ตอนที่ 1597 ตอนจบ (3)
……….
นั่นคือหลานชายคนเล็กสุดของเขา หลานชายของเขาไม่กลัวผู้ใดมาตั้งแต่เล็ก หลู่หยวนเผิงสนิทสนมกับเขามากที่สุด…
ไป๋จิ่นจื้อยืนอยู่ด้านหลัง นางมองเห็นหลู่หยวนชิ่ง หลู่เฟิ่งหลาง ทว่า ไม่เห็นหลู่หยวนเผิง นางคิดว่าหลู่หยวนเผิงกำลังรักษาตัวอยู่จึงไม่ได้มาที่นี่ นางตั้งใจว่าเมื่อพบหน้าครอบครัวเสร็จจะชวนซือหม่าผิงไปเยี่ยมหลู่หยวนเผิงที่จวนหลู่ด้วยกัน
งานเลี้ยงใหญ่เฉลิมฉลองที่ต้าโจวรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งสำเร็จจะถูกจัดขึ้นในวังหลวงวันที่แปด เดือนห้า วันนี้ทายาทตระกูลไป๋กลับมาจากสนามรบครบทุกคน อีกทั้งสานต่อปณิธานของบรรพบุรุษสำเร็จแล้ว ครอบครัวของพวกนางจะจัดงานฉลองเล็กๆ ภายในครอบครัว
ส่วนเรื่องเฉลิมฉลองของแคว้นค่อยว่ากันอีกที
วันที่หนึ่ง เดือนห้าเปรียบเสมือนวันที่ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
มู่หรงลี่ได้พบหน้าองค์ใหญ่ชายและองค์ชายสองของต้าเยี่ยน บิดามารดาของเซี่ยสวินเดินทางติดตามกองทัพมายังต้าโจวเช่นเดียวกัน
งานเลี้ยงครอบครัวในวันนี้ไม่ได้มีเพียงคนของตระกูลไป๋เท่านั้น ยังมีเขยอย่างเซียวหรงเหยี่ยนและฉินหล่างด้วย
ตอนที่ฉินหล่างเห็นเซียวหรงเหยี่ยนในงานเลี้ยงเขาตกใจจนแทบสะดุดล้ม
ตอนนี้ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งแล้ว เซียวหรงเหยี่ยนเคยสนิทสนมกับฉินหล่างดังนั้นเขาจึงไม่ปิดบังตัวตนของตัวเองอีกต่อไป ชายหนุ่มดื่มขอขมาฉินหล่างสามจอก…
ฉินหล่างกระจ่างแจ้งในทันที “มิน่า หรงเหยี่ยนเป็นเพียงพ่อค้าแท้ๆ ทว่า เจ้ากลับมีรัศมีสูงส่ง ที่แท้เจ้าคืออ๋องเก้าของต้าเยี่ยนนี่เอง”
เซียวหรงเหยี่ยนได้ยินจึงชูจอกเหล้าในมือขึ้น “ขออภัยสหายฉินด้วย”
“มิเป็นอันใด ตอนนี้พวกเราคือครอบครัวเดียวกันแล้ว!” ฉินหล่างรีบยกจอกเหล้าขึ้นเช่นเดียวกัน
“พวกเจ้าดื่มกันให้น้อยๆ หน่อย กระเพาะของฉินหล่างเพิ่งดีขึ้นเอง…” หลิ่วซื่อหันไปกล่าวกับหลัวหมัวมัวยิ้มๆ “เปลี่ยนเป็นน้ำดอกเหมยให้พวกเขาที”
ช่วงที่ไป๋จิ่นซิ่วไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงฉินหล่างดูแลหลิ่วซื่อเป็นอย่างดีเกินบุตรชายแท้ๆ ด้วยซ้ำ
