สงครามในครั้งนี้ดำเนินไปกว่าสามวันสามคืนกองทัพปีศาจจำนวนมากล่าถอยไปในที่สุด ปีศาจส่วนใหญ่ล้วนตายอยู่ภายใต้ค่ายกลอีกทั้งมีส่วนน้อยที่หนีกลับดินแดนปีศาจไป
ทั้งสามโลกได้รับชัยชนะจากสงครามครั้งนี้อย่างน่าเหลือเชื่อ ถึงแม้ต้องแลกกับความเสียหายไปบ้าง หากยังไม่นับรวมผู้คนของแต่ละโลก เพียงแค่ผู้ฝึกฝนวิญญาณในเขตหมิ่นเฟินมีทั้งตายทั้งบาดเจ็บกว่าร้อยละแปดสิบ
เขตหมิ่นเฟินเฝ้ารักษาประตูดินแดนปีศาจเสมอมา มีความคุ้นเคยกับดินแดนปีศาจอย่างเป็นที่สุด ดังนั้นในสงครามครั้งนี้ พวกเขาจึงเป็นกำลังสำคัญ
ยมทูตของแต่ละเมืองผีได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นเดียวกัน แต่จำนวนที่เสียสละชีวิตมากที่สุดก็ยังคงเป็นเสวียนเหมิน ครานี้เสวียนเหมินแทบจะยกมาทั้งหมดเหล่าเจ้าสำนักและท่านอาวุโสที่มีกำลังมากล้วนอยู่แนวหน้าจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์ที่มีกำลังน้อยถึงแม้จะจัดตำแหน่งที่ค่อนข้างปลอดภัยให้พวกเขาแล้ว แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้
ส่วนดินแดนมารเนื่องจากมีข้อได้เปรียบทางรูปร่าง ดังนั้นพวกเขาจึงรับผิดชอบในการไล่ล่าปีศาจที่ร้ายกาจ ไม่ต้องพูดถึงมารตนอื่นแม้แต่ราชามารก็ยังได้รับบาดเจ็บ
ดินแดนสวรรค์ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดในสามโลกไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่พยายาม แต่เพราะว่าพวกเขาไม่พร้อมใจกันนอกจากเหล่าอาจารย์อาหยวนที่เป็นเซียนภายใต้บูรพาสวรรค์แล้ว คนอื่นล้วนเป็นเหมือนดั่งเม็ดทรายที่กระจัดกระจาย
อาจเป็นเพราะภาพพจน์ของเผ่าเซียนค่อนข้างแค่ โลกอื่นจึงไม่ได้ตั้งความหวังอะไรบนตัวของพวกเขา ดังนั้นจึงไม่มีคนพูดอะไรเพียงแต่ความรู้สึกดีที่มีต่อพวกเขาตกลงสู่ก้นเหวมีเพียงเหล่าเซียนที่ตกตะลึงกันเอง
นอกจากคนส่วนน้อยที่รู้ความจริงแล้ว เซียนส่วนใหญ่ล้วนไม่รู้ความสามารถของแต่ละโลกอย่าว่าแต่เผ่ามารหรือยมโลก เพียงแค่ความสามารถของโลกมนุษย์ก็ทำให้คนตกตะลึงความสามารถของพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ในความทรงจำความสามารถนั้นพัฒนาเกินกว่าดินแดนสวรรค์เสียอีก อีกทั้งไม่ใช่เพียงแค่คนสองคน แต่คนส่วนใหญ่ล้วนมีความสามารถเหนือกว่าพวกเขา
เดิมทีคิดว่าสามโลกร่วมมือผู้ออกแรงหลักต้องเป็นดินแดนสวรรค์อย่างแน่นอน แต่ไม่คิดว่ากำลังหลักจะเป็นเสวียนเหมิน เมื่อนึกย้อนไปไม่ว่าจะเป็นการวางแผนก่อนการสงคราม หรือการจัดเตรียมเสบียงล้วนเป็นฝีมือของพวกเขา ดินแดนสวรรค์กลายเป็นแค่ตัวประกอบอีกทั้งยังเทียบไม่ได้แม้แต่ยมโลกที่มีจำนวนคนน้อยที่สุด
