อวิ๋นเจี่ยวกลืนคำเรียกที่กำลังจะพูดออกมากลับไป นางจำคนตรงหน้าได้ทันที “เทพปีศาจ!”
ถึงแม้จะมีใบหน้าที่เหมือนกัน แต่นางสามารถแยกแยะความแตกต่างของคนทั้งสองในทันที ถึงจะไม่หน้านิ่ง แต่ไม่มีสีหน้าอื่นนอกจากเย็นชาและเขินอาย คนตรงหน้าก็แค่ของปลอมคุณภาพเท่านั้น!
“เทพปีศาจเป็นคำเรียกที่คนอื่นเรียกข้า เจ้าเรียกข้าว่าซื่อไป๋ได้!” เขาไม่ใส่ใจที่ถูกอีกฝ่ายจับได้ เพียงแต่หยุดลงข้างตัวนาง ความอาฆาตภายในดวงตาหายไปจนหมดสิ้น แตกต่างจากท่าทางก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังแสดงออกถึงความ…เมตตาอย่างประหลาด สายตาที่มองนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม
อวิ๋นเจี่ยวผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา “สมองท่านน้ำเข้าหรือ?” ก่อนหลังแตกต่างกันมากเพียงนี้
“…” สีหน้าของซื่อไป๋แข็งไปเล็กน้อย มีความบิดเบี้ยวขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนจะฟื้นกลับมาในท่าทางอ่อนโยน ราวกับไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด “ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าล่วงเกินเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษ วางใจ ข้าไม่มีทางทำร้ายเจ้า”
“…” อวิ๋นเจี่ยวสงสัย
“เอาเถิด เจ้าจะเชื่อข้าเอง” อีกฝ่ายไม่มีทีท่าโกรธเคือง ยกมือเสกคาถาหนึ่งต่อนาง
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกเพียงตัวเบา ร่างกายที่มีอาการเจ็บปวดเล็กน้อยฟื้นกลับไปเป็นสภาพเดิม แม้แต่พลังลมปราณก็ฟื้นคืนกลับมา สีหน้าของนางไม่เปลี่ยนแปลง แต่สายตาที่มองไปยังอีกฝ่ายยิ่งระแวงมากขึ้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่ไม่ใช่เรื่องดีแน่
“ท่านมีความแค้นอะไรกับอาจารย์ปู่”
“อาจารย์ปู่?” เขาผงะไป ก่อนจะเข้าใจว่านางพูดถึงเยี่ยยวน เขาไม่ได้ปิดบังเพียงแต่พยักหน้าพูดขึ้น “ถือว่ามีความแค้น อีกทั้งยังเป็นความแค้นที่แก้ไขไม่ได้มาหลายชาติภพ”
“ดังนั้น…ท่านจะใช้ข้าข่มขู่อาจารย์ปู่?”
“ไม่ใช่” เขาปฏิเสธความคิดนี้ ก่อนจะมองนางด้วยรอยยิ้ม “เจ้าวางใจ หากข้าจะฆ่าเขา ข้าจะลงมือเอง ไม่ต้องใช้กลอุบายข่มขู่เช่นนี้ เพียงแต่พวกข้าสู้กันมานาน จนถึงเวลานี้ยังแยกแพ้ชนะไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้คำสาปใจเดียวที่เขาลงอยู่บนตัวเจ้าถูกข้าทำลาย คงจะถูกพลังสะท้อนกลับ หากลงมือตอนนี้ ข้าคงจะชนะอย่างไร้ความยุติธรรม”
“…” ท่านเป็นคนมีหลักการเพียงนี้?
