“คุณอวิ๋น คุณอย่าเข้าใจผิดนะครับ!” เหลยไห่เฉาเห็นว่าเธอไม่รับ จึงรีบอธิบาย “ผมไม่ได้มีเจตนาใช้เงินเหยียดหยามคุณ เพียงแค่ต้องการขอโทษที่เข้าใจคุณผิดก่อนหน้านี้ อีกทั้งขอบคุณที่คุณช่วยแม่ของผมเอาไว้ คุณวางใจ เรื่องนี้พวกเราจะอธิบายต่อหน้านักข่าว ทางด้านโรงพยาบาล พวกเราก็จะไปอธิบายให้ชัดเจน รับรองว่าไม่สร้างความเดือดร้อนให้คุณอวิ๋นอย่างแน่นอน”
“ช่างเถอะ!” อวิ๋นเจี่ยวมองไปยังบัตรในมือของเขาอย่างควบคุมไม่ได้ “ฉันรับคำขอโทษของพวกคุณ” เดิมทีเธอไม่ได้ลาออกเพราะเรื่องนี้ แต่เพราะปัญหาดวงตาของเธอ ในเมื่อเขาดึงดันจะให้เงิน เธอก็คงต้องรับไว้อย่างจำยอม!
อวิ๋นเจี่ยวหาเหตุผลให้ตนเอง ก่อนจะยื่นมือออกไปรับบัตร ในขณะที่กำลังจะรับมา มือของเธอถูกบางอย่างทิ่มเข้าหนึ่งที ไม่รู้สึกเจ็บเพียงแต่รู้สึกเย็น เมื่อพินิจดู ถึงได้พบว่ามีพลังสีดำกลุ่มหนึ่งกำลังพัวพันอยู่บริเวณปลายนิ้วของอีกฝ่าย แต่ปรากฏขึ้นเพียงชั่วพริบตา สิ่งนั้นคือ…พลังแห่งความโชคร้าย?
“ฮัดชิ่ว!” ทันใดนั้นเหลยไห่เฉาจามขึ้นเสียงดัง ร่างอ้วนสั่นเล็กน้อยพร้อมหดตัวลง ทั้งที่อากาศร้อนอย่างมาก แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงไอเย็น ระหว่างคิ้วของเขาปรากฏพลังสีดำอย่างเลือนราง
อวิ๋นเจี่ยวยกมือร่ายวิชาเวทตามสัญชาตญาณ ก่อนจะแตะลงไปที่ใจกลางหน้าผากของอีกฝ่าย นาทีถัดมาพลังสีดำที่รวมตัวอยู่ด้านบนก็สลายไป แม้แต่พลังสีดำที่อยู่บนปลายนิ้วก็หายไปเช่นเดียวกัน
“เอ๊ะ?” เหลยไห่เฉาผงะไป ทันใดนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น แม้แต่ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะในระยะเวลานี้ก็หายไป ในสมองมีแต่ความโล่งโปร่ง เขามองไปยังอวิ๋นเจี่ยวอย่างฉงน “คุณอวิ๋น...” เมื่อกี้เธอกดจุดกระตุ้นสมองให้เขาเหรอ แต่ว่า…เธอเป็นแพทย์แผนตะวันตกไม่ใช่เหรอ ทำไมรู้วิธีของแพทย์แผนจีนด้วย
“ช่วงนี้คุณโชคไม่ดีมากใช่ไหม” อวิ๋นเจี่ยวถามออกมาโดยตรง
“ฮะ?” เหลยไห่เฉาผงะ ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงถามเรื่องนี้ แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับ “มีเรื่องไม่ราบรื่น…นิดหน่อย” นอกจากเรื่องของแม่ตนเองแล้ว บริษัทก็เกิดเรื่องอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็จัดการค่อนข้างยุ่งยาก
ยายอวี้ที่อยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ทันใดนั้นรีบเดินเบียดขึ้นหน้ามา “อาจารย์ คุณเห็นอะไรเหรอ หรือว่าเจ้าลูกหมาจะเจอสิ่งสกปรกอะไรเข้าเหมือนกัน!”
