“พ่อ…” เมื่อเห็นไม่มีใครตอบ เหลยอวี่ทำท่าจะลุกขึ้นมา
“ไม่มีอะไร ฝังเข็มเสร็จแล้ว ฉันจะเก็บเข็ม คุณอย่าขยับ!” อวิ๋นเจี่ยวกดคนลงไป ก่อนจะดึงเข็มออกทีละเล่ม จนกระทั่งเก็บจนหมด เธอนึกบางอย่างขึ้นได้จึงหันไปมองคนที่ตกตะลึงทั้งสอง “อ่อ จริงสิ พวกคุณอย่าลืมพาเขาไปเข้าเฝือกที่โรงพยาบาล”
“เข้า…เข้าเฝือก?” เหลยไห่เฉาทำหน้าฉงน เขายังไม่ได้สติจากเหตุการณ์เมื่อครู่
“ขาหักก็ย่อมต้องเข้าเฝือก!” ไม่อย่างนั้นกระดูกผิดรูปไปจะทำอย่างไร
“…” พูดได้มีเหตุผล “เสียง เสียงเมื่อกี้คือ…”
“หูฝาด” อวิ๋นเจี่ยวตอบอย่างมั่นใจ
เหลยไห่เฉา “…”
ยายอวี้ “…”
ล้อกันเล่นเหรอ!
“ไม่ใช่ หมออวิ๋น...” เหลยไห่เฉาอดถามไม่ได้ “รูปเมื่อกี้คือ…”
“อ่อ คำสะ…รอยสักนั้นฉันล้างออกแล้ว”
“รอย…รอยสัก?” คุณเคยเห็นรอยสักที่ขยับได้เหรอ อีกทั้งคุณเองก็หลุดปากพูดแล้ว ทั้งๆ ที่ต้องการพูดว่าคำสาปใช่ไหม ใช่อย่างแน่นอน!
“ใช่ รอยสัก!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้น “เฮ้อ วัยรุ่น อย่ามัวแต่งมงาย ต้องเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์!”
“…” วิทยาศาสตร์อะไรกัน!
“ฉันยังมีธุระ ขอตัวกลับก่อน” อวิ๋นเจี่ยวไม่สนใจพวกเขา ยังคงพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ค่ารักษาสามพันสอง อย่าลืมโอนเข้าบัญชีฉัน ขอบคุณ!”
พูดจบ เธอหันหลังเดินจากไปในขณะที่คนทั้งสามยังตั้งสติไม่ได้
อืม วันนี้เป็นวันเผยแพร่วิทยาศาสตร์อีกหนึ่งวัน!
เธอเดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลเหลยอย่างรวดเร็ว นึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อกี้ เธอรู้สึกว่าชื่อเหลยอวี่นี้เหมือนจะเคยได้ยินจากที่ไหน จนกระทั่งเดินออกมาจากหมู่บ้าน เธอหันไปเห็นด้านข้าง…หมู่บ้านอวี้สุ่ยเหลยถิง
เวลานี้เธอถึงได้นึกขึ้นได้ เหลยอวี่คือชื่อของประธานบริษัทตระกูลเหลย เศรษฐีสามสิบอันดับแรกจากบอร์ด ‘ฝูซือซือ’ ที่ตั้งตัวจากอสังหาริมทรัพย์ มีบริษัทย่อยหลากหลายกิจการ เธอไม่คิดว่าประวัติของหญิงชราตกทรัพย์จะใหญ่ขนาดนี้
ทันใดนั้นรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ค่ารักษาเมื่อกี้น่าจะเรียกให้มากกว่านี้!
