ภายในดวงตาของเยี่ยยวนเต็มไปด้วยความเย็นชา ท่าทางของเขาแตกต่างจากปกติที่รำคาญเมื่อถูกรบกวน ตอนนี้เขาฟังเสียงอย่างอื่นไม่เข้าแล้ว เขา คิดจะฆ่าซื่อไป๋จริงๆ จากนั้นลากดินแดนทั้งหกลงหลุมไปด้วยกัน
อิ้งหลุนเห็นว่าหยุดยั้งอีกฝ่ายไม่ได้ เขาจึงตะโกนออกมา “มีวิธี มีวิธี… ศิษย์ตัวน้อยยังกลับมาได้! เยี่ยยวน! เจ้าฟังข้า…”
พลังที่ถาโถมอยู่รอบตัวของเยี่ยยวนชะงักไป เขาหันหน้ามามองอิ้งหลุนอย่างเชื่องช้า ดวงตายังคงแดงก่ำจนน่าตกตะลึง
อิ้งหลุนตกใจกับท่าทางของอีกฝ่าย เขาสูดลมหายใจเข้า ก่อนจะใช้เสียงที่อ่อนโยนที่สุดในชีวิตพูดขึ้น
“เยี่ยยวน…เจ้าปล่อยซื่อไป๋ก่อน ข้าไม่ได้หลอกเจ้า มีวิธีตามหาศิษย์ตัวน้อยกลับมาจริงๆ เจ้าเชื่อข้าสักครั้งได้หรือไม่”
อารมณ์รุนแรงในสายตาของอีกฝ่ายยังคงพลุ่งพล่าน ในที่สุดเขาก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง เขาคลายมือออก ก่อนจะโยนคนที่กลัวจนสงสัยในชีวิตลงไปที่พื้น มองตรงไปที่อีกฝ่าย “พูด!”
ในสายตาของอีกฝ่ายเขียนไว้อย่างชัดเจน หากเจ้ากล้าโกหกข้า ข้าจะจัดการกับเจ้าด้วย คนมองรู้สึกเย็นวาบขึ้นในใจ อิ้งหลุนสงบสติอารมณ์ พูดขึ้น “คือ…บนตัวของศิษย์ตัวน้อยมีเส้นชีพจรเสวียนของเจ้าไม่ใช่เหรอ มีสิ่งนี้พวกเราสามารถตามหาว่านางอยู่ในโลกไหนได้”
ดวงตาของเยี่ยยวนฉายแววความหวัง ก่อนจะนึกบางอย่างได้ สีหน้าของเขาเย็นชาลงกว่าเดิม
“ข้ารู้ว่าพวกเราออกจากโลกนี้ไม่ได้!” อิ้งหลุนคาดการณ์สิ่งที่เขาคิดได้ จึงรีบพูดเสริมขึ้น “แต่คนที่รู้จักศิษย์ตัวน้อยไม่ได้มีเพียงพวกเราสามคน ถึงแม้ศิษย์ตัวน้อยจะดมกลิ่นของหยาดน้ำค้างลวงจิตเข้าไป อาจทำให้นางลืมเรื่องบางอย่าง แต่นางไม่ได้กินลงไป ใช่ว่าจะฟื้นความทรงจำไม่ได้ พวกเราส่งคนที่นางคุ้นเคยข้ามไป ปลุกความทรงจำของนางกลับมา เช่นนี้เพียงแค่ศิษย์ตัวน้อยยินยอม พวกเราก็สามารถหาวิธีนำตัวนางกลับมา”
“…” เยี่ยยวนไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของเขาสงบลงเล็กน้อย ราวกับกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้
“หากเจ้าไม่วางใจ เจ้าให้คนที่ข้ามไปใช้คำสาปข้ามดินแดนก็ย่อมได้” อิ้งหลุนพูดต่อ “ถึงแม้ข้าไม่รู้ว่าดินแดนนั้นจะเป็นอย่างไร หากทางนี้ข้ามไปจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่เพียงแค่ข้าเตรียมการให้พร้อมก็คงไม่มีปัญหา เพียงแต่คนที่จะข้ามไปต้องเลือกให้ดี…”
พายุในดวงตาของเยี่ยยวนสงบลงไปในที่สุด เขานึกบางอย่างขึ้นได้ หายตัวไปจากบริเวณเดิมทันที
จนกระทั่งสัมผัสได้ว่าเขาออกจากอาณาเขตแล้ว อารมณ์ที่ตึงเครียดของอิ้งหลุนถึงได้ผ่อนคลายลง เขานั่งลงกับพื้น คนทั้งคนราวกับถูกดูดพลังไปจนหมดสิ้น ภายในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่หลงเหลืออยู่ อีกนิดเดียว…อีกนิดเดียวก็ต้องเผชิญกับวันสิ้นโลกอีกครั้งแล้ว
“เมื่อกี้…เป็นพลังที่แท้จริงของเยี่ยยวนเหรอ” ซื่อไป๋หาเสียงของตนเองกลับมาได้ในที่สุด สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความฉงนและเหลือเชื่อ ในฐานะที่เป็นเทพแห่งการสร้างโลกเหมือนกัน เขาคิดเสมอมาว่าพลังของตนเองและเยี่ยยวนไม่แตกต่างกันมาก ถึงแม้ที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยชนะอีกฝ่าย แต่เขาคิดว่าตนเองยังมีโอกาส แต่เมื่อกี้…เขามีความรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิทธิที่จะเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ “หรือว่า…ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยตั้งใจต่อสู้กับข้า”
อิ้งหลุนกรอกตาขาวใส่เขา “เจ้าคิดว่าอย่างไร” มีเพียงเจ้าที่โง่เขลาวิ่งเข้าไปให้อีกฝ่ายลงมือ ถึงแม้ดินแดนทั้งหกพวกเขาจะเป็นคนสร้าง แต่เยี่ยยวนเป็นเทพที่กำเนิดเร็วที่สุดในโลกนี้ หากอีกฝ่ายจริงจังขึ้นมา ทั้งสองคนร่วมมือกันก็คงเอาชนะเขาไม่ได้
สีหน้าของซื่อไป๋ยิ่งซับซ้อน ภายในใจเต็มไปด้วยความน้อยใจอย่างพูดไม่ออก จึงรีบพูดเสริมขึ้น “แต่…เขาก็ไม่ต้องโกรธเพียงนี้” เขาทำหน้าไม่เข้าใจ “หญิงเพียงคนเดียว ต้องทำถึงเพียงนี้เหรอ แต่ก่อนยากที่จะคาดเดา หลายปีนี้ ไม่เคยเห็นเขาใส่ใจกับหญิงคนไหนมากเพียงนี้!”