“…”
อวิ๋นเจี่ยวผงะ ยังไม่ทันได้ตอบคำถาม ยายอวี้ก็รีบดึงลูกชายร่างอ้วนของตนเองเข้ามา พร้อมพูดด้วยสีหน้าร้อนใจ “เร็วๆๆ อาจารย์ รบกวนช่วยดูให้เจ้าลูกหมาฉันหน่อย ดูอย่างละเอียด!”
“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ใช่อาจารย์ ฉันเป็นหมอ!” อวิ๋นเจี่ยวพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะสั่งสอนอีกฝ่ายต่อ “หากต้องการตรวจสุขภาพสามารถไปโรงพยาบาล แต่อย่าเชื่อเรื่องงมงาย!” อืม เธอยืนหยัดที่จะเชื่อมั่นวิทยาศาสตร์อย่างไม่สั่นคลอน
“…” ยายอวี้ปากกระตุก แม้แต่ผียังกำราบมาแล้ว ยังจะมาวิทยาศาสตร์อีก แต่เธอทำได้เพียงคิดในใจ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างลังเล “งั้น…คุณลองดูเจ้าลูกหมาตามแบบวิทยาศาสตร์ให้หน่อย?”
“แม่!” เหลยไห่เฉาสีหน้าระอา นอกจากเรียกตนเองว่าเจ้าลูกหมาต่อหน้าคนอื่นแล้ว โรคงมงายของเธอก็มีอาการขึ้นมาอีกแล้ว “ผมแค่เป็นหวัด ไม่มี…”
“หุบปาก!” ยายอวี้ถลึงตาใส่เขา “ผู้ใหญ่คุยกัน เด็กพูดแทรกอะไร”
เด็กเหลยอายุสี่สิบกว่า “…”
“อาจารย์…” ยายอวี้มองอวิ๋นเจี่ยวด้วยสีหน้ากังวลและคาดหวัง
“ช่างเถอะ เข้ามา! ฉันจะดูอาการหวัดของเขาให้!” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว ก่อนจะถอยหลังหลบออกไปก้าวหนึ่งให้คนทั้งสองเข้ามา
“ดีๆ ได้เลย!” ยายอวี้เบียดตัวเข้ามาอย่างดีใจ พร้อมลากเหลยไห่เฉาที่ทำหน้าหมดอาลัยตายอยากเข้ามานั่งอยู่บนโซฟา
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ถามอาการของอีกฝ่ายเป็นสิ่งแรก หากแต่เพียงยกมือขึ้นจับชีพจรของอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ จนกระทั่งตรวจดูเส้นชีพจรแล้วเธอก็ยังไม่รู้ตัว พูดออกมาโดยตรง “พลังชีวิตมี…”
เธอพูดไปได้ครึ่งเดียวก็หยุดลง กลืนคำว่าสูญเสียที่กำลังจะพูดออกมาลงคอไป พลังชีวิตคืออะไรกัน ทำไมเธอ ต้องพูดสิ่งนี้! ภายในใจของเธอสับสนอย่างมาก แต่สีหน้าของเธอยังคงนิ่งขรึมเหมือนเดิม เธอรีบเปลี่ยนวิธีการพูดทันที “นอกจากจามแล้ว มีไข้ หรือไอบ้างไหม”
“ไม่มี!” เหลยไห่เฉาส่ายหัว
“อ่อ งั้นคงไม่เป็นอะไร แค่เป็นหวัดเล็กน้อย กลับไปดื่มน้ำร้อนให้มาก!” เธอกำชับข้อควรระวังตอนเป็นไข้หวัดอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะเสริมขึ้นอีกประโยค “หากมีเวลาตากแดดให้มาก” เสริมพลังชีวิตที่สูญเสียไป
