“เซวียน ไม่”
เมื่อรับรู้ว่าตนถูกชายหนุ่มอุ้มมาที่เก้าอี้นวมยาว และร่างกายของชายหนุ่มกดทับอยู่บนร่างเธอ
ลมหายใจดุดันที่กระจายออกมาจากกายชายหนุ่ม และกลิ่นความปรารถนาอันเข้มข้น ทำให้ซินเอ๋อร์หวาดกลัวในใจ
เมื่อรู้สึกว่าตนคล้ายกระต่ายน้อยที่ถูกจับโดยสัตว์ร้ายที่หลับใหลมากว่าหมื่นปี และต้องถูกสัตว์ร้ายตัวนี้กลืนกินจนไม่เหลือชิ้นดี ทำให้ซินเอ๋อร์หวาดกลัว จนอดยื่นมือผลักหน้าอกแกร่งของชายหนุ่มไว้ เพื่อไม่ให้เขาวู่วามเข้ามา
แต่สำหรับความหวาดกลัว ตกใจ สับสนของซินเอ๋อร์ เหลิ่งอวี้เซวียนเพียงยื่นมือใหญ่รัดมือเล็กของซินเอ๋อร์ไว้แน่น ก่อนจะออกแรงดึงสองมือซินเอ๋อร์ขึ้นเหนือศีรษะของเธอ
ก่อนยืดร่างกายท่อนบนขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเปี่ยมด้วยความไฟปรารถนาและเสน่ห์อันดิบเถื่อนจ้องตรงไปที่ซินเอ๋อร์ เผยอริมฝีปากแดงเอ่ยอย่างแหบพร่าขึ้น
“ซินเอ๋อร์ เจ้างดงามจริงๆ!”
คำพูดที่ชายหนุ่มเอ่ยคือความจริง
เห็นเพียงเวลานี้หญิงสาวที่นอนอยู่ใต้ร่างเขา เส้นผมดำดุจหมึกยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่ยิ่งงดงาม
ใบหน้าเล็กประณีตนั้น งดงามโดดเด่นกว่าคนทั่วไป
ดวงตาวิบวับกระจ่างใสคู่นั้น ดุจบ่อน้ำใสสะอาดที่สุดบนโลก เปล่งประกายและไร้เดียงสา ทำให้คนที่เห็นใจเต้นอย่างรุนแรง
และริมฝีปากชุ่มฉ่ำคู่นั้น ถูกตนจุมพิตจนแดงก่ำและบวมเป่ง ทำให้ผู้คนเกิดความสงสารขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
เห็นเช่นนั้น เหลิ่งอวี้เซวียนรู้สึกเพียงเลือดทั่วร่างกายตนต่างกำลังเดือดพล่านขึ้นมา
เขาต้องการมากจริงๆ ต้องการเธอ
“ซินเอ๋อร์ ข้า…”
“จ๊อกๆ”
หลังคำพูดของเหลิ่งอวี้เซวียน มีเสียงภายในท้องซินเอ๋อร์ดังขึ้นมา
เมื่อได้ยิน ทั้งสองคนพลันตะลึงงัน ภายในห้องก็กลับมาเงียบงัน
หลังจากนั้น เมื่อซินเอ๋อร์ได้สติ รู้สึกเพียงสมองเกิดเสียง ‘ตูม’ ขึ้น ทันใดนั้นไอความร้อนทะลักจากในใจพุ่งสู่เหนือศีรษะอย่างรวดเร็ว
สวรรค์!
น่าอับอายยิ่งนัก!
เหตุใดท้องของเธอจึงดังขึ้นมาเวลานี้!
ซินเอ๋อร์หงุดหงิดในใจ บนใบหน้ายิ่งดูเขินอายมากยิ่งขึ้น
สีแดงเข้าปกคลุมบนใบหน้าเล็กของซินเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว ทำให้ใบหน้าเล็กแดงก่ำ ดุจมะเขือเทศที่เพิ่งสุกงอม
เห็นเช่นนั้น เหลิ่งอวี้เซวียนทราบดีว่าซินเอ๋อร์เขินอาย แต่กลับยังอดหัวเราะลั่นไม่ได้
แม้จะไม่สามารถทำเรื่องที่เขาชอบทำได้อีกต่อไป แต่มองเห็นท่าทางเขินอายของคนใต้ร่าง ทำให้เขาอารมณ์ดีอย่างยิ่ง พร้อมชำระล้างความมืดมนในหลายวันที่ผ่านมาไป
“เซวียน ท่านหยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้ ห้ามหัวเราะ!”
เมื่อเห็นชายหนุ่มหัวเราะสดใส ซินเอ๋อร์เขินอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี
สวรรค์ น่าอับอายยิ่งนัก!