วิกฤตการรุกรานของเผ่าปีศาจสิ้นสุดลง เมื่อนึกย้อยไปเหล่าเซียนล้วนมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ไม่มีใครเผยสีหน้าหยิ่งผยองออกมาอีก
ถือโอกาสเผ่าปีศาจล่าถอยไป อวิ๋นเจี่ยวและท่านอาวุโสด้านค่ายกลหลายคนรวมทั้งอาจารย์อาหยวน ร่วมมือกันวางค่ายกลผนึกบริเวณ “แสงแห่งเทพ” ค่ายกลนี้เป็นผลวิจัยจากสำนักเทียนซือเมื่อหลายปีมานี้ เดิมทีใช้เพื่อปกป้องดินแดนมนุษย์ แต่หลังจากได้รับการปรับแก้จากอวิ๋นเจี่ยวหลายครั้งพวกเขาก็ตัดสินใจใช้ที่นี่ก่อน
ถึงแม้ประสิทธิภาพจะไม่เท่ากับแสงแห่งเทพไม่อาจต้านปีศาจทั้งหมดเอาไว้ได้ หากมีปีศาจที่แข็งแกร่งดั่งปีศาจเลือดนั้น ค่ายกลนี้ตงต้ายไม่อยู่แต่หากผนึกเผ่าปีศาจไว้ชั่วคราวก็ยังเพียงพอ เพียงแต่ว่าต่อจากนี้คงต้องให้ยมโลกเฝ้ารักษาอยู่ที่นี่ตลอดแล้ว
เนื่องจากผู้บาดเจ็บมีจำนวนมากหลังจากอวิ๋นเจี่ยววางค่ายกลเสร็จ เธอก็เดินทางกลับสำนักเทียนซือล่วงหน้า ส่วนเจ้าสำนักสวียังคงอยู่ในยมโลกอีกหนึ่งวันเพื่อเตรียมการสำหรับหลังสงครามเหล่าท่านอาวุโสและลูกศิษย์จึงไม่ได้กลับมาด้วย เพียงแต่ส่งวิญญาณของลูกศิษย์ที่สละชีพเข้าเมืองผีด้วยตนเอง ก่อนจะนำลูกศิษย์ที่รอดชีวิตถอยออกยมโลกดินแดนมารและดินแดนสวรรค์ก็เช่นกัน
แทบจะเป็นชั่วขณะที่ทุกคนกลับเข้าโลกมนุษย์ แสงสว่างกว้างใหญ่แผ่ลงมาจากบนฟ้าส่องสว่างไปทั่วทั้งสำนักเทียนซือแสงสีทองแผ่ขยายออกไปหลายลี้ปกคลุมผู้คนที่กลับมาจากยมโลกไว้ด้านในเสียงสวรรค์ที่ห่างไกลดังขึ้นจากบนท้องฟ้า แผ่นฟ้าราวกับถูกบางอย่างเปิดออกต้นหญ้าในสำนักเทียนซือเติบโตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ดอกไม้หลากสีผลิบานออกในทันที
ผู้คนที่ผ่านสงครามภายในความมืดมาหลายวันหรี่ตาลงทันทีเมื่อเห็นแสงสีทองตรงหน้าบางคนถึงขั้นปิดตาเอาไว้
นี่คือ…อะไรกัน
ทุกคนล้วนผงะ ข้างหูมีเสียงที่กำลังเร่งเร้าให้พวกเขาขึ้นสวรรค์
“นี่คือ…แสงสวรรค์ชักนำ!” ชายแก่ที่เห็นมาหลายรอบพูดออกมา แสงเหล่านี้เหมือนกับแสงที่มารับอวิ๋นเจี่ยวในตอนนั้น
เพียงแต่…เหตุใดจึงมีมากมายเช่นนี้ราวกับคนที่กลับมาจากยมโลกล้วนถูกแสงแห่งการชักนำนี้ปกคลุมเอาไว้ แม้แต่เผ่ามารก็ไม่เว้น
ราชามารและเผ่ามารด้านหลังล้วนตกตะลึงมารเสือที่ได้รับบาดเจ็บพูดขึ้น “ท่านอ๋อง…เหมือนว่ามีคนกำลังเรียกข้าให้บรรลุเป็นเซียน?”