…
เหลยไห่เฉารู้เสมอมาว่าแม่ของตนเองงมงายเล็กน้อย มักจะพูดจาเหลวไหลบ่อยครั้ง แต่ระยะนี้เธอก็ดีขึ้น ก่อนหน้านี้มักจะวาดยันต์บ้าบอออกมาเป็นครั้งครา อีกทั้งยังบอกว่าเทวดาในฝันมาสอนเธอ สามารถป้องกันภัย อีกทั้งยังยัดเยียดให้พวกเขาพกติดตัว
เห็นแก่ความเป็นห่วงของแม่ เขามักจะรับไว้อย่างตั้งใจในตอนแรก แต่หลังจากที่ประสบกับหนึ่งวันรับหนึ่งกอง ทำให้เขาเริ่มไม่เชื่อขึ้นมาแล้ว
แม้แต่เสี่ยวอวี่ก็ไม่เชื่อเรื่องผีที่เธอเล่าตั้งแต่อายุห้าขวบแล้ว แต่เขาไม่คิดว่าในหลายวันนี้ เขาจะได้เห็นเหตุการณ์เหลือเชื่อขนาดนี้ด้วยตาของตนเอง ถึงแม้อีกฝ่ายจะพยายามปฏิเสธ เหลยไห่เฉารู้สึกเหมือนได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการเจ็บขาของลูกชายหายดีภายในครึ่งเดือน อีกทั้งไม่หักอีก เขายิ่งมั่นใจว่าเหตุการณ์ในตอนนั้นไม่ใช่ภาพหลอน บนโลกนี้อาจมีพลังลึกลับที่พวกเขาไม่รู้อยู่ก็เป็นได้
อีกทั้งรอยสัก…ไม่ใช่ คำสาปบนแผ่นหลังของลูกชายมาได้อย่างไร ทำให้เขาเป็นกังวลอย่างมาก คนที่ล้มลุกคลุกคลานในสนามธุรกิจจนเคยชิน มักจะคิดเรื่องต่างๆ ให้ลึกมากขึ้น ลูกชายของเขาเพิ่งรับมือบริษัทตระกูลเหลย ถึงแม้เขาจะเก่งมาก ตนเองก็มั่นใจในตัวของลูกชาย แต่เขาก็ไปขัดขวางทางของคนบางส่วนเข้า มีคนอิจฉาตาร้อนก็เป็นเรื่องปกติ เรื่องการขาหักของเขาในครั้งนี้อาจมีสาเหตุที่ไม่อาจรู้ได้ก็เป็นได้
เขาบอกกล่าวความคิดนี้กับลูกชายอย่างไม่ปิดบัง เหลยอวี่เพียงแค่ขมวดคิ้ว ก้มหน้าครุ่นคิดขึ้นมา
“ทำไม แกนึกอะไรได้เหรอ” เมื่อเหลยไห่เฉาเห็นท่าทีของลูกชาย เขาก็รู้ว่ามีเรื่องอย่างแน่นอน
“ผมก็ไม่รู้ว่าใช่ไหม…” เหลยอวี่พูดอย่างไม่แน่ใจ “แต่ครึ่งปีก่อน หรือก็คือตอนที่ผมขาหักครั้งแรก จูไข่เคยมาหาผม บอกว่าเขาเจอผี ถามผมว่ารู้จักอาจารย์ที่เก่งกาจไหม”
“จูไข่? ลูกคนเล็กของตระกูลจู?!” สีหน้าของเหลยไห่เฉาเปลี่ยนไป ถึงแม้ธุรกิจตระกูลจูจะเทียบตระกูลเหลยไม่ได้ แต่ในเมืองซีก็ถือเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง อีกทั้งจู่ไข่กับเหลยอวี่อายุห่างกันไม่มาก ทั้งสองคนอยู่ในวงสังคมเดียวกัน รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่สมาชิกตระกูลจูซับซ้อน ไม่เหมือนตระกูลเหลยที่นอกจากหญิงชราแล้ว ก็คือพวกเขาพ่อลูก