ฉินหล่างรู้ดีว่าแม่ยายของเขาเสียใจที่บุตรชายของฮูหยินคนอื่นรอดชีวิตกลับมา ทว่า บุตรชายของนางไม่ได้กลับมาสักคน ฉินหล่างจึงกล่าวกับหลิ่วซื่อว่าเขาแต่งงานกับไป๋จิ่นซิ่วและเรียกนางว่าท่านแม่แล้วเขาก็คือบุตรชายคนหนึ่งของนาง เขาจะดูแลหลิ่วซื่อแทนภรรยาและน้องภรรยาของตัวเองจนกว่าพวกเขาเหล่านั้นจะกลับมาหาหลิ่วซื่อ หลิ่วซื่อจึงคลายเศร้าลงได้
เสี่ยวปาและวั่งเกอช่วยกันดูแลสี่เล่อและคังเล่อไม่ให้คลานไปหาไป๋ชิงเหยียน
ทุกคนในครอบครัวรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุข เมื่อท้องฟ้ามืดลงงานเลี้ยงจึงเลิกรา
ไป๋จิ่นถงและไป๋จิ่นจื้อพาฮูหยินสามหลี่ซื่อที่ดื่มเหล้าดอกเหมยจนเริ่มมึนเมาเล็กน้อยกลับไปส่งที่ตำหนักของนาง สองสาวถูกหลี่ซื่อรั้งให้อยู่สนทนาด้วยพักใหญ่ถึงจะปลีกตัวออกมาได้
ไป๋จิ่นจื้อสะบัดแขนของตัวเองเบาๆ นางเดินออกมาจากตำหนักของหลี่ซื่อพร้อมไป๋จิ่นถงพลางกล่าวขึ้นยิ้มๆ “ดีจริงๆ พี่หญิงสามกลับมาแล้ว ข้าจะได้ไม่โดนท่านแม่ลากไปแต่งตัวและเร่งให้แต่งงานคนเดียวอีกแล้ว พี่หญิงสามกลับมาแล้ว ท่านแม่ไม่มีเวลามาสนใจข้าแล้ว!”
ไป๋จิ่นถงยกมือเขกศีรษะของไป๋จิ่นจื้อเบาๆ “รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
“ข้าจะออกไปเยี่ยมหลู่หยวนเผิงก่อนเจ้าค่ะ พี่หญิงสามไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อกล่าวจบก็เตรียมจากไป
“เสี่ยวซื่อ!” ไป๋จิ่นถงเอ่ยเรียกไป๋จิ่นจื้อ พี่ชายห้าเป็นคนให้นางบอกเรื่องของหลู่หยวนเผิงกับไป๋จิ่นจื้อ นางยังหาโอกาสเหมาะสมบอกกับน้องสาวไม่ได้เลย
“พี่หญิงสามเจ้าคะ” ไป๋จิ่นจื้อโบกมือไปมาด้านหน้าพี่หญิงสาม
ไป๋จิ่นถงกุมมือไป๋จิ่นจื้อไว้หลวมๆ เงยหน้ามองสบกับดวงตาบริสุทธิ์ของน้องสาว จากนั้นกล่าวขึ้นช้าๆ กลางเสียงลมที่พัดอย่างเอื่อยๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋จิ่นจื้อหายไปทันที…
ต่งซื่อเรียกเซียวหรงเหยี่ยนมายังตำหนักของตัวเอง นางให้ฉินหมัวมัวนำเครื่องแต่งกายที่นางเย็บไว้ให้เซียวหรงเหยี่ยนออกมาให้ชายหนุ่มลองใส่ทั้งหมดเพื่อดูว่าต้องแก้ตรงจุดใดบ้าง นางจะได้รีบแก้ไขโดยเร็ว
ไป๋ชิงเหยียนและไป๋ชิงอวี๋นั่งอยู่ท่ามกลางแสงตะเกียงด้านข้าง
ไป๋ชิงอวี๋ยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย เขาเห็นเซียวหรงเหยี่ยนให้ความร่วมมือกับต่งซื่อมาก ไม่ว่ามารดาของเขาซึ่งอุ้มสี่เล่ออยู่จะสั่งให้ชายหนุ่มลองชุดใดเขาก็ลองแต่โดยดี ยังไม่เพียงเท่านี้เซียวหรงเหยี่ยนยังถามมารดาของเขาอีกว่าควรเอาหมวกหยกมาใส่คู่กับชุดที่มารดาของเขาเตรียมให้ด้วยดีหรือไม่
