“ศิษย์ตัวน้อย…”
“หุบปาก!” อวิ๋นเจี่ยวอดไม่ไหว พูดขัดคำอภิปรายที่ฮึกเหิมของเขา นางสูดลมหายใจเข้าเพื่อข่มความวู่วามที่อยากจะตีหัวของเขา พร้อมยื่นนิ้วออกไปหนึ่งนิ้ว ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนเคย “หนึ่ง! ข้าไม่ได้ชื่อศิษย์ตัวน้อย ข้าชื่ออวิ๋นเจี่ยว! ถึงจะเป็นเทพ ก็อย่าเรียกชื่อคนอื่นมั่ว! สอง…”
นางเงยหน้าขึ้นมองซื่อไป๋ พูดด้วยคิ้วขมวด “ท่านไม่รู้สึกว่าคำพูดของตนเองมีปัญหาทางตรรกะอย่างหนักหรือ”
“ปัญหาอะไร” เขาผงะไป ก่อนจะพูดด้วยท่าทางจริงจัง “สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริงในโลกใบนี้”
“เอาเถิด ถือว่าสิ่งที่ท่านพูดคือเรื่องจริง” อวิ๋นเจี่ยวจัดการดึงข้อมูลที่มีประโยชน์จากสิ่งที่ได้ยินจากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว นอกจากคำพูดไร้สาระและคำอุทานต่างๆ
“อะไรคือถือว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง!” ซื่อไป๋ส่งเสียงไม่พอใจ
“ไม่รีบ พวกเรามาวิเคราะห์ทีละอย่าง! พูดเช่นนี้ เมื่อครู่ท่านบอกว่าเผ่าปีศาจเป็นตัวแทนความชั่ว เป็นแหล่งรวมปัจจัยด้านลบอย่างสงคราม ความโลภ และความอยากที่ชั่วร้ายใช่หรือไม่” ดังนั้นปีศาจที่นางเห็นในใจจึงไม่มีความคิดของตนเอง รู้แต่เพียงกลืนกินกันและกันเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้เผ่าปีศาจ เพียงแค่เข้าใกล้ก็สัมผัสได้ถึงความหงุดหงิด โหดเหี้ยมและอาฆาต หากจิตใจไม่มั่นคงหรือคนที่มีกำลังต่ำจะถูกอีกฝ่ายกระทบหากเข้าใกล้
“ใช่!” เขาพยักหน้าอย่างแรง “สิ่งของเช่นนี้ รู้เพียงแต่จะพังทลายดินแดนทั้งหก”
“ได้!” อวิ๋นเจี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะวิเคราะห์ต่อ “ข้าขอถามเพิ่ม ความคิดชั่วร้ายเหล่านี้มาจากที่ใด”
“ย่อมต้องมาจากสรรพสิ่งในดินแดนทั้งหก!” เขาพูดพร้อมส่งสายตาระอา “ท่ามกลางการเวียนว่ายตายเกิดในดินแดนทั้งหก หากสรรพสิ่งมีความยึดติดมากเกินไป ความอยากอันชั่วร้ายแบบไร้จุดสิ้นสุดก่อให้เกิดวิญญาณที่ชั่วร้ายอย่างมหันต์ วิญญาณเหล่านี้ล้วนไม่ถูกโลกยอมรับ ทำได้เพียงเดินทางไปยังดินแดนปีศาจ อาศัยพลังในดินแดนปีศาจเติบโตเป็นเผ่าปีศาจ”
“หมายความว่า พวกเขาเกิดจากความอยากอันชั่วร้ายของสรรพสิ่งในดินแดนทั้งหก?”
“พูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด…”
“เช่นนั้นเกี่ยวอะไรกับอาจารย์ปู่ข้า!” จะให้เขาแบกรับความผิดนี้ได้อย่างไร!
“เขาเป็นเทพปีศาจ เขาสร้างดินแดนปีศาจและเซินยวน!” ซื่อไป๋คัดค้านเสียงดัง พร้อมกับพูดอย่างไม่เห็นด้วย “หากไม่มีดินแดนปีศาจ พวกมันไม่อาจกลายเป็นเผ่าปีศาจได้! อีกทั้งยังคิดจะรุกรานดินแดนทั้งหก!”
