เมื่อเห็นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของซินเอ๋อร์ และเสียงครวญครางที่ทำให้คนอ่อนระทวยนั้น เหลิ่งอวี้เซวียนได้ยินจิตใจสับสน ใจเต้นแรงขึ้น และสายตาที่มองซินเอ๋อร์ร้อนแรงอย่างที่สุด
ในใจมีความรู้สึกพอใจเกิดขึ้น เพราะเพียงสามารถทำให้ซินเอ๋อร์มีความสุข มันก็คือความสุขของเขา
สุดท้ายหลังซินเอ๋อร์ถึงจุดสุดยอด ร่างกายล้มลงบนผืนหญ้า โดยไร้เรี่ยวแรงขยับเขยื้อน
สมองของซินเอ๋อร์สับสนมึนงง ร่างกายเหนื่อล้าราวผ่านสมรภูมิรบมา เธอตอนนี้คล้ายกระทั่งปลายนิ้วก็ไม่สามารถขยับได้
ซินเอ๋อร์เวลานี้รู้สึกเพียงอยากนอน แต่บางคนกลับไม่ยินยอมให้เธอสมปรารถนา
จุมพิตและเคลื่อนมือบนกายเปลือยเปล่าของเธอไม่หยุด
และใช้จมูกสูดดมกลิ่นกายของเธอ ความรู้สึกนั้นคันคะเยอ ราวกับสุนัขตัวน้อยกำลังดมเธออยู่
“อา เซวียน ไม่ จักจี้”
“ซินเอ๋อร์ เรี่ยวแรงฟื้นกลับมาแล้วหรือ เช่นนั้น ครานี้ถึงคราวเจ้าปรนนิบัติข้าแล้ว”
ชายหนุ่มเอ่ยปากด้วยเสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ ทำให้คนฟังใจเต้นแรง และซินเอ๋อร์ก็เช่นกัน
ขณะซินเอ๋อร์ลุ่มหลงกับเสียงมีเสน่ห์ของชายหนุ่ม รู้สึกเพียงมือเล็กของตนถูกคนดึงไป จับกุมของแข็งที่ร้อนผ่าวนั้น
…
ความสั่นไหวบนผืนหญ้า ดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงเที่ยงคืน
เวลานั้น ซินเอ๋อร์เขินอายจนสองแก้มแดงก่ำ ใจเต้นแรง จนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี
ขณะที่พวกเขาสวมเสื้อผ้าแต่งตัวเสร็จ และขี่ม้ามุ่งกลับวัง ใบหน้าเล็กของซินเอ๋อร์เอาแต่ก้มต่ำลง
มองฟ้ามองพื้นดิน แต่ไม่มองชายหนุ่มด้านหลัง
ดังนั้นจึงย่อมไม่รับรู้ว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลังของเธอ บนใบหน้านั้นแฝงความเย็นชาเจ็ดส่วน อีกสามส่วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ท่าทางนั้น คล้ายจิ้งจอกภาคภูมิใจหลังแอบขโมยกินไก่ของชาวนาตัวหนึ่งเสียจริง
ซินเอ๋อร์ไม่รับรู้สิ่งใดทั้งนั้น เธอเวลานี้ทั้งเขินอายและเหนื่อยล้า เพียงต้องการกลับไปให้เร็วที่สุด เพื่อชำระล้างร่างกาย จากนั้นเข้านอน
ทว่าเมื่อซินเอ๋อร์กวาดดวงตาคู่งามไป พลันหยุดลงบางแห่งอย่างไม่ละสายตา
หลังเห็นชัดว่ามีคนอยู่ที่ริมถนน ซินเอ๋อร์อดตกใจไม่ได้
“เซวียน ท่านรีบดูเร็วเข้า ด้านนั้นคล้ายมีคนหมดสติอยู่”
“อืม”
เมื่อได้ยินคำพูดของซินเอ๋อร์ เหลิ่งอวี้เซวียนกวาดดวงตาดำขลับมองไป หลังเห็นชัดว่าริมถนนมีคนหมดสติอยู่ รีบนำม้ามุ่งตรงไปทางด้านนั้น
เวลานี้เป็นช่วงกลางดึก
พระจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า ดวงตาสว่างไสว
บนพื้นดินด้านล่างเงียบงัน เวลานี้ทุกคนต่างหลับใหล
แต่เหตุใดจึงมีคนล้มหมดสติอยู่ริมถนนได้!
