อวิ๋นเจี่ยวทิ้งยันต์ขนส่งไว้บนตัวจี้เฟิงตั้งแต่แรก จุดประสงค์ก็เพื่อดึงเทพคนนี้ข้ามมาในเวลาคับขัน แต่จี้เฟิงไม่คิดว่าจะได้เจอปีศาจเลือด ปีศาจเลือดเป็นปีศาจที่ยากต่อการรับมือที่สุดในเผ่าปีศาจมีนิสัยกระหายเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีศาจเลือดมันดื่มเลือดเป็นอาหารสามารถใช้เลือดในการควบคุมจิตใจทำให้คนอื่นไกลเป็นหุ่นเชิดของตัวเองมีความสามารถแข็งแกร่ง ดูจากสถานการณ์ตอนนี้กองทัพปีศาจกลายเป็นกองทัพหุ่นเชิดของเขาไปแล้ว
จี้เฟิงต้องใช้ความตั้งใจอย่างเป็นที่สุดในการรับมือ เขามองไปยังปีศาจเลือดที่อยู่ตรงข้ามด้วยความระแวง
“ฮึ แม้แต่เทพก็มา!” ปีศาจเลือดพูดเสียงเย็น เปลี่ยนท่าทีขี้เกียจก่อนหน้านี้ เขากวาดตามองจี้เฟิงขึ้นลง
“เผ่าเทพทำตัวสูงส่งไม่เคยแทรกแซงเรื่องของสามโลกไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงเปลี่ยนกฎแล้ว”
“เผ่าปีศาจใจปั่นป่วนสามโลก ทำลายสิ่งมีชีวิตดินแดนเทพของข้ามั้ยอาจอยู่นิ่งเฉยได้” จี้เฟิงตอบ
สีหน้าของปีศาจเลือดยิ่งเผยความดูถูก “พูดได้ไพเราะ เจ้าคิดว่าทั้งหกโลกอยู่ภายในการควบคุมของพวกเจ้าหรือ เดิมทีข้าไม่ได้สนใจต่อสามโลกมากเพียงแต่เมื่อได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็อยากลองปั่นป่วนดู”
พูดจบเขาก็เสกพลังเลือดพุ่งตรงมาทางอีกฝ่าย จี้เฟิงไม่รีรอเขาถือดาบพุ่งเข้าไปทันใดนั้นทั้งสองคนปะทะกันขึ้นมน
ทั้งสองคนว่างขึ้นมา ชายแก่มองไปยังคนข้างตัวด้วยความเคยชิน “เจ้าหนู ตอนนี้พวกเราทำอย่างไร เข้าไปช่วยหรือไม่” ถึงแม้ก่อนหน้าจี้เฟิงไม่ได้ทำเรื่องดีอะไร แต่อย่างน้อยตอนนี้อยู่ฝั่งพวกเขา
อวิ๋นเจี่ยวมองดูทั้งสองคนที่กำลังปะทันกัน ก่อนจะลงไปยังทะเลเลือดที่มีปีศาจหลั่งไหลออกมาอย่างมากมาย คิ้วของเธอขมวดมุ่น “ทำลายค่ายกลก่อน!” ไม่อาจให้ทะเลเลือดนี่มีอยู่ต่อไปได้มิเช่นนั้นไม่ว่าคนของสามโลกจะมีมากแค่ไหนก็ไม่อาจกำจัดปีศาจที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุดนี้ได้
ปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากทะเลเลือดนี้เห็นได้ชัดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับค่ายกลตรงหน้ามีเพียงทำลายค่ายกลถึงจะหยุดยั้งการเพิ่มขึ้นของกองทัพปีศาจได้