“ท่านหมายความว่าหากไม่มีดินแดนปีศาจ วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้จะไม่มีอย่างนั้นหรือ” นางถามกลับ
“แน่นอน!” เขาพยักหน้าอย่างแรง “วิญญาณร้ายไม่อาจถูกยอมรับบนโลก ย่อมมีหนทางแห่งสวรรค์สลายพวกเขา”
“ดังนั้น…” อวิ๋นเจี่ยวหรี่ตาลง ภายในใจปรากฏความขุ่นเคืองขึ้นมา “วิธีที่ท่านคิดได้คือให้พวกมันหายไปล่วงหน้า ถึงแม้พวกมันจะยังไม่ใช่ปีศาจ!”
“นี่คือวิธีที่ดีที่สุด!”
“เหลวไหล!” อวิ๋นเจี่ยวก่นด่าออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่ไม่เรียกวิธี แต่มันคือความโง่เขลา!”
“เจ้า…” ราวกับถูกคนก่นด่าเป็นครั้งแรก ซื่อไป๋ตกตะลึงไปชั่วขณะ!
“อิ้งหลุนเคยบอกกับข้า วิญญาณทุกตนบนโลกใบนี้ล้วนมีค่า การสูญเสียวิญญาณหนึ่งล้วนเป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้ รวมถึงเผ่าปีศาจ!” นี่คือสาเหตุที่ยมโลกมีดินแดนผีสำหรับรองรับวิญญาณปีศาจโดยเฉพาะ สาเหตุที่อิ้งหลุนไม่รับปากที่จะช่วยนางต่อต้านเผ่าปีศาจ ก็เพราะในสายตาของเขา มนุษย์และปีศาจล้วนเป็นสรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่มีความแตกต่าง เขาไม่แทรกแซงไม่ใช่เย็นชาต่อชีวิต แต่เพราะความเคารพต่อสรรพสิ่ง
“ท่านบอกว่าเขาเป็นเทพที่ควบคุมสรรพสิ่ง แต่ท่านมีสิทธิ์อะไรไปยุ่งเกี่ยวกับสรรพสิ่งที่เขาควบคุม”
“ใครยุ่งกัน!” ซื่อไป๋โมโหอย่างมาก เขาถลึงตาใส่นาง “ข้าทำเพื่อความมั่นคงในโลกใบนี้ รักษาความถูกต้อง! เจ้าเข้าใจหรือไม่ หากไม่มีกฎเกณฑ์หนทางแห่งสวรรค์ โลกนี้จะอยู่ได้อย่างไร”
“การกำจัดวิญญาณที่มีแนวโน้มในการเป็นปีศาจล่วงหน้าคือวิธีที่ท่านใช้ประคองความถูกต้อง?” เหตุผลอะไรกัน มันไม่แตกต่างจากการเดินไปบอกคนที่พบเจอกันข้างถนนว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะเป็นคนร้าย ดังนั้นให้อีกฝ่ายไปตาย
“พวกนั้นคือวิญญาณร้าย!” ซื่อไป๋ไม่รู้สึกว่าความคิดของตนเองมีปัญหาแม้แต่น้อย “พวกมันมีความอยากอันชั่วร้ายอยู่ในตัว กำจัดล่วงหน้าจะมีปัญหาอันใด”
“ความอยากอันชั่วร้าย?” นางหัวเราะเสียงเย็น รู้สึกตลกสิ้นดี “บนโลกนี้ความดีความชั่วไม่มีมาตรฐานที่แท้จริง บนโลกใบนี้ ใครไม่มีความอยากอันชั่วร้ายในใจกัน”
“ใครบอกกัน?” เขาพูดคัดค้าน “คนของดินแดนมนุษย์เหตุใดจะไม่มีความอยากอันชั่วร้ายเช่นเดียวกับดินแดนปีศาจ ดินแดนเซียนและดินแดนเทพเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด!”