ขณะเหลิ่งอวี้เซวียนสงสัยในใจ รู้สึกหวาดระแวงเช่นเดียวกัน
เพราะแม้เขาจะร่ำรวยมหาศาล แต่กลับเพราะเรื่องนี้ล่วงเกินผู้คนไม่น้อย
ผู้คนมากมายต้องการปลิดชีวิตเขา ดังนั้นไม่ว่ากับผู้ใดเหลิ่งอวี้เซวียนมักจะระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น เวลานี้หลังเห็นมีคนหมดสติอยู่ที่ริมถนน เหลิ่งอวี้เซวียนจึงเพียงขี่ม้าพุ่งทะยานไป แต่กลับไม่ได้รีบลงจากม้า
ซินเอ๋อร์เห็นเช่นนั้น ร้อนใจอย่างมาก
“เซวียน ท่านรีบลงจากม้าเถิด คนผู้นี้ไม่รู้หมดสติไป หรือว่า…”
ซินเอ๋อร์ไม่กล้าพูดส่งเดชหรือคาดเดา เพียงเร่งให้เหลิ่งอวี้เซวียนลงจากม้าไม่หยุด
“อย่าใจร้อน ประเดี๋ยวข้าจะลงไปดู เจ้านั่งรออยู่ที่นี่เข้าใจหรือไม่”
“อืม”
เมื่อได้ยิน ซินเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เหลิ่งอวี้เซวียนเห็นเช่นนั้น รีบยกชายเสื้อพร้อมกระโดดลงจากหลังม้า เดินไปยังคนที่หมดสติริมถนนนั้น
เห็นเพียงแสงจันทร์กระจ่างใส เหลิ่งอวี้เซวียนเดินเข้าไปเห็นคนที่หมดสตินั้นชัดเจน
รู้ว่าเป็นสาวน้อยอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี
และเมื่อก้มลงตรวจสอบอีกครั้ง บนกายสาวน้อยผู้นี้ไร้ร่องรอยของบาดแผล และยังหายใจอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงหมดสติไป
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งอวี้เซวียนรีบส่งเสียงไปทางด้านหลัง
“ผิงอัน”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”
หลังคำพูดของเหลิ่งอวี้เซวียน เงาร่างสีดำดุจปีศาจ พลันปรากฎตัวขึ้นด้านหน้าเหลิ่งอวี้เซวียนอย่างเงียบเชียบ
“พาตัวสาวน้อยผู้นี้กลับไป”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ผิงอันเอ่ยจบ รีบอุ้มสาวน้อยขึ้นจากพื้น ทันใดนั้นจากไปอย่างเงียบเชียบดังเช่นตอนที่เข้ามา
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าวรยุทธ์ต้องลึกล้ำไร้เทียมทาน
หลังเหลิ่งอวี้เซวียนจัดการเรื่องนี้เสร็จ กระโดดขึ้นบนหลังม้าอีกครั้ง
ซินเอ๋อร์เห็นเช่นนั้น รีบเอ่ยปากถามขึ้น
“นั่นคงเป็นผู้หญิงสินะ เธอเป็นอันใดหรือ”
“ไม่มีสิ่งใด เพียงหมดสติไปเท่านั้น ข้าให้ผิงอันพาตัวกลับไปแล้ว”
ชายหนุ่มเอ่ยจบ ซินเอ๋อร์โล่งอกเป็นที่สุด ก่อนเอ่ยขึ้น
“โอ เช่นนั้นก็ดี เมื่อครู่แม่นางผู้นั้น ไม่รู้พบเจอเรื่องใดเข้าจึงได้หมดสติ น่าสงสารยิ่งนัก”
“ฮ่า ๆ ซินเอ๋อร์ เจ้าช่างจิตใจดีงามยิ่งนัก หากพวกเราช่วยคนเลวเข้า เจ้าจะยังสงสารหรือไม่”
เมื่อเห็นซินเอ๋อร์ห่วงใยคนแปลกหน้าเช่นนี้ โชคดีที่คนผู้นั้นคือหญิงสาวผู้หนึ่ง มิฉะนั้นเหลิ่งอวี้เซวียนคงหึงหวง
ทว่าจากเรื่องนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าซินเอ๋อร์ของเขาจิตใจงดงามเพียงใด ไม่เสียแรงที่เขารักใคร่เธอเช่นนี้