ไป๋ชิงอวี๋หันไปกล่าวกับพี่สาวของตัวเอง “พี่หญิง เซียวหรงเหยี่ยนผู้นี้ช่างเอาใจท่านแม่เก่งยิ่งนักขอรับ”
ตั้งแต่ที่จีโฮ่วจากไปก็ไม่มีผู้ใดเย็บเสื้อให้เซียวหรงเหยี่ยนอีกดังนั้นชายหนุ่มจึงรู้สึกดีใจและอบอุ่นมาก เขาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและมองต่งซื่อสั่งให้ฉินหมัวมัวแก้ไขชุดให้เข้ากับเขาอย่างมีความสุข
“หากเจ้าให้ความร่วมมือกับท่านแม่เช่นนี้ท่านแม่ก็คงมีความสุขเช่นเดียวกัน” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวยิ้มๆ
“พี่หญิง…” ไป๋ชิงอวี๋วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ จากนั้นกล่าวกับพี่สาวของตัวเอง “พี่หญิงใหญ่จะทำเช่นไรกับฐานะของเซียวหรงเหยี่ยนขอรับ คนของตระกูลไป๋รู้ว่าเขาคือเขยของตระกูลไป๋ ทว่า คนอื่นต่างคิดว่าสามีของจักรพรรดินีต้าโจวเสียชีวิตไปแล้ว พวกเราจะอธิบายเรื่องนี้เช่นไรขอรับ ให้เซียวหรงเหยี่ยนแต่งงานกับพี่หญิงใหญ่ในฐานะอ๋องเก้าของต้าเยี่ยนอีกครั้งหรือขอรับ เช่นนี้เด็กทั้งสองจะได้มีบิดาจริงๆ เสียทีขอรับ”
“เมื่อระบอบการปกครองใหม่เข้าที่เข้าทาง พี่กับอาเหยี่ยนตั้งใจว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไป๋ว่อ” ไป๋ชิงเหยียนไม่คิดปิดบังน้องชาย นางลูบหลังของคังเล่อเบาๆ จากนั้นกล่าวขึ้น “ดังนั้นเรื่องฐานะจึงไม่จำเป็นเท่าใดนัก อาเหยี่ยนก็คิดเหมือนพี่เช่นกัน”
แทนที่จะให้เซียวหรงเหยี่ยนแต่งงานกับนางอีกครั้งในฐานะอ๋องเก้าต้าเยี่ยนและปล่อยให้คนอื่นสงสัยว่าเขาคืออดีตสามีของจักรพรรดินีแห่งต้าโจวจริงๆ ไม่ก็มีคนคิดถอดหน้ากากเพื่อดูใบหน้าที่แท้จริงของเซียวหรงเหยี่ยน ไม่สู้ไม่แต่งงานใหม่ดีกว่า เพราะอีกไม่นานพวกนางก็จะย้ายไปอยู่ไป๋ว่อแล้ว
เซียวหรงเหยี่ยนต้องการเช่นนี้เหมือนกัน
“พี่หญิง!” ไป๋ชิงอวี๋หยัดหลังตรงพลางขมวดคิ้วยุ่ง
ไป๋ชิงเหยียนหันไปกล่าวกับต่งซื่อยิ้มๆ ราวกับไม่ได้ยินเสียงเรียกของน้องชาย “ท่านแม่ ท่านตัดชุดให้อาเหยี่ยนคนเดียว อาอวี๋อิจฉาแล้วเจ้าค่ะ…”
“ข้าเปล่า!” ไป๋ชิงอวี๋เถียงกลับ
รอยยิ้มบนใบหน้าของต่งซื่อกว้างกว่าเดิม “โตถึงเพียงนี้แล้วเหตุใดยังขี้อิจฉาเป็นเด็กๆ ไปได้ เจ้าก็มีเหมือนกัน มีทุกคน!”
