่าใช่เข้าไปใหญ่ พี่น้ำก็มาโรงเรียนสายสุดๆก็ไม่น่าใช่อยู่ดี
งั้นก็ต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของสภา แถมยังเป็นห่วงความปลอดภัยของนักเรียน และยังมาโรงเรียนเช้าแต่ก็แวะตรวจความเรียบร้อยรอบๆโรงเรียนก่อนที่จะเข้าเรียนด้วย…
อืม…ถ้าตัดข้อสุดท้ายไป นั่นมันก็คือผมชัดๆเลยนี่นา?
“ประธานกำลังคิดอะไรหลงตัวเองอยู่รึเปล่าคะ?”
“เสียมารยาทจริง!”
…ก๊อกๆ
ผมกับพลอยหันไปทางประตู
“มีคนมาขอช่วยรึเปล่านะ?”
“ฉันก็ไม่รู้หรอก เธอไปเปิดให้หน่อย”
“รับทราบค่ะ”
…และเมื่อประตูถูกเปิดออก
“เอ๊ะ?”
ก็ได้ยินพลอยทำเสียงประหลาดใจ
คนอยู่หลังประตูเดินเข้ามาพร้อมวางถุงสัมภาระมากมายไว้บนโต๊ะรับแขก
และพูดขึ้น
“ขอโทษที…พอดีพี่มือเต็มน่ะ แค่เคาะประตูได้ก็เต็มกลืนแล้ว”
“พี่ต้น?”
ผมเผยสีหน้าสงสัย เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอสมาชิกสภาคนนี้เอาตอนนี้ สมาชิกชมรมคนสุดท้ายที่ยังไม่มีบท…
พี่ต้นก็ส่งรอยยิ้มให้พวกผม
“สวัสดีตอนบ่าย น้องประธาน น้องพลอย”
เคสที่ 7 ไถเงิน (กระหัง) /มีต่อ