“เจ้าก็พูดแล้วว่าหลายปีนี้ไม่เคยเห็นเขาใส่ใจกับหญิงคนไหนมากเพียงนี้!” อิ้งหลุนปากกระตุก สายตาดูถูกมากยิ่งขึ้น “กว่าจะหวั่นไหวขึ้นมา ยังทำให้คนหายไป เขาไม่ฆ่าเจ้าก็เมตตามากแล้ว”
คนที่ไร้คู่อย่างเจ้าจะเข้าใจอะไร!
ซื่อไป๋ “…”
…
“ไม่ได้!” อิ้งหลุนยิ่งคิดยิ่งกังวล เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ข้าต้องตามไปดู เผื่อเขาถูกกระตุ้นขึ้นมาอีก ถึงเวลาไม่มีคนห้ามอยู่!”
พูดจบ ร่างของเขาหายจากอาณาเขตไปทันที คนที่ไปตามหาศิษย์ตัวน้อยเป็นเรื่องสำคัญ เขาต้องเลือกที่เหมาะสมที่สุด
อารามชิงหยาง
ฮัดชิว!
ชายแก่จามเสียงดัง เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เงียบสงบ ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เป็นเพียงภาพลวงตา
ผ่านไปนานเพียงนี้ อาจารย์ปู่ยังไม่พาเจ้าหนูกลับมาอีก เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
…
เวลานี้…
บนถนนที่ผู้คนเดินผ่านไปมา อวิ๋นเจี่ยวยืนเหม่อลอยอยู่หน้าประตูของโรงพยาบาล ในมือยังถือถุงที่คุ้นตาอยู่ใบหนึ่ง
เธอยืนอยู่กว่าสิบนาที ถึงได้ก้มมองถุงที่อยู่ในมือ เธอพลิกดูข้างใน พบว่าด้านในเป็นหนังสือรับรองการศึกษา และหนังสือรับรองทางอาชีพนานาชนิด สมองของเธอเชื่องช้าไปสักพัก ก่อนจะเชื่อมต่อสำเร็จ
เธอหันกลับไปมองโรงพยาบาลที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นถึงได้นึกขึ้นมาได้ ช่วงระยะก่อนเกิดภาพลวงตาขึ้นบ่อยครั้ง เธอสงสัยว่าดวงตาของตนเองมีปัญหา มาที่นี่เพื่อหาจักษุแพทย์ เพียงแต่จักษุแพทย์คนนั้นเหมือนจะไม่เชื่ออาการที่เธอเล่า จากนั้นเหมือนเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เธอจึงเดินออกมา
ภายในใจของเธอเกิดความสงสัย ทั้งที่เรื่องเพิ่งเกิดขึ้น แต่เธอกลับรู้สึกยาวนาน อีกทั้งในหัวมีว่างเปล่าไปช่วงหนึ่ง ราวกับบางอย่างหายไป ใจโหวงอย่างแปลกประหลาด
อวิ๋นเจี่ยวไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองแค่ลางานมาหาจักษุแพทย์ แต่ดันเกิดอารมณ์แปลกประหลาดนี้ขึ้นมาได้
หรืออาจเป็นเพราะเธอไม่ได้หาหมอในโรงพยาบาลของตนเอง ความรู้สึกผิดทำให้เธอเกิดปฏิกิริยาด้านลบเช่นนี้ แต่โทษเธอไม่ได้ เธอไปโรงพยาบาลที่ตนเองทำงานอยู่ คนอื่นล้วนทำหน้า ผอ.อวิ๋นอย่าล้อเล่น ไม่มีใครสนใจเรื่องที่เธอมองเห็นผีได้แม้แต่น้อย ดังนั้นเธอจึงต้องมาโรงพยาบาลอื่น
เพียงแต่ไม่คิดว่า อาการราวกับไม่ค่อยดีนัก หากดวงตาของเธอยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่รู้ว่าจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง
อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ เธอคิดจะลองไปหาโรงพยาบาลอีกหลายแห่งดู แต่ข้างตัวกลับมีเสียงเพลงที่คุ้นเคยดังขึ้น เธอผงะไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นเสียงโทรศัพท์มือถือของตนเอง จากนั้นเธอจึงหยิบมันออกมาจากกระเป๋าและรับสายขึ้น
“ผอ.อวิ๋น! ผอ.อยู่ไหนคะ”
ต้นสายเป็นเสียงของหญิงสาว เธอมองไปยังชื่อที่บันทึกไว้ในมือถือ “เสี่ยวหวัง” ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นแพทย์ฝึกหัดของตนเอง จึงตอบกลับ “อยู่ถนนเหรินหมิน?!”