สี่เล่อในอ้อมกอดของต่งซื่อส่งเสียงอ้อแอ้ขึ้นเช่นเดียวกัน ต่งซื่อยิ้มกว้างกว่าเดิม “สี่เล่อของพวกเราก็มี คังเล่อด้วย! ยายเย็บชุดที่จะใส่ในงานเลี้ยงวันที่แปดให้พวกเจ้าแล้ว เหล่าขุนนางจะได้เห็นว่าสี่เล่อและคังเล่อของพวกเราน่าเอ็นดูเพียงใด”
งานเลี้ยงวันที่แปด เดือนห้าคืองานเลี้ยงในวังครั้งแรกหลังจากที่ต้าโจวรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้สำเร็จดังนั้นจึงต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่แล้วมา ดังนั้นคนในวังหลวงจึงเร่งกันจัดงานตั้งแต่จักรพรรดินีต้าโจวเดินทางกลับถึงเมืองหลวง
วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีเมฆทึบแม้แต่น้อย
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่หน้าตำหนักหมิง จักรพรรดินีของต้าโจวนั่งอยู่บนเก้าอี้ท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้า พรมแดงถูกปูยาวบนพื้นสองข้างทาง
เหล่าขุนนางถูกจัดให้นั่งตามลำดับความสำคัญบนบันไดขาวหยกแต่ละชั้น
คังน่านั่งบรรเลงเพลงใต้หล้าสงบสุขอยู่ตรงกลางท่ามกลางเหล่านักดนตรีบนที่พักบันไดตรงกลาง
พวกเขารู้สึกเหมือนเห็นภาพใต้หล้าที่สงบสุขหลังผ่านสงครามใหญ่อันยืดเยื้อและยาวนานผ่านบทเพลงนี้
ปรมาจารย์ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงซึ่งนั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายของจักรพรรดินีต้าโจวเช่นเดียวกับกลุ่มของไป๋ชิงอวี๋และปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมินเชียนชิวเซียนเซิงไม่ได้รู้สึกไม่พอใจกับฐานะของคังน่าแม้แต่น้อย พวกเขาเพลิดเพลินไปกับเสียงบรรเลงที่ได้ยิน
นอกจากเหล่าทหารแล้ว ผู้ที่มาร่วมงานในวันนี้ยังมีบรรดาหมอที่ไป๋ชิงเหยียนพามาจากต้าเยี่ยนด้วย
แม้แต่บรรดาหมอยังรู้สึกซาบซึ้งไปกับบทเพลงจนน้ำตาแทบไหลออกมา
บทเพลงบรรเลงจบ
เหล่าขุนนางชูจอกเหล้าในมือขึ้น “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทที่รวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งได้สำเร็จ ต้าโจวจงเจริญหมื่นปี ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวหรงเหยี่ยนและมู่หรงลี่ที่นั่งอยู่ทางฝั่งขวาของไป๋ชิงเหยียนชูจอกเหล้าแสดงความยินดีกับหญิงสาวเช่นเดียวกัน
หลี่หมิงรุ่ยซึ่งนั่งอยู่กับเฉินเจาลู่ลุกขึ้นยืนชูจอกเหล้าแสดงความยินดีกับไป๋ชิงเหยียน “ฝ่าบาททรงรวบรวมใต้หล้าได้สำเร็จภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงสามปีนับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ ทรงเป็นจักรพรรดินีที่น่าสรรเสริญยิ่งนัก กระหม่อมขอดื่มแสดงความยินดีให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินเจาลู่ที่นั่งอยู่ข้างหลี่หมิงรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาล้วงมือสองข้างเข้าไปในกระเป๋าเสื้อพลางก้มหน้าต่ำลงเล็กน้อย หลี่หมิงรุ่ยเป็นคนชอบประจบ ทว่า จักรพรรดินีของพวกเขาไม่ใช่จักรพรรดิต้าจิ้น นางไม่ชอบขุนนางที่ชอบกล่าวประจบอยู่แล้ว
ไปชิงเหยียนหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นกล่าวขึ้น “เราเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้เพียงสามปี แม้เราจะขึ้นชื่อว่าทำสงครามเก่ง ทว่า การรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งสำเร็จได้เพราะทุกคนในแคว้นร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเพราะการเสียสละของเหล่าทหารมากมาย เราจะกล้ารับคำสรรเสริญเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นยืนพลางชูเหล้าในมือขึ้น ทุกคนรีบลุกขึ้นตามทันที
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางเหล่าขุนนาง ทหาร หมอชุดขาว อาจารย์ของนางและปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียวชิวเซียนเซิง จากนั้นกล่าวขึ้นเสียงดัง “วันนี้เราควรเป็นคนคารวะเหล้าทุกท่าน! คารวะเหล่าทหารทุกคนที่เสียสละชีพเพื่อแคว้นต้าโจวอย่างกล้าหาญ! พวกเขาเสียสละเลือดเนื้อของพวกเขา พวกเราจึงมีอย่างทุกวันนี้ได้! เราขอใช้เหล้าจอกนี้คารวะท่านปู่ไป๋เวยถิง บิดา บรรดาท่านอาและน้องชายของเรา ขอคารวะหานเฉิงอ๋อง แม่ทัพจางตวนรุ่ย แม่ทัพฟางเหยียน แม่ทัพเยว่จือโจว หลู่หยวนเผิง…”
ไป๋จิ่นจื้อได้ยินนามของหลู่หยวนเผิงจึงกำหมัดที่วางอยู่บนหน้าตักแน่นทันที ขอบตาของนางร้อนผ่าว
หลู่หยวนเผิง…เสียชีวิตเพราะช่วยชีวิตนางเอาไว้
ไป๋จิ่นถงลูบมือของน้องสาวเบาๆ
“เราต้องขอคารวะเยี่ยนซานอ๋องและเยี่ยนเซียงอ๋อง…” ไป๋ชิงเหยียนหันไปทางเซียวหรงเหยี่ยนและมู่หรงลี่ นางไม่อยากให้มู่หรงลี่แบกรับคำว่าจักรพรรดิแห่งแคว้นดับสูญ นางจะอธิบายแทนมู่หรงลี่ “คารวะในความใจกว้างของเยี่ยนซานอ๋องและเยี่ยนเซียงอ๋อง พวกเราตกลงกันไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะทำสัญญาพันธมิตรทำลายล้างซีเหลียงแล้วว่าพวกเราจะเดิมพันด้วยระบอบการปกครองของสองแคว้น หากการปกครองของแคว้นใดทำให้ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่ากันแคว้นนั้นจะได้เป็นคนครอบครองใต้หล้าแห่งนี้ ใต้หล้าจะใช้ระบอบการปกครองของแคว้นนั้น ต้าเยี่ยนไม่ได้ยอมจำนนต่อพวกเราเพราะถูกบีบจนไม่มีทางเลือก แม้สุดท้ายการเดิมพันยังไม่สิ้นสุด ทว่า เยี่ยนซานอ๋องและเยี่ยนเซียงอ๋องเห็นแก่ชาวบ้าน ไม่อยากให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนไปมากกว่านี้ เรานับถือในความใจกว้างของพวกเขายิ่งนัก!”
ลำคอของมู่หรงลี่ร้อนผ่าว เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าไป๋ชิงเหยียนจะช่วยแก้ต่างให้เขาในงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
หากนางรับความดีความชอบในการรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งไว้คนเดียวจะทำให้นางได้ใจคนทั้งใต้หล้ามากกว่านี้ ทว่า นางกลับเลือกที่จะอธิบายให้เขา