ซินเอ๋อร์เขินอายในใจ พลันสะบัดมือใหญ่ชายหนุ่มออก ก่อนใช้มือเล็กปิดปากที่กำลังหัวเราะของชายหนุ่มทันที
สำหรับความเขินอายของสาวน้อยซินเอ๋อร์ เหลิ่งอวี้เซวียนหัวเราะเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะหยุดลงอย่างเชื่อฟัง
เพราะเขารู้ดีว่าสาวน้อยตรงหน้าหน้าบาง หากหัวเราะต่อไป เธอจะโกรธเคืองเพราะเขินอาย
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งอวี้เซวียนดึงมือเล็กของซินเอ๋อร์ลง ก่อนจุมพิตที่ฝ่ามือของเธอ และเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
“ได้ๆ ข้าไม่หัวเราะแล้ว มา อาหารเช้าเย็นหมดแล้ว พวกเราทานกันก่อน ประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปสถานที่ที่น่าสนุกแห่งหนึ่ง!”
“สถานที่น่าสนุกหรือ!”
ซินเอ๋อร์ได้ยินพลันแปลกใจ
“สถานที่ใดหรือ!”
เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของซินเอ๋อร์ เหลิ่งอวี้เซวียนกลับตั้งใจหลอกล่อ ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง!”
…
อาหารเช้าครบครันอย่างยิ่ง และยังรสอ่อน
เพราะหลายวันนี้ซินเอ๋อร์ลำบากมาไม่น้อย และยังล้มป่วย เหลิ่งอวี้เซวียนจึงให้ทางห้องครัวทำอาหารรสเลิศและเหมาะกับซินเอ๋อร์
ดังนั้นทางห้องครัวจึงลงมือทำอาหารมาหนึ่งโต๊ะใหญ่ ซินเอ๋อร์เห็นจึงพูดไม่ออก หัวคิ้วพลันขมวดเป็นปม ก่อนเอ่ยปากขึ้น
“เซวียน พวกเราเพียงสองคน เหตุใดจึงมีอาหารมากมายเช่นนี้!”
“เอาล่ะ ต้องโทษข้า ต่อไปข้าจะไม่ให้ทางห้องครัวทำอาหารเยอะเช่นนี้แล้ว มา ไม่พูดเรื่องนี้กันดีกว่า เจ้าหิวมิใช่หรือ รีบทานกันเถิด!”
เหลิ่งอวี้เซวียนเอ่ยจบ อดคีบอาหารให้ซินเอ๋อร์ด้วยตนเองไม่ได้
ซินเอ๋อร์ก็หิวโหยอย่างหนัก
เพราะหลายวันมานี้ เธอทานไม่อิ่ม นอนไม่หลับ จึงผอมลงอย่างมาก ตอนนี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายลงมือ จึงเริ่มทานอย่างไม่เกรงใจ
หลังทานไปพอประมาณ ซินเอ๋อร์คล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงเงยหน้าเอ่ยถามเหลิ่งอวี้เซวียน
“จริงสิ เซวียน เสี่ยวจื่อที่มากับข้า เธอคือน้องสาวของพี่อาหนิว ตอนนี้เธอเป็นเช่นไร ปลอดภัยหรือไม่!”
เพียงนึกถึงคืนนั้นสับสนวุ่นวายอย่างยิ่ง เธอและเสี่ยวจื่อแทบเจอกับหายนะ
โชคดีที่เซวียนปรากฎตัวขึ้นทันเวลา
ต่อมาเธอรู้เพียงเซวียนจัดให้เสี่ยวจื่อนั่งรถม้าคันท้ายสุด เรื่องอื่นเธอไม่แน่ชัด
เวลานี้นึกขึ้นได้ ซินเอ๋อร์จึงรีบร้อนเอ่ยถาม
เพราะจะพูดเช่นไร เสี่ยวจื่อคือเพื่อนบ้านของเธอ เป็นน้องสาวของพี่อาหนิว
ความสัมพันธ์ของพวกเธอปกติไม่เลว เธอก็เห็นเสี่ยวจื่อเป็นน้องสาวคนหนึ่ง หากเกิดเรื่องขึ้นกับเสี่ยวจื่อ เธอคงเสียใจอย่างมาก
ขณะซินเอ๋อร์คิดในใจ เหลิ่งอวี้เซวียนด้านข้างหลังได้ยินคำพูดนี้ของเธอ ก้มหน้าลงครุ่นคิด ก่อนเอ่ยปากขึ้น
“โอ เจ้าหมายถึงเด็กสาวผู้นั้นหรือ ข้าให้คนส่งตัวเธอกลับบ้านแล้ว เรื่องนี้เจ้าวางใจได้”
“อืม เช่นนั้นก็ดี”
เมื่อได้ยิน ซินเอ๋อร์คลายใจลง