“ตอนที่เจ้าสลบ ข้าไปดินแดนมนุษย์มาเพื่อทำความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของหนทางแห่งสวรรค์เมื่อหลายปีนี้ พบว่าเหมือนที่อิ้งหลุนพูด เจ้าไม่ใช่คนดินแดนอื่นที่ทำลายกฎเกณฑ์ ดังนั้นข้าคิดได้แล้ว” เขากวาดตามองนาง ก่อนจะอธิบายต่อ “ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า อีกทั้งหากโลกใบนี้วุ่นวาย ดินแดนมืดจะยิ่งได้เปรียบไม่ใช่หรือ”
ดินแดนมืด? อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้ว นางได้ยินคำนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ปีศาจงูก่อนหน้านี้ก็เคยพูดถึงคำนี้เช่นเดียวกัน ตอนแรกนางคิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดหมายถึงคำเรียกเซินยวนในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อครุ่นคิดแล้วเหมือนจะไม่ใช่
“อาวุธคำสาปพวกเจ้าเอาไปแล้ว เมื่อรอเยี่ยยวนฟื้นจากการถูกพลังสะท้อนกลับ อีกไม่นานคงจะตื่นขึ้น ดังนั้นช่วงเวลานี้เจ้าต้องอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว” เขาหันไปมองอวิ๋นเจี่ยว บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนเคย ราวกับรู้สึกผิดต่อนางจริงๆ
ภายในใจอวิ๋นเจี่ยวยิ่งระแวงเขามากขึ้น นางรู้สึกว่าคนตรงหน้ามีบางอย่างที่แปลกประหลาด ถึงแม้จะดูเหมือนมีความจริงใจ แต่นางรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ นางไม่มีอันตรายต่อชีวิตอะไรแล้ว บางทีอาจจะอยู่รอดจนถึงตอนที่อาจารย์ปู่มาช่วย
ดังนั้นนางจึงไม่ได้เปิดโปงอีกฝ่าย เพียงแค่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองไปรอบด้านด้วยใบหน้านิ่งของตน พร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา “ที่นี่ที่ไหน”
ตอนนี้พวกนางอยู่บนทุ่งดอกไม้ที่ไร้จุดสิ้นสุด บริเวณรอบด้านอบอวลไปด้วยหมอกสีม่วง แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากด้านบน ทำให้บริเวณแห่งนี้ราวกับเทพนิยาย เหมือนเปิดภาพเอฟเฟกต์หลายสิบระดับ
นางแยกไม่ออกว่าคือที่ไหน ดูไม่เหมือนสถานที่ในสามโลก ยิ่งไม่เหมือนดินแดนปีศาจหรือเซินยวน
“ที่นี่คืออาณาเขตของข้า” ราวกับรับรู้ถึงความสงสัยของนาง ซื่อไป๋จึงอธิบายขึ้น “เป็นพื้นที่ที่อยู่นอกเหนือจากดินแดนทั้งหก เป็นบริเวณที่ควบคุมโดยข้าอย่างแท้จริง” ไม่มีคนอื่นเข้ามาได้
“ดินแดนทั้งหก?” ไม่ใช่มีเพียงสามดินแดนหรือ นางรู้ว่ามีอาณาเขต เพราะปีศาจงูก่อนหน้านี้เคยพูดถึง นางเดาว่ามันคงจะเป็นมิติที่ใช้พลังของตนเองสร้างขึ้น สามารถควบคุมด้วยตนเองได้ หากผู้ที่มีพลังไม่แข็งแกร่งมากอย่างปีศาจงู อาณาเขตที่สร้างออกมาได้ก็มีเพียงพื้นที่ที่มีอยู่ก่อนแล้ว แต่หากแข็งแกร่งดุจดั่งเทพปีศาจ คงจะสามารถสร้างอาณาเขตออกมาได้เองเลย เมื่อคิดได้ดังนี้ ราวกับว่าสถานที่ที่อาจารย์ปู่หลับใหลก็เป็นอาณาเขตเช่นนี้เหมือนกัน
แต่ดินแดนทั้งหกคืออะไรกัน เหมือนจะเคยได้ยินจี้เฟิงพูดถึง เพียงแต่นางไม่ได้คิดลึกลงไป
“เซียน เทพ ยมโลก มนุษย์ ปีศาจและเซินยวน คือดินแดนทั้งหก” ซื่อไป๋พูด “เซินยวนและดินแดนเทพแตกต่างจากดินแดนอื่นทั้งสี่ ทั่วไปติดต่อยากกับดินแดนอื่น อีกทั้งดินแดนปีศาจถูกผนึก พวกเจ้าจึงรู้เพียงดินแดนทั้งสาม”
เขาหันมามองนาง ก่อนจะนึกบางอย่างได้ จึงพูดเสริมขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าใจร้อนไป เพื่อเป็นการขอโทษ ข้าให้เจ้าขอได้หนึ่งอย่าง ไม่ว่าเรื่องใดข้าล้วนรับปากเจ้า”
อวิ๋นเจี่ยวมองเขาอย่างประหลาดใจ “จริงหรือ”
“แน่นอน!” เขาพยักหน้า “ถึงแม้ข้าจะเป็นปีศาจ แต่ข้าก็เป็นเทพเช่นเดียวกัน พูดคำไหนคำนั้น!”
