เขตหมิ่นเฟิน
ลำแสงสีมองหลายสิบแท่นที่ผนึกดินแดนปีศาจดับลงไปอย่างช้าๆ ราวกับเปลวไฟบนแท่นเทียนที่กำลังจะมอดดับไป แม้แต่บนค่ายกลที่ทับซ้อนกันนั้นก็ปรากฏรอยร้าวอย่างเห็นได้ชัดอีกทั้งยังแผ่ขยายไปทั่วลำแสง เพียงแค่ชั่วพริบตารอยร้าวนั้นกระจายไปทั่วราวกับกระจกที่แตกละเอียด
ในที่สุดเสียงแตกดังก้องไปทั่วเขตหมิ่นเฟิน ลำแสงที่อยู่ตรงกลางแหลกสลายเป็นดวงแสงขนาดเล็กภายในความมืด
“มาแล้ว!” หลงฉางพูดเตือนเสียงเบาถึงแม้เสียงจะไม่ดังมากแต่กลับฟังชัดภายในเมืองผีที่เงียบสงบนี้ ทันใดนั้นหัวใจของทุกคนถูกดึงขึ้นมา
นาทีถัดมารอยร้าวของดินแดนปีศาจถูกเปิดออก พลังปีศาจหลั่งไหลออกมาจากด้านใน พลังสีดำสนิทนั้นบดเบียดออกมาจากรอยร้าวราวกับของเหลวที่เหนียวเหนอะหนะ ใบหน้าแปลกประหลาดและน่ากลัวปรากฏอยู่ด้านบน เสียงร้องแหลมคมแสบหูดังกึกก้องอยู่ภายในหูของทุกคนไม่มีใครรู้ว่าเป็นเสียงอะไร รู้เพียงแต่น่ากลัวอย่างยิ่ง ทำให้ภายในใจเกิดความหวาดกลัวอย่างไม่รู้ตัว
“ตั้งสติอย่าถูกเสียงปีศาจรบกวน!” เจ้าสำนักสวีเตือนเสียงดัง เหล่าลูกศิษย์เสวียนเหมินถึงได้ตั้งสติกลับมา ก่อนจะท่องคาถาสงบจิตใจ ต่อต้านเสียงปีศาจเหล่านั้น
พลังปีศาจบริเวณรอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ถึงสักพักก็ร่วมเป็นก้อนขนาดใหญ่หลงฉางหันไปมองยังผู้คนในดินแดนสวรรค์ด้านข้าง “ศิษย์น้องสอง รอยร้าวนี้ฝากพวกเจ้าด้วย” หลงฉางเฝ้าดูแลเขตหมิ่นเฟินมานาน เขาเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับเผ่าปีศาจที่สุด ดังนั้นการรุกรานของดินแดนปีศาจในครานี้เขาเป็นผู้สั่งการ
หยวนเจียงพยักหน้าก่อนจะนำผู้คนในดินแดนสวรรค์พุ่งตัวเข้าไป ในเวลานั้นทุกทิศทั่วทางเต็มไปด้วยแสงของวิชาเวทต่างๆ หยวนเจียงนำทัพเซียนหลายร้อยคนปิดกั้นพลังปีศาจที่หลั่งไหลออกมาเหล่านั้น อีกทั้งควบคุมเผ่าปีศาจที่วิ่งออกมาให้อยู่ห่างจากบริเวณรอยร้าวหลายร้อยเมตร
แต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น ลำแสงผนึกด้านซ้ายแหลกสลายออกเนื่องจากถึงขีดจำกัดบนผนึกมีรอยร้าวปรากฏขึ้นอีกครั้ง หลงฉางโบกมือให้กับผู้ฝึกฝนทางวิญญาณด้านหลัง
เถิงสีนำทัพสหายในเขตหมิ่นเฟินพุ่งตรงไปยังรอยร้าวทางด้านซ้าย ก่อนจะเริ่มจู่โจมเหล่าาปีศาจที่เบียดตัวออกมาจากรอยร้าวนั้น
ถึงแม้เผ่าปีศาจจะแข็งแกร่งแต่ผนึกยังไม่ได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น ถึงแม้จะมีรอยร้าวสองแห่งแต่หากคิดจะรุกรานออกมาก็ยังคงได้รับผลกระทบจากค่ายกลทั้งสองฝั่งล้วนมีกว่าร้อยคนการรับมือจึงไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อด้านในออกมาหนึ่งตัวพวกเขาก็ร่วมมือกันกำจัดทิ้งไปหนึ่งตัว
แต่เมื่อลำแสงแตกสลายยิ่งมากเท่าใดรอยร้าวบนผนึกยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น เผ่าปีศาจที่รุกรานเข้ามาได้อย่างง่ายดายมากขึ้น หลงฉางแบ่งคนออกมาร้อยคนหนึ่งขบวนวิธีการโจมตีรายตัวไม่อาจใช้การได้แล้ว
จนกระทั่งรอยร้าวบนผนึกเพิ่มเป็นสิบแห่ง หลงฉางถึงนึกสิ่งที่ศิษย์หลานมอบให้เขาก่อนหน้านี้ รายงานการวิเคราะห์ผนึกและขั้นตอนการพังทลายของค่ายกลที่อีกฝ่ายบังคับให้เขาอ่านจนจบจากนั้นเขาจึงยกกระจกพันลี้บนมือขึ้นพร้อมกับส่งเสียงไปให้ทุกคน
“พอแล้ว ทั้งหมดกลับมา!”
