ตอนที่ 1407 ถ้อยคำห่างเหิน
เมื่อคิดได้ว่าท่านอาสะใภ้สองกำลังเสียใจเรื่องที่บุตรชายของตัวเองไม่ได้กลับมาสักคนไป๋ชิงเหยียนจึงกำชับต่อ “พวกเจ้าสองคนกลับจวนจงหย่งโหวได้ ทว่า ให้วั่งเกออยู่กับท่านอาสะใภ้สองไปก่อน นางจะได้ไม่เหงาและช่วยพวกเจ้าเลี้ยงดูวั่งเกอด้วย พวกเจ้าสองคนจะได้มีเวลาจัดการเรื่องในราชสำนักได้อย่างเต็มที่ พวกเจ้าอย่าหาว่าพี่ใจร้ายนะ พวกเจ้าเป็นคนกล่าวเองว่าครอบครัวเดียวกันควรร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเต็มที่!”
อาสะใภ้สองเสียใจเรื่องที่บุตรชายของตัวเองไม่ได้กลับมาเพียงครอบครัวเดียวมากพอแล้ว ไป๋ชิงเหยียนกลัวว่าหากไป๋จิ่นซิ่วและฉินหล่างพาตัววั่งเกอกลับไปอีกท่านอาสะใภ้สองจะยิ่งรู้สึกเดียวดายมากกว่าเดิม
ตอนนี้มีวั่งเกออยู่ข้างกายท่านอาสะใภ้สองยังพอช่วยคลายเหงาและคลายความเครียดของท่านอาสะใภ้สองได้บ้าง
ไป๋จิ่นซิ่วเห็นกองฎีกาที่สูงราวกับภูเขาบนโต๊ะของไป๋ชิงเหยียนจึงกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ “พี่หญิงใหญ่อย่ามัวอ่านฎีกาจนดึกนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นข้าจะฟ้องท่านป้าสะใภ้ใหญ่ให้นางกลับมาสั่งสอนพี่หญิงใหญ่ในวังหลวงเจ้าค่ะ”
ฉินหล่างนั่งคุกเข่ามองดูพี่น้องสองคนสนทนากันอยู่ด้านข้าง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสามารถแน่นแฟ้นได้ถึงเพียง เมื่อคิดถึงครอบครัวของตัวเอง…
ไป๋จิ่นซิ่วและฉินหล่างเดินออกมาจากตำหนักใหญ่ ไป๋จิ่นซิ่วนึกถึงน้องชายคนเล็กของฉินหล่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามเสียงเบา “ข้าได้ยินไท่เซิงบอกว่าน้องชายของท่านไม่ยอมรับคำสั่งสอนของท่าน เขายังคิดว่าท่านเป็นคนไล่มารดาของเขาไปอย่างนั้นหรือ”
ฉินหล่างพยักหน้า จากนั้นฝืนยิ้มออกมา “ระหว่างเดินทางมาเมืองหลวงคิดหลบหนีไปหลายครั้ง เอาแต่บอกว่าอยากไปหามารดาของตัวเอง เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน”
โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าพี่สาวของตัวเองถูกเนรเทศเขาจึงเกลียดฉินหล่างและไป๋จิ่นซิ่วเข้ากระดูกดำ เขาคิดว่าไป๋จิ่นซิ่วไม่ยอมช่วยเหลือพี่สาวของตน เอาแต่บอกว่าไป๋จิ่นซิ่วไม่ใช่พี่สะใภ้ของเขา
ต่อมาเมื่อรู้ว่าพี่สาวทั้งสองคนของตัวเอง…คนหนึ่งกลายเป็นอนุของบุรุษที่ไม่มีแม้แต่ตำแหน่งในราชสำนัก อีกคนถูกเนรเทศ น้องชายของฉินหล่างจึงยิ่งคิดว่านี่คือการแก้แค้นที่พี่สาวของเขาเกือบทำนางเสียชีวิตในตอนนั้นของไป๋จิ่นซิ่ว
ทว่า น้องชายของฉินหล่างไม่เคยคิดว่าพี่สาวของตัวเองเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวต่อหน้าคนทั้งแคว้น หากฉินหล่างไม่ใช่สามีของไป๋จิ่นซิ่ว ป่านนี้พวกเขาคงเดือดร้อนทั้งตระกูลแล้ว
ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น แค่คุณหนูตระกูลฉินร่วมมือกับมือสังหารประท้วงเรื่องการแต่งงานใหม่ของหญิงหม้ายในต้าโจว…ต่อมามือสังหารผู้นั้นยังลอบสังหารไป๋ชิงเหยียนอีก หากผู้ที่ถูกลอบสังหารคือจักรพรรดิของแคว้นอื่นพวกเขาคงถูกประหารทั้งตระกูลไปนานแล้ว!