ขณะเหลิ่งอวี้เซวียนคิดในใจ ซินเอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้ กลับเพียงเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า
“จะเป็นไปได้เช่นไร เซวียนท่านไม่ได้รู้จักแม่นางผู้นั้น จะตัดสินว่านางคือคนเลวได้อย่างไร และเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว พวกเราช่วยเหลือนางถือเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง”
“ฮ่า ๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซินเอ๋อร์ เหลิ่งอวี้เซวียนเพียงยิ้มเท่านั้น
และทราบดีว่าซินเอ๋อร์อ่อนต่อโลก เรื่องมากมายจึงมองอย่างไร้เดียงสา
ทว่าเช่นนี้ถือว่าดี
ซินเอ๋อร์ของเขา วันหน้าต้องรักษาหัวใจอันบริสุทธิ์นี้ไว้ และเขาต้องปกป้องเธอให้ดี ให้เธอมีจิตใจดีงามบริสุทธิ์เช่นนี้ต่อไป
เพราะเมื่อมีเขาอยู่ เขาจึงยอมสกัดสิ่งเลวร้ายทั้งหมดเพื่อเธอ
แต่เหลิ่งอวี้เซวียนและซินเอ๋อร์ต่างไม่รู้ว่าคืนนี้ หญิงสาวที่พวกเขาช่วยเหลือไว้ สำหรับพวกเขากลับคือหายนะ
…
วันต่อมา ซินเอ๋อร์ตื่นแต่เช้าตรู่
หลังปรนนิบัติเหลิ่งอวี้เซวียนทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็รีบร้อนออกไปทำงาน
ซินเอ๋อร์จึงหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาด เริ่มปัดกวาดตำหนักหยกขาว
แต่เวลานี้เงาร่างที่คุ้นตาร่างหนึ่ง กลับพลันปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าเธอ
“หึ ๆ น่าโมโหยิ่งนัก นางถือเป็นสิ่งใด นางคิดว่าตนเองคือผู้ใด จึงโวยวายใส่ข้า น่าโมโหยิ่งนัก”
เมื่อเห็นท่าทางโมโหอย่างหนักของเสี่ยวหวน ซินเอ๋อร์อดหยุดเช็ดโต๊ะลงไม่ได้ ก่อนหันไปมองเสี่ยวหวน แล้วเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“เสี่ยวหวน เจ้าเป็นอันใด ผู้ใดยั่วโมโหเจ้าหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซินเอ๋อร์ เสี่ยวหวนพลันโมโหขึ้นทันที
เพราะเธอมาที่นี่ ก็เพื่อเล่าเรื่องนี้แก่ซินเอ๋อร์
“ซินเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้สิ่งใด เมื่อวานนายท่านช่วยหญิงสาวผู้หนึ่งกลับมาจากด้านนอก พี่ผิงอันจึงให้นางพักอยู่ในห้องของพวกข้า ต่อมายังเชิญท่านหมอมาดูอาการ ผู้ใดจะรู้ หลังนางฟื้นได้สติ กลับชี้มือออกคำสั่งกับพวกข้า คิดว่าตนคือเจ้านาย ฮึ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวหวน ซินเอ๋อร์จึงเข้าใจทันทีว่าเกิดเรื่องใดขึ้น
หญิงสาวผู้นั้นจากปากของเสี่ยวหวน ต้องเป็นหญิงสาวที่พวกเธอช่วยมาจากริมถนนเมื่อคืนแน่
เมื่อคืนเพราะท้องฟ้ามืดมิด เธอจึงมองรูปร่างหน้าตาของหญิงสาวผู้นั้นไม่ชัดเจน ต่อมาถูกเหลิ่งอวี้เซวียนสั่งให้คนพาตัวกลับมา
