เหลยไห่เฉายิ่งคิดยิ่งกังวล เขาเดินไปมาอยู่ภายในห้องหลายครั้ง สักพักถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดขึ้น “แกรีบออกไปกับฉัน พวกเราไปหาหมอ…อาจารย์อวิ๋น บางทีเธออาจจะช่วยพวกเราได้!” พูดจบก็เดินออกจากประตูไปทันที
ความคิดของเหลยไห่เฉาง่ายมาก คนเดียวที่เขารู้จักและเคยเห็นความสามารถมีเพียงอวิ๋นเจี่ยว อีกทั้งก่อนหน้านี้เธอยังช่วยคลายคำสาปให้ลูกชาย ถึงแม้อีกฝ่ายจะปฏิเสธ อีกทั้งยืนกรานว่าเป็นเพียงการลบรอยสัก แต่คนที่พวกเขาสามารถขอความช่วยเหลือได้มีเพียงเธอเท่านั้น
เขาวางแผนไว้อย่างดี ก่อนจะโยนเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในบริษัททิ้งเอาไว้ ออกเดินทางไปยังบ้านพักของอวิ๋นเจี่ยว
อวิ๋นเจี่ยวไม่ใส่ใจกับการมาถึงของพวกเขามากนัก เธอเปิดประตูออกพร้อมเหลือบมองคนทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มาแล้ว เข้ามาเถอะ!” พูดจบก็หันหลังเดินเข้าด้านใน
พ่อลูกตระกูลเหลยผงะไป อาจารย์รู้ล่วงหน้าว่าพวกเขาจะมา? ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพบเข้ากับใบหน้าชราที่คุ้นเคยหันมาจากโซฟา “เอ๊ะ ลูก เสี่ยวอวี่ พวกแกมาทำไม”
“แม่!”
“คุณย่า!”
ทั้งสองคนผงะไป มองหญิงชราที่ทำตัวผ่อนคลายยิ่งกว่าตอนอยู่บ้าน พวกเขาทั้งสองตะลึงงันไปสักพัก
“แม่…ทำไมแม่อยู่ที่นี่”
“ทำไมฉันจะอยู่ที่นี่ไม่ได้” ยายอวี้พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฉันอยู่ที่นี่ทุกวัน!”
ทั้งสองคน “…” อะไรกัน ตกลงว่าเป็นคนของบ้านไหนกันแน่
“ฉันบอกอะไรพวกแกให้ เจ้าหนูทำอาหารอร่อยมาก” หญิงชราพลางยัดขนมเข้าปากพลางมองไปยังคนทั้งสอง อีกทั้งยังยื่นขนมในมือออกมา พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังไม่ชัด “ฉันไม่เคยกินของอร่อยขนาดนี้มาก่อน มิชลินอะไรเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย พวกแกอยากกิน…ช่างเถอะ! พวกแกไม่คู่ควร!” พูดจบเธอก็รีบหดมือกลับไป
เหลยไห่เฉา “…”
เหลยอวี่ “…”
ตกลงใครเป็นลูก (หลาน) ชายแท้ๆ กันแน่
“ในเมื่อพวกคุณมาแล้วก็พาคนกลับไปด้วย!” อวิ๋นเจี่ยวชี้ไปยังคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเร่งเร้า ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ “จริงสิ นี่คือค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าส่วนกลาง ค่าดูแลคนชราและค่าเสียหายทำขวัญของหลายวันนี้ รบกวนทั้งสองชำระด้วย!”
“…” นี่คือสาเหตุที่เธอปล่อยทั้งสองคนเข้ามาอย่างไม่รีรอหรือ
“คือ คุณหมออวิ๋น...” เหลยไห่เฉาคิดจะอธิบายถึงจุดประสงค์การมา
อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้าขึ้นกะทันหัน เหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ทำไม คิดจะเบี้ยวหนี้หรือ!”
“ไม่ๆ ไม่ใช่ครับ!” เขารีบส่ายหัว “อันที่จริงพวกเราไม่ได้มาเพื่อรับคุณแม่”
“พวกคุณคิดจะฝากระยะยาว?!” อวิ๋นเจี่ยวมองทั้งสองคนด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของเธอเบิกโต เธอเป็นหมอ ไม่ใช่พยาบาลคนชรา!
“ไม่ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เหลยไห่เฉาหน้าแดงก่ำ ไม่รู้จะเปิดปากพูดอย่างไร
“คุณอวิ๋น คุณเข้าใจผิดแล้วครับ” เหลยอวี่สงบสติลง พูดขึ้น “วันนี้พวกเรามาเพราะมีเรื่องต้องการขอความช่วยเหลือคุณหนูอวิ๋น! แน่นอน..พวกเราจ่ายค่าจ้าง!” เขารีบเสริม
อวิ๋นเจี่ยวผงะ กวาดตามองทั้งสองคนขึ้นลง “ใครขาหักอีก”
ทั้งสองคน “…” อย่าพุดเรื่องขาหักได้หรือไม่!