เขาจะยังมีชีวิตอยู่เช่นนี้ มารดาของเขาจะยังมีชีวิตอยู่เช่นนี้หรือ ชีวิตของพวกเขาแม่ลูกปลอดภัยเพราะได้รับความคุ้มครองจากไป๋จิ่นซิ่วและฉินหล่างทั้งนั้น
“ท่านใจอ่อนยอมให้เขาส่งจดหมายหาแม่และพี่สาวทั้งสองอย่างนั้นหรือ” ไป๋จิ่นซิ่วเดินลงบันไดไปพลางเอ่ยถามฉินหล่างยิ้มๆ
ฉินหล่างพยักหน้า “ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือแม่ลูกกัน ข้าไม่อาจโหดร้ายถึงขนาดตัดสัมพันธ์ของพวกเขาได้”
“หากท่านเชื่อใจข้าให้ข้าเป็นคนจัดการเรื่องนี้ดีหรือไม่ ท่านไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำเป็นไม่รับรู้ไปเสีย” ไป๋จิ่นซิ่วยังคงยิ้มอย่างอบอุ่นเช่นเคย แม้นางจะอยู่ในชุดนักรบ ทว่า ดูเป็นภรรยาที่อ่อนโยนของฉินหล่างเหมือนเดิม
“อย่างนั้นเจ้าก็ต้องลำบากอีกนะสิ” ฉินหล่างสงสาร เรื่องวุ่นวายในครอบครัวของเขาทำให้ไป๋จิ่นซิ่วลำบากมามากพอแล้ว
“พวกเราคือสามีภรรยากัน ไม่ต้องกล่าวถ้อยคำห่างเหินกันถึงเพียงนี้” ไป๋จิ่นซิ่วมองฉินหล่างยิ้มๆ “วั่งเกอรอคอยท่านพ่อของเขากลับมาอยู่ทุกวัน พวกเรากลับไปหาวั่งเกอกันเถิด!”
“ได้…” ฉินหล่างพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ดึงไป๋จิ่นซิ่วมากอดในตอนนี้ เขาเอื้อมมือไปกุมมือของหญิงสาว “พวกเรากลับบ้านกัน!”
เว่ยจงเพิ่งให้ชุนเถานำฎีกาด่วนของหานเฉิงอ๋องเข้าไปให้ไป๋ชิงเหยียนในห้อง เมื่อหันกลับไปก็เห็นฝู่กั๋วอ๋องไป๋จิ่นซิ่วและจงหย่งโหวฉินหล่างเดินจูงมือกันจากไปพอดี
เว่ยจงยกยิ้มมุมปาก หากองค์หญิงใหญ่ที่อยู่บนสวรรค์ทราบว่าชีวิตแต่งงานของคุณหนูรองที่องค์หญิงใหญ่เลือกให้ด้วยตัวเองเป็นไปอย่างราบรื่น คุณหนูรองมีชีวิตการแต่งงานที่มีความสุขนางต้องดีใจมากแน่นอน
“เว่ยจง…”
เมื่อได้ยินไป๋ชิงเหยียนเรียกจากด้านในตำหนักเว่ยจงจึงรีบเดินเข้าไปหาหญิงสาวในตำหนักทันที “ฝ่าบาท…”
“ส่งคนไปเชิญหลู่ไท่เว่ยมาที” ไป๋ชิงเหยียนขมวดคิ้วจ้องไปที่ฎีกาที่หานเฉิงอ๋องส่งมาเขม็ง เดิมทีนางอยากให้เว่ยจงเรียกไป๋จิ่นซิ่วกลับมา ทว่า เมื่อคิดได้ว่าฉินหล่างเพิ่งกลับมา พวกเขาสามคนยังไม่ได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาจึงกล่าวขึ้น “ไปเชิญเจิ้นกั๋วอ๋องและฮู่กั๋วอ๋องมาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยจงรับคำและออกไปสั่งงานคนทันที