ชายแก่ไม่มีความเห็นอันใดทั้งสองคนใช้ยันต์ตัวเบา อ้อมหนึ่งเทพหนึ่งปีศาจที่กำลังปะทะกันมุ่งตรงไปยังด้านบนของทะเลเลือดก่อนจะพินิจค่ายกลนั้นขึ้นมา
เพียงแต่ค่ายกลนี้มีขนาดใหญ่มันกินพื้นที่ทั่วทั้งทะเล พวกเธอจึงทำได้เพียงบินให้สูงเพื่อมองเห็นภาพรวมของค่ายกลทางปีศาจเลือดพบการกระทำของทั้งสองคนแต่อาจเป็นเพราะมีความมั่นใจในค่ายกลของตัวเองทำให้เขาไม่ได้หันมายับยั้งทั้งสองคนในเวลาแรกเพียงแต่จู่โจมจี้เฟิงอย่างหนักหน่วงขึ้น
“เจ้าหนู จะทำได้หรือไม่” ชายแก่มีความกังวลเล็กน้อย อย่างไรก็ตามมันเป็นค่ายกลของเผ่าปีศาจ พวกเขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เจ้าหนูถึงจะเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่ได้รู้ทุกอย่าง
“ข้าก็ไม่รู้” อวิ๋นเจี่ยวก็เป็นกังวล เมื่อพบว่าบินสูงพอแล้วเธอจึงก้มหน้าลงไปดูข้างล่างพลางดูพลางพูด
“ค่ายกลของเผ่าเทพก่อนหน้านี้ก็แตกต่างจากสามโลกคิดว่าของเผ่าปีศาจก็คง…”
เธอพูดไปครึ่งหนึ่งก็หยุดชะงักลง ดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อยเหตุใดจึง…
“เป็นอย่างไร เจ้าหนู?” เมื่อเห็นเธอไม่ขยับชายแก่ก็ถามขึ้น
อวิ๋นเจี่ยวสีหน้าไม่เปลี่ยน ยังคงเป็นใบหน้าเคร่งขรึมเหมือนเคย เพียงแต่ในดวงตาฉายแววอะไรบางอย่างสักพักเธอลดตัวลงไปในตำแหน่งหนึ่ง “ลงไปก่อน”
ชายแก่จึงทำได้เพียงตามเธอไป จี้เฟิงและปีศาจเลือดด้านล่าง ปะทะกันอย่างดุเดือดถึงแม้พวกเธอจะระวังอย่างมากแล้วแต่ก็ไม่อาจหลบหลีกแรงกระแทกได้ ชายแก่ทำได้เพียงติดยันต์ป้องกันไว้บนตัว
“ไปที่ก้อนหินทั้งนั้น” อวิ๋นเจี่ยวชี้ไปยังด้านขวาบริเวณนั้นอยู่ในขอบข่ายกันปะทะของจี้เฟิงและปีศาจเลือดพอดี ทั้งสองคนเดินออมรอบใหญ่กว่าจะมาถึงบริเวณก้อนหินนั้น อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ลังเลเธอหยิบยันต์พังทลายค่ายกลออกมาแปะเข้าไปบนก้อนหิน
ปีศาจเลือดพบเห็นทั้งสองคนในเวลาแรกแต่ไม่ได้มีท่าทีเข้ามาห้ามปราม เมื่อเห็นอวิ๋นเจี่ยวหยิบยันต์พังทลายค่ายกลออกมา เขาก็ขึ้น “ฮึ! มนุษย์ธรรมดาสองคนก็ยังคิดจะทำลายค่ายกลเลือดของข้า ช่างกล้า…”
โครม!