แต่เหลิ่งอวี้เซวียนที่อยู่ด้านข้าง กลับคล้ายนึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าเคร่งขรึมลง และเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ
“เสี่ยวจื่อผู้นั้น เจ้าคล้ายห่วงใจเธอมากทีเดียว เป็นเพราะเธอคือน้องสาวของพี่อาหนิวที่เจ้าชอบเอ่ยถึงหรือ ดังนั้นเจ้าจึงห่วงใยเช่นนี้!”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ เหลิ่งอวี้เซวียนไม่รู้ว่าท่าทางเวลานี้ของตน คล้ายสามีที่กำลังหึงหวงผู้หนึ่ง สายตาที่มองซินเอ๋อร์เปี่ยมด้วยความไม่พอใจ
สำหรับความรู้สึกขาดการไตร่ตรองของซินเอ๋อร์ หลังได้ยินคำพูดนี้ของเหลิ่งอวี้เซวียน และเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของเขา ทันใดนั้นกลับไม่รู้ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ทว่าเธอยังกระพริบตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น
“ข้าเป็นห่วงเสี่ยวจื่อ นั่นสมควร เพราะเธอคือบุตรสาวของเพื่อนบ้านข้า เป็นของสาวของพี่อาหนิว หลายปีมานี้ ครอบครัวของพวกเราถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว ข้าก็เห็นเธอเปรียบเสมือนน้องสาวคนหนึ่ง ดังนั้นจึงห่วงใยเช่นนี้”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์คล้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนดวงตาจะมืดมนลง และเอ่ยเบาๆ ขึ้น
“ตอนมารดาข้าเสีย ข้าเพิ่งอายุสิบสอง น้องชายยังเล็ก ตอนนั้นพวกเราไม่มีเงินแม้แต่อีแปะเดียว ข้าหิวจนตายไม่เป็นไร แต่น้องชายข้าจะทำเช่นไร เขายังเล็กไม่ถึงสองขวบด้วยซ้ำ ข้าจึงอุ้มน้องชายที่เอาแต่ร้องไห้โยเยเพราะหิว ต่อมามารดาของพี่อาหนิวก็เข้ามา มอบของกินให้พวกเรา และยังลำบากตามหาร้องวัวนมจากผู้อื่น ทุกวันจะไปรีดนมให้กับน้องชายข้าดื่ม มิฉะนั้นข้าและน้องชายคงหิวตายไปแล้ว ดังนั้นชีวิตของข้าและน้องชาย ต่างเป็นครอบครัวของพี่อาหนิวช่วยเหลือไว้”
ซินเอ๋อร์เอ่ยอย่างแผ่วเบา อาจเพราะนึกถึงเรื่องราวโหดร้ายที่ผ่านมา ภายในดวงตาค่อยๆ ปกคลุมด้วยไอหมอก
ละอองน้ำที่แวววาวใสกระจ่างนั้น เกลือกกลิ้งไปมาในดวงตาเธอไม่หยุด ทำให้คนมองปวดใจขึ้นมา
เหลิ่งอวี้เซวียนเห็นเช่นนั้น คิ้วกระบี่ขมวดมุ่น สายตาที่มองซินเอ๋อร์แฝงด้วยความสงสารอย่างไร้ที่เปรียบ
เพราะแม้เขาจะรู้ว่าหลายปีมานี้ซินเอ๋อร์ลำบากอย่างมาก แต่กลับไม่รู้ว่าจะน่าสลดใจกว่าที่เขาคาดคิดไว้
และซินเอ๋อร์ก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องที่ผ่านมาของเธอ เธอไม่เอ่ย เขาจึงไม่ถาม เพื่อเลี่ยงไม่ทำให้เธอเสียใจ
เวลานี้ได้ยินคำพูดเหล่านี้ของซินเอ๋อร์ เหลิ่งอวี้เซวียนรู้สึกเพียงใจถูกมีดทิ่มแทง
นึกถึงหลายปีมานี้ ซินเอ๋อร์ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเช่นนั้น เธอเป็นเพียงหญิงสาวบอบบางร่างน้อย ไม่สามารถทำงานหนัก แต่กลับต้องประสบกับความเศร้าโศกมากขนาดนี้
พอคิดถึงตรงนี้ ใจของเหลิ่งอวี้เซวียนปวดแปลบอย่างทรมาน