หานเฉิงอ๋องรายงานในฎีกาด่วนว่าซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นไม่ได้เดินทางกลับแคว้นด้วยเส้นทางเดิม เขาเดินทางไปสำรวจว่าต้าโจวสร้างป้อมปราการขึ้นที่สองฝั่งของแม่น้ำจริงหรือไม่ จากนั้นมุ่งหน้าไปยังแคว้นตงอี๋ ตอนนี้แคว้นตงอี๋ลอบติดต่อกับต้าเยี่ยนอย่างลับๆ เขากลัวว่าเทียนเฟิ่งจะร่วมมือกับต้าเยี่ยน หากเป็นเช่นนั้นจริงต้าโจวต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจากหลายฝ่ายแน่นอน
หานเฉิงอ๋องขอให้ไป๋ชิงเหยียนส่งทัพไปข่มขวัญคนเหล่านั้น
หากฎีกาฉบับนี้ถูกส่งไปถึงจักรพรรดิคนอื่น จักรพรรดิเหล่านั้นอาจคิดว่าหานเฉิงอ๋องต้องการกำลังทหารเพื่อก่อกบฏอย่างแน่นอน
อย่าว่าแต่จักรพรรดิองค์อื่นเลย หากขุนนางในราชสำนักต้าโจวรู้เรื่องนี้ก็คงออกมาคัดค้านเช่นเดียวกัน
ไป๋ชิงเหยียนเป็นคนตัดสินใจมอบอำนาจทางทหารให้หานเฉิงอ๋องเพียงคนเดียว คนในราชสำนักต่างออกมาคัดค้านเรื่องนี้ ตอนนี้หานเฉิงอ๋องเพิ่งไปถึงต้าเหลียงได้ไม่นานกลับต้องการกำลังทหารเพิ่ม คนในราชสำนักต้องหวาดระแวงเป็นธรรมดา ไป๋ชิงเหยียนต้องการความช่วยเหลือจากหลู่ไท่เว่ยและน้องชายทั้งสองของนาง
หลู่ไท่เว่ยกำลังมีความสุขที่หลู่หยวนชิ่งเดินทางกลับมาเมืองหลวง มารดาของหลู่หยวนชิ่งมองสำรวจบุตรชายของตัวเองอย่างละเอียด นางรู้สึกว่าบุตรชายของนางสูงและกำยำขึ้นกว่าเดิมมาก นางถามบุตรชายว่าเดือดร้อนเพราะหลู่หยวนเผิงบ้างหรือไม่
หลู่หยวนชิ่งได้ยินคำถามนี้สีหน้าจึงเคร่งขรึมลงทันที ทว่า เขายังคงถามด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม “ท่านแม่ เขาก่อเรื่องอันใดอีกขอรับ”
มารดาของหลู่หยวนชิ่งไม่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของบุตรชายแม้แต่น้อย นางถอนหายใจออกมาพลางเล่าเรื่องที่หลู่หยวนเผิงไปคุกเข่าอยู่ที่ประตูอู่เต๋อกับพวกเฉิงหย่วนจื้อเพื่อขอให้ไป๋ชิงเหยียนยกเลิกสัญญาที่ทำกับต้าเยี่ยนและยึดอำนาจทางทหารคืนจากหานเฉิงอ๋องให้บุตรชายฟัง
“เจ้าดูท่านปู่ของเจ้าสิ…” มารดาของหลู่หยวนชิ่งเผลอหลุกปากออกมา นางรีบหันไปมองนอกห้องทันที เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่จึงกล่าวกับบุตรชายเสียงเบากว่าเดิม “น้องชายของเจ้าถูกโบยและลดตำแหน่งแล้วยังไม่พออีกหรือ ท่านปู่ของเจ้าไม่สงสารน้องชายของเจ้าแม้แต่น้อย เขาบอกว่าหากแผลของน้องชายเจ้าหายดีแล้วให้เขาไปคุกเข่าสำนึกผิดที่หอบรรพชนต่อ! ท่านพ่อใจร้ายของเจ้าก็ไม่สนใจน้องชายของเจ้าแม้แต่น้อย เอาแต่กล่าวว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของเจ้า ฝ่าบาทไม่ใช่คนไม่แยกแยะถูกผิดเสียหน่อย”