“ท่านแน่ใจ?” อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองเขาขึ้นลง ก่อนจะถามกลับ “ท่านรู้หรือไม่ ก่อนที่จะยับยั้งการรุกรานของดินแดนปีศาจ พวกข้ายังยับยั้งการรุกรานของดินแดนเซียน”
“อะไรนะ!” ซื่อไป๋ตกตะลึง ก่อนจะเข้าใจความหมายของนาง เขาส่ายหัว “เป็นไปไม่ได้! ดินแดนเซียนจะสนใจดินแดนมนุษย์ได้อย่างไรกัน”
“เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้” อวิ๋นเจี่ยวพูดต่อ “ก่อนหน้านี้ ดินแดนเซียนไม่เคยเห็นดินแดนมนุษย์อยู่ในสายตา เห็นชีวิตมนุษย์ดุจดั่งมด อีกทั้งยังใช้วิญญาณนับหมื่นนับพันมาเพาะเลี้ยงเส้นชีพจรสวรรค์อย่างไม่ลังเล การกระทำเช่นนี้ถือเป็นความอยากอันชั่วร้ายหรือไม่”
“…” ซื่อไป๋ตกตะลึงอย่างมาก หากดินแดนปีศาจและเซินยวนก่อเกิดจากเยี่ยยวน ดินแดนเทพและดินแดนเซียนก่อเกิดจากเขา แต่เรื่องการใช้วิญญาณเพาะเลี้ยง…เขาทำหน้าเหลือเชื่อ แต่เมื่อเขาเชื่อมต่อกับหนทางแห่งสวรรค์ เขาก็กระจ่างว่าสิ่งที่นางพูดคือความจริง
สีหน้าของเขาย่ำแย่ลงอย่างมาก แต่ก็ยังคงไม่ยอมเสียหน้า พ่ายแพ้ให้เยี่ยยวนก็แล้วไป เขาไม่ยอมพ่ายแพ้ให้คนต่างดินแดนอย่างแน่นอน “ถึงแม้…สิ่งที่เจ้าพูดจะเป็นเรื่องจริง เผ่าเทพเล่า? เผ่าเทพทุ่มเทใจให้ดินแดนทั้งหก อีกทั้งคุ้มครองความถูกต้องของโลกเสมอมา” มันคือผลงานที่เขาภาคภูมิใจที่สุด
“ได้ พวกเรามาพูดเรื่องของเผ่าเทพ ก่อนหน้านี้ข้าเคยเจอเทพคนหนึ่ง…” นางเล่าเรื่องของจี้เฟิงให้อีกฝ่ายฟังอย่างละเอียด รวมไปถึงเผ่าชิงหลินที่อยู่ในรอยร้าวสามโลก รวมไปถึงเรื่องการฆ่าล้างเมืองอี้ “จี้เฟิงเป็นเทพ ถึงแม้จะมาเพื่อช่วยโลก แต่เขากลับปล่อยให้เนี่ยชางฆ่าล้างเมือง อีกทั้งเกือบจะทำให้เผ่าชิงหลินกลับดินแดนมนุษย์ไม่ได้”
เผ่าเทพไม่ได้ลืมคำมั่นสัญญาของชิงหลิน แต่หากไม่ใช่เพราะนางอาศัยช่องโหว่ของหนทางแห่งสวรรค์ นำพาเผ่าชิงหลินออกมา เวลานี้ดินแดนทับซ้อนสามโลกคงพังทลายไปแล้ว ถึงแม้เผ่าเทพต้องการจะช่วยคน แต่ก็ไม่มีวิธีแล้ว การกระทำของจี้เฟิงถึงจะเป็นอุบัติเหตุ แต่ก็เป็นการตัดทางหนีของเผ่าชิงหลิน นี่คือสาเหตุที่นางไม่ให้ทั้งสองฝ่ายอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่าง หนึ่งคือเกรงว่าจี้เฟิงจะรู้สึกผิดตลอดไป สองคือเกรงว่าเผ่าชิงหลินจะเคียดแค้นเผ่าเทพ
“ตามตรรกะของท่าน การกระทำที่จี้เฟิงทำต่อข้า ต่อเมืองอี้ ต่อชิงหลิน ก็ล้วนถือเป็นความอยากอันชั่วร้ายหรือไม่”
“…”