“คืออย่างนี้!” เหลยอวี่กระแอมไอ ก่อนจะเล่าเรื่องของจูไข่อย่างละเอียด
“คุณหมายความว่าคุณสงสัยว่ารอยสักนั้นเป็นฝีมือของคนที่ชื่อจูไข่?” อวิ๋นเจี่ยวถาม
“…” เหลยอวี่ปากกระตุก เราปล่อยเรื่องรอยสักให้มันผ่านไปได้หรือไม่ แต่เขาก็ยังคงพูดต่อ
“อันที่จริงผมก็ไม่แน่ใจ แต่เรื่องนี้บังเอิญเกินไป ดังนั้นจึงมาหาอา…หมออวิ๋นช่วยวิเคราะห์”
อวิ๋นเจี่ยวยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม ก่อนจะตอบ “ใช่หรือไม่ ฉันต้องพบคนก่อนถึงจะรู้ได้” ความคิดแรกของอวิ๋นเจี่ยวคือมีคนเคลื่อนย้ายคำสาปนั้น คำสาปสามารถเคลื่อนย้ายได้ แต่ผลที่ต้องเสียไปมหาศาลมาก อีกทั้งทำให้ส่วนบุญสูญเสีย ถึงแม้จะเป็นคนที่มีการฝึกฝนก็ย่อมได้รับการสะท้อนกลับ สิ่งที่ต้องเสียไปมากกว่าการคลายคำสาปเสียอีก
ดังนั้นนอกจากเผชิญกับคำสาปที่แก้ยากเป็นพิเศษ หรือไม่อาจแก้ได้ถึงจะเลือกวิธีการเคลื่อนย้าย ตามหลักแล้วคำสาปบนตัวของเหลยอวี่ไม่ได้ร้ายกาจมากนัก เหตุใดจึงต้องเคลื่อนย้าย
อีกทั้งเท่าที่เธอฟังจากพ่อลูกตระกูลเหลยเล่า คนที่ชื่อจูไข่นั้นตอนนี้มีชีวิตอยู่ดี ไร้ซึ่งท่าทางของการถูกวิชาเวทย์สะท้อนกลับ อาจเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายมีพลังแก่กล้า ไม่เกรงกลัวต่อการสะท้อนกลับ หากแต่เช่นนี้ ทำไมเขาต้องเคลื่อนย้ายคำสาปให้ยุ่งยาก
“พวกคุณมีความแค้นกับคนนั้นหรือ” เธอถาม
“ไม่มี!” พ่อลูกตระกูลเหลยส่ายหัว จูไข่เติบโตที่ต่างประเทศตั้งแต่ยังเด็ก ธุรกิจของตระกูลจูและตระกูลเหลยก็แตกต่างกัน ดังนั้นแม้แต่ความขัดแย้งทางธุรกิจก็ยังไม่มี จะมีความแค้นได้อย่างไร
“แปลก...” ไม่มีความแค้น ไม่มีความเกลียด ทำไมเคลื่อนย้ายให้เหลยอวี่
“ไม่อย่างนั้น เอาแบบนี้!” สายตาของเหลยไห่เฉาหลุบต่ำ เสนอขึ้น “พวกเราหาโอกาสเรียกจูไข่ออกมา ให้อา…ให้หมออวิ๋นดู เป็นยังไง”
“ก็ดี!” ดูหน่อยก็ดี อย่างไรตอนนี้เธออยู่ในสถานการณ์ตกงาน มีเวลาว่างมาก ดีกว่าอยู่บ้านทำอาหารให้หญิงชราทุกวัน
ทั้งสามคนตกลงร่วมกัน พร้อมทั้งหารือเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ตระกูลเหลยสมกับที่เป็นตระกูลเศรษฐี พวกเขาโอนเงินก้อนใหญ่เข้าบัญชีของเธออย่างไม่ลังเล อวิ๋นเจี่ยวมองเลขศูนย์ที่อยู่ด้านบน ภายในใจรู้สึกสบายอย่างมาก แม้แต่ใบหน้าของหญิงชราที่มาไถข้าวกินในหลายวันนี้ก็ถูกชะตามากขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เธอเปิดปากบอกลูกชายกดศูนย์เพิ่มอีกหลายตัว
เธอเป็นหญิงชราที่ไหนกัน เธอเป็นเทพแห่งความร่ำรวยชัดๆ โดยเฉพาะตอนหลอกลูกชาย เท่ชะมัด!
พ่อลูกตระกูลเหลยมีงานติดพันจำนวนมาก เมื่อคุยธุระกับเธอเสร็จ พวกเขาก็ไม่อยู่ต่อ ลากหญิงชราที่ทำหน้าไม่เต็มใจ พยายามยัดขนมใส่อ้อมกอดของตนเองจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
อวิ๋นเจี่ยวไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้มากนัก เธอเพียงแค่รู้สึกว่าคำสาปที่ไม่วิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเธอ มีความรู้สึกเหมือนแต่ก่อนเรื่องแบบนี้ไม่ต้องถึงมือเธอเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใด…เธอนึกไม่ออก
เธอสะบัดหัวเบาๆ ระยะนี้เธอมักมีความรู้สึกแปลกประหลาด แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เวลานี้เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เธอรับขึ้นมา เสียงเยินยอของรองอธิการบดีโรงพยาบาลเฉินลอยมาตามสาย “หมออวิ๋น ผมตาเฉินนะ!”
“มีเรื่องอะไร” อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอลาออกมาสักพักแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอรับโทรศัพท์จากโรงพยาบาล
“ไม่มีอะไร” อีกฝ่ายหัวเราะ พูดด้วยน้ำเสียงเก้อเขิน “เพียงแต่เห็นหมออวิ๋นพักร้อนหนึ่งเดือนแล้ว จึงอยากถามว่าหมอจะกลับมาทำงานเมื่อไร คนไข้ต่อแถวรอหมออยู่นะ!”