“ท่านปล่อยข้ากลับไป!”
“…ไม่ได้!”
“เช่นนั้นท่านจะพูดทำไม!” อวิ๋นเจี่ยวกลอกตาขาวสำเร็จเป็นครั้งแรก บอกว่าอะไรก็ได้ หลอกใครกัน!
“…” ซื่อไป๋มุมปากกระตุกเล็กน้อย หญิงสาวตรงหน้าเหมือนจะหลอกยาก เขากระแอมไอครั้งหนึ่ง “แค่ก นอกจากเรื่องนี้ เจ้าอยากไปที่ใดก็ได้ทั้งสิ้น”
“ไม่ต้อง”
“อย่าพูดเด็ดขาดเช่นนี้ สถานที่น่าสนุกในโลกมีมากมาย ไม่แน่ว่าเจ้าอาจมีที่ที่อยากไป! ตามข้ามา…” พูดจบ เขาไม่รออีกฝ่ายตอบรับ ยื่นมือออกมาดึงนางเอาไว้ นาทีถัดมาแสงสีขาวสว่างขึ้น ก่อนที่คนทั้งสองจะออกจากอาณาเขตไป
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกเพียงตาลาย นาทีถัดมาก็มายืนอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังเซียน ดูเหมือนจะเป็นสถานที่แห่งหนึ่งในโลกเซียน พวกเขากำลังยืนอยู่บนภูเขาแห่งหนึ่ง ตรงหน้าเป็นทะเลหมอกที่ไร้จุดสิ้นสุด
นางยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพาตนเองมาที่นี่ด้วยเหตุใด แต่กลับได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้น “มาแล้ว!”
“อืม?” นางผงะไป ก่อนจะได้ยินเสียงบางอย่างลอยออกมาจากท่ามกลางชั้นเมฆ ชั้นเมฆตรงหน้าซัดไปด้านหน้า ร่างกึ่งโปร่งใสขนาดใหญ่มุดออกมาจากตรงกลาง กระโดดพุ่งตัวขึ้นบนท้องฟ้า สิ่งนั้นมีขนาดใหญ่มาก ลักษณะคล้ายกับปลาวาฬ เพียงแต่รอบตัวมีปีกขนาดใหญ่ราวกับปีกของแมลง ปีกของมันเมื่อกระทบเข้ากับแสงอาทิตย์จะประกายแสงเจ็ดสี อีกทั้งยังไม่ได้มีเพียงตัวเดียว เห็นเพียงปลาใหญ่ตัวแล้วตัวเล่ามุดออกมาจากชั้นเมฆ ก่อนจะจมหายกลับไป
ท่ามกลางทะเลหมอกนั้นมีลำน้ำที่ก่อเกิดจากเมฆพ่นออกมาพุ่งทะยานขึ้นฟ้า นาทีถัดมา เห็นเพียงบนท้องฟ้าปรากฏแสงเจ็ดสีบริเวณกว้าง ก่อนจะร่วงหล่นลงมาราวกับสายรุ้ง จมหายเข้าไปในชั้นเมฆ ราวกับมีคนกำลังสาดสีต่างๆ อยู่ด้านบน