“จูไข่ ไปต่างประเทศตั้งแต่มัธยมต้น สองปีนี้เพิ่งกลับมา หากพูดถึงความสัมพันธ์ ผมกับเขาไม่ได้สนิทกัน แต่จู่ๆ เขาก็มาหาผม ผมคิดว่าเขาคงจะเจอปัญหาที่ไร้ทางแก้จริงๆ ถึงได้หาคนช่วยเหลือ” เหลยอวี่วิเคราะห์ “แต่…หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยติดต่อผมอีกเลย ได้ยินว่าเขาเข้าไปทำงานในบริษัทตระกูลจู คุณลุงจูให้ความสำคัญกับเขามาก”
“หากให้ความสำคัญจริง ตอนนั้นคงไม่ไล่พวกเขาแม่ลูกไปเมืองนอก!” เหลยไห่เฉาไม่ชอบใจจูเผิงพ่อของจู่ไข่เล็กน้อย นึกถึงเรื่องที่เขาทิ้งลูกเมียเพื่อมือที่สาม ลูกนอกสมรสอายุมากกว่าลูกที่ถูกต้องตามกฎหมายสามปี ในวงสังคมมีใครไม่รู้เรื่องนี้บ้าง เพียงแต่ไม่คิดว่าจูไข่จะกลับมา อีกทั้งยังเข้าไปทำงานในบริษัทตระกูลจู
“ดังนั้นผมจึงแปลกใจ” สิ่งสำคัญคือ จูไข่ที่เขาเจอก่อนหน้านี้ครึ่งปี สีหน้าเหน็ดเหนื่อย คนทั้งคนผอมแห้งจนเหลือแต่กระดูก อีกฝ่ายเหมือนเจอปัญหาใหญ่อะไรมา แต่เวลาไม่ถึงครึ่งปี จูไข่ที่เขาเห็นจากในข่าวกลับเปลี่ยนไปอย่างมาก ท่าทางของเขาดูอุดมสมบูรณ์ เหมือนนักธุรกิจที่เก่งกาจ “อีกอย่าง…พ่อครับ พ่อจำตอนที่เขาอายุห้าขวบปีนต้นไม้ตกลงมาขาหักได้ไหม”
“จำได้!” เหลยไห่เฉาพยักหน้า “ตอนนั้นพวกเราสองตระกูลอยู่ใกล้กัน ผมยังรู้ว่าเขาตกลงมาจากต้นไม้เก่าแก่ ตอนนั้นตระกูลของเขายังไม่มั่งมี เงื่อนไขในการรักษาไม่ดีนัก ดังนั้นจึงไม่ได้รักษาขา” มิเช่นนั้นตอนนั้นจูเผิงก็คงไม่ปล่อยให้อดีตภรรยาพาลูกไปต่างประเทศ
“แต่ตอนนี้ขาของเขาไม่กะเผลกแล้ว”
“เขารักษาที่เมืองนอกแล้วเหรอ?” เหลยไห่เฉาพูดขึ้น
“ไม่!” เหลยอวี่ส่ายหน้า “ผมหมายถึงตอนที่เขากลับมาจากต่างประเทศแล้วมาหาผม ขายังไม่หายดี แต่ตอนนี้หายดีแล้ว!”
“…”
เหลยไห่เฉาผงะ ก่อนจะลุกขึ้นพรวด “เฮ้ย! แกหมายความว่า! เจ้านั่นทำให้ขาแกหัก?”
“ผมก็ไม่แน่ใจ!” เหลยอวี่ขมวดคิ้ว ถึงแม้เขาจะขาหักหลังจากวันที่จูไข่มาหาเขา อีกทั้งก่อนที่จูไข่จะจากไปเหมือนจะตบเข้าที่กลางหลังของเขา ซึ่งบังเอิญเป็นตำแหน่งของคำสาปนั้น ตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้มานึกย้อนดู เหมือนว่าทุกอย่างจะปะติดปะต่อกันได้ เพียงแต่เขาไม่มีหลักฐาน “แต่ถึงแม้ไม่ใช่เขา เขาก็คงรู้อะไรบางอย่าง”