มู่หรงลี่กล่าวด้วยขอบตาที่แดงก่ำ “ระบอบการปกครองของต้าเยี่ยนสู้ต้าโจวไม่ได้ แม้จะเดิมพันกันได้ไม่นานลี่ก็มองออก ระบอบการปกครองของต้าโจวมีประโยชน์ต่อชาวบ้าน ลี่ยินดีรวมเป็นหนึ่งกับต้าโจว หวังเพียงใต้หล้าสงบสุข ชาวบ้านพบกับสันติสุขที่แท้จริงพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า จากนั้นดื่มเหล้าในจอกสีเงินจนหมดจอกเช่นเดียวกับมู่หรงลี่
ชุนเถาถือกาเหล้าเข้าไปรินเหล้าให้ไป๋ชิงเหยียนเพิ่ม จากนั้นถอยกลับไปยืนอยู่ด้านข้าง
“เหล้าจอกนี้ ขอคารวะแด่เหล่าทหารทุกคนที่รอดกลับมาอย่างปลอดภัย” ไป๋ชิงเหยียนชูเหล้าหันไปทางหมอหงและบรรดาหมอที่นางเชิญกลับมาเมืองหลวงด้วย “ขอคารวะหมอทุกท่านที่ติดตามเราไปรักษาโรคระบาดที่ต้าเยี่ยน พวกท่านคือวีรบุรุษเช่นเดียวกัน”
บรรดาหมอที่เคยคิดถอดใจหนีกลับมารู้สึกตื้นตันมาก หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นเสียงดัง “การช่วยชีวิตคนคือหน้าที่ของพวกกระหม่อม เทียบกับเหล่าทหารที่พร้อมพลีชีพเพื่อแคว้นแล้วพวกกระหม่อมไม่คู่ควรกับคำว่าวีรบุรุษแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงยกย่องเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไป๋ชิงเหยียนไม่เห็นด้วยกับคำของท่าน” ไป๋ชิงเหยียนโบกมือ จากนั้นกล่าวยิ้มๆ “ทหารที่ออกไปรบคือวีรบุรุษเพราะพวกเขาคุ้มครองชาวบ้านและแคว้นให้สงบสุข หมอที่กล้าเดินทางไปรักษาโรคระบาดคือวีรบุรุษเพราะพวกท่านช่วยชีวิตคนเช่นเดียวกัน เราขอคารวะเหล้าจอกนี้แด่พวกท่านและขุนนางต้าโจวทุกคน ทุกคนล้วนมีจิตวิญญาณของวีรบุรุษอยู่ในตัว ร้อยปีหลังจากนี้พวกเราจะเหลือเพียงเถ้าถ่าน ทว่า จิตวิญญาณวีรบุรุษของต้าโจวพวกเราจะคงอยู่สืบไป ไม่เสื่อมคลาย!”
หมอเหล่านั้นกล่าวเสียงสะอื้นทั้งน้ำตา “ต้าโจวคงอยู่สืบไป!”
“ต้าโจวคงอยู่สืบไป!”
“ต้าโจวคงอยู่สืบไป!”
เหล่าขุนนางและทหารหน้าตำหนักพากันตะโกนขึ้น เสียงตะโกนดังสนั่นไปทั่วบริเวณจนคนฟังรู้สึกเลือดร้อนไปทั้งร่าง
ดวงตาดำขลับของเซียวหรงเหยี่ยนมองไปยังร่างผอมเพรียวของสตรีในชุดจักรพรรดินีของแคว้นที่ยืนถือจอกเหล้าสีเงินเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
กว่าใต้หล้าจะรวมเป็นหนึ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาและไป๋ชิงเหยียนย่อมอยากให้มันคงอยู่สืบไปอยู่แล้ว…
ทว่า เป็นดังที่ไป๋ชิงเหยียนเคยกล่าวกับเขา ความดีความชอบมีมากน้อย เวลามีสั้นและนาน ใต้หล้ามีหลายฤดูกาล มีรุ่งเรืองก็ต้องมีดับสูญ พวกเขาได้แต่หวังว่าความสงบสุขของใต้หล้าจะอยู่ได้นานเท่าที่จะนานได้
เซียวหรงเหยี่ยนชูจอกเหล้าให้ไป๋ชิงเหยียน จากนั้นกล่าวขึ้นช้าๆ “แด่ความวุ่นวายของสงครามในอดีต แด่ความสงบสุขในวันหน้าของใต้หล้า”
ไป๋ชิงเหยียนยิ้มกว้างกว่าเดิม นางชูจอกเหล้าขึ้นสูง “แด่ความวุ่นวายของสงครามในอดีต แด่ความสงบสุขในวันหน้าของใต้หล้า! ทุกท่าน กว่าใต้หล้าจะสงบสุขได้ไม่ใช่เรื่องง่าย วันหน้าพวกเราต้องร่วมมือกันสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ต้าโจวคงอยู่สืบไป!”
“ร่วมกันสร้างความเจริญให้ต้าโจวรุ่งเรืองสืบไป!”
“ร่วมกันสร้างความเจริญให้ต้าโจวรุ่งเรืองสืบไป!”
“ร่วมกันสร้างความเจริญให้ต้าโจวรุ่งเรืองสืบไป!”
ปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงมองเหล่าทหารที่ยืนตะโกนกันอยู่ด้านล่างบันไดหยกขาว มองเหล่าขุนนางที่ต่างชูจอกเหล้าขึ้นสูงด้วยเลือดกายที่ร้อนผ่าว สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ร่างของจักรพรรดินีที่ยืนอยู่บนบันไดสูงผู้นั้น เขาไม่เคยร่วมงานเลี้ยงที่ทำให้เลือดในกายเดือดพล่านเช่นนี้มาก่อน…
ที่เขาอยากเขียนอัตชีวประวัติให้ตระกูลไป๋เป็นเพราะเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิง…
ต่อมาเขาพบว่าเขาหยุดปลายพู่กันไม่ได้เพราะ…จักรพรรดินีองค์นี้
เขาคิดว่าชีวิตนี้เขาคงไม่สามารถเขียนอัตชีวประวัติของตระกูลไป๋จนจบได้ วันนี้จักรพรรดินีไป๋ชิงเหยียนแห่งต้าโจวผู้นี้รวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งสำเร็จ วันหน้านางอาจทำสิ่งใดที่ผู้อื่นคาดไม่ถึงอีกก็เป็นได้
เหมือนที่ตอนแรกทุกคนไม่เคยคิดมาก่อนว่าสตรีของตระกูลไป๋ที่กำลังตกต่ำจะขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินีและรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้สำเร็จ
คืนนั้นปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงสั่งให้ลูกศิษย์ของตัวเองจุดไฟในเรือนให้สว่าง
เขานั่งลงบนเก้าอี้ จุ่มปลายพู่กันลงบนหมึก เขาอยากจดบันทึกความยิ่งใหญ่ในงานเลี้ยงในวันนี้เอาไว้
ลมด้านนอกหน้าต่างพัดกระทบหน้าต่างจนเกิดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย แมลงประจำฤดูร้อนส่งเสียงร้อง แมลงเม่าพยายามบินผ่านม่านไม้ไผ่ที่ถูกปลดลง
ปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงนิ่งอยู่นานก็ไม่สามารถจรดปลายพู่กันลงได้ ในสมองของเขาเต็มไปด้วยถ้อยคำของเซียวหรงเหยี่ยน…แด่ความวุ่นวายของสงครามในอดีต แด่ความสงบสุขของใต้หล้าในวันข้างหน้า
เมื่อได้สติปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงจึงพบว่าบนกระดาษของเขามีเพียงคำว่าสงบสุขเท่านั้น
ลูกศิษย์ของปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงเห็นอาจารย์ของตัวเองเริ่มจรดปลายพู่กันจึงปล่อยมือจากหมุดที่ใช้เร่งแสงไฟในตะเกียง ครอบฝาตะเกียงลงตามเดิม จากนั้นเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านอาจารย์ วันนี้ท่านจะเขียนอัตชีวประวัติของตระกูลไป๋จนจบเลยหรือไม่ขอรับ”
ปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงส่ายหน้าน้อยๆ ใบหน้าที่อมยิ้มอย่างเมตตาของปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงเด่นชัดท่ามกลางแสงตะเกียง
บัดนี้เขาเกิดความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับปณิธานในการต้องการปกป้องชาวบ้านทั่วหล้าของตระกูลไป๋ เข้าใจในศรัทธาแรกเริ่มของกองทัพไป๋อย่างแท้จริง…
เขาเอ่ยถาม “เจ้าจำได้หรือไม่ว่าบทเพลงประจำกองทัพไป๋ร้องเช่นไร”
ลูกศิษย์พยักหน้า จากนั้นร้องขึ้นเบาๆ “ปกป้องเสื้อเกราะ ต่อสู้กับศัตรูร่วมกับบุตรชาย จับดาบยาวสังหารศัตรูให้มั่น ร่วมเป็นร่วมตายไปพร้อมกับบุตรชาย…”
ปกป้องเสื้อเกราะ ต่อสู้กับศัตรูร่วมกับบุตรชาย
จับดาบยาวสังหารศัตรูให้มั่น ร่วมเป็นร่วมตายไปพร้อมกับบุตรชาย
ปกป้องแผ่นดิน คุ้มครองชาวบ้าน ทหารแท้ไม่กลัวตาย
หากไม่ตาย ไม่มีวันถอดเกราะ บุรุษคนดีของแคว้น…