ทว่าตอนนี้หลังได้ยินคำพูดของเสี่ยวหวน กลับทำให้ซินเอ๋อร์แปลกใจ
“แม่นางผู้นั้น ออกคำสั่งกับพวกเจ้าจริงหรือ คงมิใช่กระมัง”
“ซินเอ๋อร์ หรือเจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้า หญิงผู้นั้นโอหังยิ่งนัก พวกข้ายังไม่เคยเห็นหญิงสาวผู้ใดโอหังเช่นนี้มาก่อน คนภายในห้องข้าต่างถูกเธอทำให้โมโหจนไม่กลับห้อง ช่างขัดหูขัดตานัก ครั้งสุดท้ายที่ข้าไปยังถูกเธอด่าทอหลายประโยค น่าโมโหจริงๆ หากเจ้าไม่เชื่อข้า ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปดู”
เสี่ยวหวนเอ่ยจบ รีบดึงมือของซินเอ๋อร์เดินตรงไปที่ห้องพักของตน
ภายในวัง ของใช้ของกินของเหล่าบ่าวไพร่ต่างจัดสรรตามระดับขั้นของแต่ละคน
เสี่ยวหวนเป็นเพียงสาวใช้ชั้นสอง ห้องที่พักอาศัยจึงเป็นห้องห้าคน
ทว่าเพราะห้องของเสี่ยวหวนตอนนี้มีเพียงสี่คน ดังนั้นผิงอันจึงนำคนที่ช่วยกลับมาเมื่อคืนไปพักที่ห้องของพวกเธอ
สำหรับสถานที่พักของเสี่ยวหวน ซินเอ๋อร์มาเยี่ยมเยียนหลายครั้ง
แม้ที่นี่จะเป็นห้องพักของบ่าวไพร่ทั้งหมด แต่เพราะเหลิ่งอวี้เซวียนมั่งคั่งร่ำรวย วังเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาล ภายในวังเต็มไปด้วยประตูหน้าต่างแกะสลัก ภูเขาจำลองน้ำตก ทางเดินคดเคี้ยว ตึกรามอาคาร มากมายนับไม่ถ้วน
แม้จะเป็นที่พักของบ่าวไพร่ทั้งหมด แต่ล้วนสะอาดเรียบร้อย สิ่งของครบครัน
เห็นเพียงเรือนที่เสี่ยวหวนพักอยู่ แม้จะเรียบง่าย แต่กลับสะอาดสะอ้าน
ด้านนอกเรือนปลูกต้นกุ้ยฮวา ด้านข้างมีบ่อน้ำแห่งหนึ่ง และชั้นไม้ไผ่ที่ปกติใช้ตากเสื้อผ้า
เมื่อมาถึง เวลานี้ภายในห้องกระเบื้องห้องหนึ่งภายในเรือน ประตูใหญ่กำลังเปิดอ้าอยู่ นั่นคือห้องพักของเสี่ยวหวน
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อน อากาศจึงยิ่งร้อนอบอ้าว
พระอาทิตย์เหนือศีรษะเจิดจรัส สาดเสน่ห์อันร้อนแรงตลอดเวลาลงมาทั่วพื้นดิน
ต้นไม้ต่างเหี่ยวเฉาไร้เรี่ยวแรง ยามสายลมร้อนนั้นพัดผ่านยอดไม้ไหวเอนอย่างช้าๆ
จั๊กจั่นบนยอดไม้ กลับคล้ายเต็มไปด้วยพลังและชีวิตชีวา คล้ายจะระเบิดตัวในฤดูร้อนนี้ ส่งเสียงอยู่บนยอดไม้อย่างไม่รู้จบ
ทำให้คนฟังต่างรู้สึกหงุดหงิดใจ
แต่เวลานี้ภายในประตูใหญ่ลายสลักที่เปิดอ้านั้น มีของบางอย่างกลับพลันถูกโยนออกมาจากภายในห้อง
หลังเสียง ‘เพล้ง’ สิ่งของที่ไม่รู้แน่ชัดแตกกระจายอยู่บนพื้น มีเสียงตะโกนพลันดังขึ้น
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นฉับพลันเกินไป จึงทำให้ซินเอ๋อร์และเสี่ยวหวนที่กำลังเดินไปที่ห้อง ตกใจอย่างหนัก
หลังทั้งสองคนได้สติ รีบถอยหลังออกมา
ในใจรู้สึกดีใจไปพร้อมกัน โชคดีที่พวกเธอเดินไม่เร็ว มิฉะนั้นถ้วยชานี้ คงกระแทกลงบนกายแน่
………………………………………………………………………………….