เขายังพูดไม่ทันจบได้ยินแต่เพียงเสียงดังกึกก้องขึ้นมา ค่ายกลที่ครอบคลุมทะเลเลือดอย่างแน่นหนานั้นเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงแสงค่ายกลหนึ่งในสามทางด้านขวาดับลงไปแม้แต่ทะเลเลือดด้านล่างก็สลายหายไปกว่าครึ่ง ปีศาจที่หลั่งไหลออกมาจากด้านในลดน้อยลงอีกทั้งบนไข่กลปรากฏรอยร้าวขึ้นมา ทั้งมีแนวโน้มที่จะแผ่ขยายไปทั่วค่ายกลเลือด
“เป็นไปได้อย่างไร!” ไม่เพียงแต่ปีศาจเลือดแม้แต่จี้เฟิงกับเขาก็ตกตะลึงตัวเขาเองก็เชี่ยวชาญด้านค่ายกล แต่เขาก็ไม่มีวิธีในการพังทลายค่ายกลของปีศาจเลือด แต่ว่า…เหตุใดอวิ๋นเจี่ยวทำได้?! ทั้งที่เป็นแค่กึ่งเทพเท่านั้น
“ยังมีค่ายกลอีกสองแห่ง ไปทางซ้ายก่อน” อวิ๋นเจี่ยววางใจ เธอชี้ไปยังต้นไม้เหี่ยวเฉาบริเวณไม่ไกลนัก อันที่จริงเธอเองก็ประหลาดใจไม่คิดว่าค่ายกลของปีศาจนี้จะ…ง่านดายเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบค่ายกลหรือยันต์อักขระค่ายกล หรือทิศทางการหมุนเวียนของค่ายกลจากใช้พลังปีศาจในการดำเนินแล้ว ไม่มีความแตกต่างจากค่ายกลธรรมดาแม้แต่น้อยเพียงแค่ทับซ้อนหลายสิบชั้นเท่านั้น ไม่มีความแตกต่างจากวิธีการวางค่ายกลของอาจารย์ปู่แม้แต่นิดเดียว
ตอนแรกเธอยังคิดว่าเป็นการปลอมแปลงของอีกฝ่าย เพราะค่ายกลแสงแห่งเทพนั้นเธอดูไม่เข้าใจแม้แต่น้อยดังนั้นเธอจึงเลือกตาของค่ายกลแห่งหนึ่งเพื่อเป็นการทดลองไม่คิดว่าจะได้ผลเมื่อเป็นเช่นนี้การพังทลายค่ายกลจึงเป็นเรื่องง่ายขึ้นมา
พวกเธอมุ่งหน้าไปยังค่ายกลแห่งถัดไป ปีศาจเลือดบนท้องฟ้าดึงสติกลับมาได้เขาผลักจี้เฟิงที่ขวางอยู่ด้านหน้าออกก่อนจะหันกลับไปหาพวกเขาทั้งสองคน “อย่าหวัง!”
เขาง้างมือขึ้นทันใดนั้นพลังก่อตัวเป็นหมอกเลือดพุ่งตรงไปยังด้านล่าง ชายแก่โยนยันต์วิเศษเข้าไป เสียงระเบิดดังขึ้นยับยั้งหมอกเลือดไว้ได้ชั่วคราว ในขณะที่กำลังจะหลบหลีกไปด้านข้างนาทีถัดมาพวกเธอกับรู้สึกร่างกายหนักอึ้งพลังอำนาจมหาศาลกำลังร่วงทับลงมายังคนทั้งสอง
ครั้งนี้เป็นพลังอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ชายแก่เคยพบเจอ เพียงชั่วขณะร่างของเขาก็คุกเข่าลงไป ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นราวกับทั้งร่างกายถูกบดละเอียด อย่าว่าแต่หลบหนีแม้แต่อวัยวะภายในก็มีแนวโน้มจะระเบิดเขาอ้าปากกระอักเลือดออกมา
เมื่อเขาหยุดลงหมอกสีเลือดด้านบนก็หล่นลงมาในขณะที่กำลังจะกลืนกินคนทั้งสองโชคดีที่ยันต์ป้องกันของชายแก่สมฤทธิผลขึ้นมามันกลายเป็นเกราะป้องกันชั้นบางต้านหมอกเลือดนั้นเอาไว้
จี้เฟิงเองก็พุ่งเข้ามาพลังเทพสีฟ้ากวาดผ่านสลายหมอกสีเลือดรอบด้าน ก่อนจะปะทะเข้ากับปีศาจเลือดอีกครั้ง
“ชายแก่! เป็นอะไรหรือไม่” อวิ๋นเจี่ยวดึงคนขึ้นมาก่อนจะหยิบยันต์สีทองแปะไว้บนตัวเขา
แรงกดทับบนตัวชองชายแก่จึงลดลงเล็กนอ้ย “พะ…พลังน่ากลัวเหลือเกิน! ปีศาจเลือดนี้แข็งแกร่งไปหน่อยหรือไม่!” เกือบจะถูกทับตาย เขาหอบหายใจอย่างหนักก่อนจะหันไปมองอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้าง
“เอ๊ะ? เจ้าหนู เจ้าไม่เป็นไรหรือ”
อวิ๋นเจี่ยวผงะ เมื่อกี้เธอราวกับ…ไม่รู้สึกถึงพลังอะไร