ทันใดนั้นยื่นแขนรวบร่างเล็กบอบบางของซินเอ๋อร์เข้าสู่อ้อมกอดของตนไว้แน่น
“ซินเอ๋อร์ อย่าเสียใจเลย เรื่องพวกนั้นผ่านไปแล้ว ต่อไปหากมีข้าอยู่ ข้าจะไม่ให้เจ้าลำบากแม้แต่นิดเดียว ข้าจะทำให้ชีวิตเจ้าดีขึ้น ทำให้ทุกวันของเจ้ามีแต่ความสุข”
เมื่อได้ยินคำพูดเต็มไปด้วยความปวดใจของชายหนุ่ม ซินเอ๋อร์รู้สึกเพียงอบอุ่นในใจ จมูกแสบร้อน น้ำตาสองสายพลันล้นทะลักออกมาจากดวงตาของเธอ
อาจเพราะหลายปีมานี้ เธอใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมากจริงๆ
หลายปีนี้เธอไร้ญาติขาดมิตร ผ่านความเศร้าโศกมากมาย แม้จะลำบากอย่างมาก เพราะเป็นพี่สาว ดังนั้นเธอจึงต้องกัดฟันสู้
ความจริงเธอหวังอย่างมากที่จะเป็นดังเช่นเด็กสาวอื่นๆ มีบิดามารดาปกป้องไปจนเติบใหญ่อย่างมีความสุข แต่สิ่งเหล่านี้ สำหรับเธอเป็นเพียงสิ่งเพ้อฝัน
ความจริงคิดว่าชั่วชีวิตนี้ของเธอ ต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป แต่ชายผู้นี้กลับปรากฎตัวขึ้น
หรือสวรรค์จะเห็นเธอน่าสงสาร จึงตั้งใจส่งชายผู้นี้มาช่วยชีวิตเธอ
เรื่องเหล่านี้ ซินเอ๋อร์เองก็ไม่ทราบ
เวลานี้เธอเพียงนำความไม่เป็นธรรมที่เก็บซ่อนไว้ในใจระบายออกมา
น้ำตานั้น คล้ายไม่มีที่สิ้นสุด ไหลรินลงมาอย่างไม่รู้จบ เหลิ่งอวี้เซวียนจึงมองอย่างปวดใจ
ทว่าเวลานี้เขาก็รู้ว่าสิ่งที่ตนสามารถทำได้ คือมอบอ้อมกอดอันอบอุ่นให้แก่ซินเอ๋อร์ ปล่อยให้เธอระบายออกมา
มือใหญ่เรียวยาวนั้น ตบเบาๆ ลงบนไหล่เล็กของซินเอ๋อร์ ก่อนเอ่ยปลอบโยนอย่างแหบพร่า
“เด็กดี ซินเอ๋อร์ ต่อไปไม่ว่าที่ใดล้วนมีข้าอยู่”
“ฮือๆ เซวียน ท่าน เหตุใดท่านถึงดีกับข้าเช่นนี้!”
สำหรับคำปลอบโยนของเหลิ่งอวี้เซวียน ทำให้ซินเอ๋อร์รู้สึกซาบซึ้งใจ แต่กลับสงสัยอย่างมาก
เธอไม่เชื่อ คนสองคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันมาก่อน จะดีกับเธอขนาดนี้
อาจเพราะรับรู้ถึงความสงสัยของซินเอ๋อร์ เหลิ่งอวี้เซวียนจึงเพียงยิ้มที่มุมปาก
“ข้าบอกไปแล้วมิใช่หรือ ความจริงเมื่อนานมาแล้ว พวกเราเคยรู้จักกัน ทว่าเจ้าลืมเลือนไปแล้วเท่านั้น!”
เพียงนึกถึงช่วงวัยเยาว์ ดวงตาของเหลิ่งอวี้เซวียนปรากฎความอบอุ่นขึ้นมา มุมปากก็ค่อยๆ ยกยิ้มขึ้น
รอยยิ้มที่มุมปากนั้น ทำให้ดูน่าหลงใหล
ซินเอ๋อร์มองชายหนุ่มที่ยิ้มคล้ายนึกย้อนถึงความทรงจำบางอย่างด้วยน้ำตา จนลืมร้องไห้ เพียงกระพริบตาเต็มไปด้วยน้ำตา ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามขึ้น
“แต่ พวกเรารู้จักกันตั้งแต่เมื่อใดหรือ เหตุใดข้าจึงลืมเลือน ท่านบอกข้าได้หรือไม่!”
“ฮ่า ๆ หากตอนนี้บอกกับเจ้า คงไร้ความหมาย ข้าต้องการให้เจ้าลองคิดให้ดี คิดขึ้นมาด้วยตัวเอง”
สำหรับเรื่องนี้ เหลิ่งอวี้เซวียนจริงจังอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ จึงดึงมือเล็กของซินเอ๋อร์ พร้อมเอ่ยปากว่า
“ไป ข้าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง”
………………………………………………………………………………….