“ได้ครับ ขอบคุณคุณหมออวิ๋น!” เหลยไห่เฉาพยักหน้าก่อนจะหันไปมองแม่ของตนเอง พร้อมส่งสายตา พอใจแล้วหรือยัง
ยายอวี้ร้อนใจอย่างมาก “ไม่ใช่ อาจารย์ คุณไม่ถามเขาว่าช่วงนี้ไปสถานที่แปลกประหลาดอะไร พบเจอสิ่งแปลกประหลาดอะไร หรือว่าเจอใครเหรอ” พูดจบยังถีบขาลูกชายตัวเองหนึ่งที “เร็ว แกรีบบอกมา ช่วงนี้ไปไหนมา”
“แม่!” เหลยไห่เฉาเหนื่อยใจ รู้สึกเหมือนตนเองเป็นลูกที่ถูกเก็บมาเลี้ยง “ผมยุ่งอยู่กับเรื่องบริษัททุกวัน เสี่ยวอวี่ก็ป่วย ผมจะมีเวลาออกไปไหนได้!” ครั้งนี้เขาถูกเธอลากออกมาจากห้องประชุมเพื่อมาขอโทษด้วยซ้ำ
“…ก็จริง!” ยายอวี้ถึงพยักหน้าอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เธอมองไปยังอวิ๋นเจี่ยวอีกครั้ง “เจ้า…คุณหมออวิ๋น เขาแค่เป็นหวัดจริงๆ เหรอ”
“อืม!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้าอย่างไม่ลังเล ยืนหยัดที่จะไม่งมงาย!
“เอาเถอะ แกอย่าอยู่รบกวนคุณหมออวิ๋นเลย กลับไปประชุมของแกได้แล้ว!” หญิงชราเริ่มขับไล่
เหลยไห่เฉาลุกขึ้นยืนด้วยความโล่งใจ “วันนี้รบกวนคุณอวิ๋นแล้ว บริษัทผมยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ ไม่รบกวนคุณแล้ว คุณวางใจ เรื่องชื่อเสียงที่ได้รับความเสียหายของคุณ พวกเราจะจัดการให้เอง”
“อืม เชิญค่ะ!”
เหลยไห่เฉาเดินไปทางประตู แต่เดินไปได้สองก้าวเขาก็ชะงักหยุด หันหน้ากลับมามองแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาไม่ขยับ “แม่ ไม่ได้จะไปเหรอ”
“แกไปของแก เกี่ยวอะไรกับฉัน” ยายอวี้ถลึงตาใส่เขา
“ไม่ใช่…” เหลยไห่เฉางุนงง “นี่เป็นบ้านคุณหมออวิ๋น!” ขอโทษก็แล้ว ดูอาการป่วยก็แล้ว แม่ยังจะอยู่ต่อทำไม
“ฉัน…ฉันก็แค่อยากอยู่ต่อ พูดคุยกับเจ้า…กับคุณหมออวิ๋น ไม่ได้เหรอ” อย่างไรฉันก็ไม่ไป
“แม่! หยุดเล่นได้แล้ว!” เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากสนทนาด้วย เขารู้สึกว่าหากแม่ของตนไม่ใช่คนชรา คงได้ถูกคนตีตายไปแล้ว!
“ใครเล่นกัน เจ้าลูกบ้า พูดจาอะไรของแก”
“…แม่!” เหลยไห่เฉาหันไปมองอวิ๋นเจี่ยวอย่างขอความช่วยเหลือ
อวิ๋นเจี่ยวไม่เข้าใจหญิงชราตรงหน้าอย่างมาก ก่อนหน้านี้เข้าใจผิดก็แล้วไป ตอนนี้เรื่องกระจ่างแล้ว ทำไมเธอยังไม่อยากจากไปกัน หรือว่าชอบโซฟาบ้านเธอขึ้นมา
เธอทำได้เพียงพูดให้ความร่วมมือ “ฉันมีธุระต่อ!”
“อย่าง…อย่างนั้นเหรอ” ยายอวี้สีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า “งั้น…งั้นพรุ่งนี้ฉันมาหาใหม่?”