ทันทีที่พูดจบมารตัวอื่นต่างพยักหน้า “ข้า…ข้าก็ด้วย!”
“ข้าด้วย!”
“ข้าก็ได้ยิน”
“นี่เสียงอะไรกัน”
“เป็นเซียนได้จริงหรือ”
“…”
เหล่ามารที่เหน็ดเหนื่อยอย่างมากในเดิมทีกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในทันที บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเป้าหมายในการฝึกฝนของมารแต่ละตัวล้วนคือการบรรลุเป็นเทพถึงแม้คนในดินแดนสวรรค์จะไม่ได้วิเศษอะไรมาก แต่แค่มีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวก็เพียงพอที่จะทำให้คนฝันใฝ่แล้วถึงแม้เซียนจะไม่ได้ไร้เทียมทาน อีกทั้งสุดท้ายก็ต้องเข้าสู่วงจรการเวียนว่ายตายเกิด แต่หากตนเองไม่หาที่ตาย การมีชีวิตอยู่หลายหมื่นปีก็ไม่เป็นปัญหา!
ราชามารก็ผงะไป เพราะเขาก้ได้ยินเสียงนั้นเช่นเดียวกัน เขาแยกไม่ออกว่ามันคือเสียงของอะไรแต่เขารู้สึกได้ว่าหากเขารับปากจะสามารบรรลุเป็นเซียนได้ทันที ความมั่นใจนี้ประหลาดอย่างยิ่งราวกับเป็นเรื่องธรรมชาติแม้แต่เขายังอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
เนื่องจากเพิ่งโจมตีเผ่าปีศาจที่โหดเหี้ยมให้ล่าถอยไป เขาไม่อาจไว้วางใจได้ดังนั้นจึงหันไปมองอวิ๋นเจี่ยวที่มาต้อนรับผู้คนจตรงหน้า เขาถามขึ้น ”อาจารย์อวิ๋น...นี่ เรื่องจริงหรือ”
อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้ามองแสงสวรรค์ที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดนั้น ทำไมเธอรู้สึกว่าตั้งแต่ครั้งก่อนที่ตนเองหลอกลวงหนทางแห่งสวรรค์แล้ว อีกฝ่ายราวกับจดจำเธอได้เหมือนจะเริ่มก่อเรื่องขึ้น
เพียงแต่แสงสวรรค์ชักนำนี้เป็นของจริง ดังนั้นเธอจึงพยักหน้า “ใช่ นี่คือแสงสวรรค์แห่งการชักนำ เพียงแค่ขึ้นไปก็สามารถละทิ้งร่างมนุษย์ ก่อเกิดกระดูกเซียนกลายเป็นเซียนที่แท้จริง”
ทันทีที่เธอพูดจบทุกคนในเหตุการณ์ต่างตาลุกวาว ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความดีใจ พวกเขาเป็นเซียนได้!
อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิด ก่อนจะพูดเสริม “ทุกคนหยุดยั้งการรุกรานของเผ่าปีศาจ เปรียบดั่งมีคุณงามความดีในการช่วยโลก หนทางแห่งสวรรค์ตอนแทนทุกท่านด้วยคุณงามความดี มีคุณงามความดีนั้นจึงสามารถแลกโอกาสการบรรลุเป็นเทพกับหนทางแห่งสวรรค์ได้นี่คือกฎแห่งฟ้าดิน” อีกทั้งเป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้
เพียงแต่เธอไม่คิดว่าหนทางแห่งสวรรค์ที่ขี้งกจะใจปล้ำขึ้นมา แสงสวรรค์แห่งการชักนำแจกจ่ายให้กับผู้คนที่หยุดยั้งการรุกรานของดินแดนปีศาจซึ่งหมายความว่าทุกคนในที่นี้ล้วนบรรลุเป็นเทพได้!