ทันทีที่พูดจบผู้คนที่กำลังกำจัดเผ่าปีศาจอย่างสุดความสามารถละทิ้งการต่อสู้ในทันที พวกเขาบินกลับมายังทิศทางเดิมถึงแม้จะมีคนที่ถอยออกมาไม่ทันก็รีบใช้ยันต์ขนส่งส่งตัวกลับมา
ในชั่วขณะที่ทุกคนถอยทัพกลับมานั้น บนผนึกที่อยู่ห่างออกไป ลำแสงที่หลงเหลืออยู่ก็แตกละเอียดออก พร้อมกับสลายหายไปในพลังปีศาจ
เวลานี้ค่ายกลที่ผนึกดินแดนปีศาจมาหลายหมื่นปีพังทลายจนหมดสิ้น เห็นเพียงแต่ท้องฟ้าดินที่มืดมนนั้นเกิดการสั่นสะเทือนราวกับน้ำตกที่ถูกลมพัดผ่านนาทีถัดมามีบางอย่างที่บดบังสลายไปทิวทัศน์ระยะไกลหมุนเวียนเปลี่ยนผัน สิ่งที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนเป็นสิ่งแรกคือแสงสีแดงแสบตา มันคือดินแดนสีเลือดที่แตกต่างจากทั้งสามโลก ไม่ว่าจะบนฟ้าหรือบนดิน ล้วนเต็มไปด้วยสีแดงสิ่งที่แยกไม่ออกว่าเป็นลาวาหรือทะเลเลือดกำลังเคลื่อนไหวเมื่อกวาดตามองไปยังสามารถมองเห็นภูเขาที่ตั้งตระหง่าน
นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้วยังมีความมืดมิดที่กำลังพุ่งตรงมาทางนี้ราวกับทันใดนั้นมีผ้าปูพื้นสีดำแผ่ขยายออกมา ส่วนภายในความมืดนั้นคือสิ่งที่มีลักษณะน่ากลัวโผล่ออกมาจากด้านในพวกมันมีรูปร่างขนาดใหญ่ แต่ละตัวล้วนสูงราวภูผาอีกทั้งมีลักษณะแปลกประหลาด เสียงโห่ร้องแหลมแสบแก้วหูพวกมันก่อตัวเป็นกลุ่มพุ่งตรงมาทางนี้
เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ไม่ว่า คน ผี หรือว่ามาร เซียนล้วนใจสั่นระรัว นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของเผ่าปีศาจหรือ นอกจากรูปลักษณ์ที่น่ากลัว เสียงโห่ร้องและพลังเหล่านั้นให้ความรู้สึกราวกับกำลังจะถูกรังสีสังหารกลืนกิน แม้แต่ก้นบึ้งหัวใจยังปรากฏอารมณ์ด้านลบออกมาอย่างห้ามไม่ได้
โหดเหี้ยม อาฆาต กระหายเลือด บ้าคลั่ง…อีกทั้งอยากสะบัดดายอยางไม่สนใจอันใด หากไม่ได้กินยาสงบจิตที่เสวียนเหมินแจกจ่ายก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นผ่ามารหรือเซียนล้วนต้องตกอยู่ภายในอารมณ์เดือดดาลเหล่านี้ทุกคนยิ่งระวังตัวขึ้นมา
กองทัพปีศาจนับไม่ถ้วนกำลังถาโถมเข้ามาทางนี้ ความมืดมิดปกคลุมท้องฟ้าแต่คนทางนี้กลับไม่ขยับตัวแม้แต่น้อยพวกเขากำอาวุธในมือแน่นเตรียมพร้อมการสู้รบอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าใกล้มากขึ้นทั้งสองฝั่งกำลังจะปะทะกันหลงฉางจึงหันไปหาอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านหลัง “ศิษย์หลาน!”
อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้าเธอหันไปมองท่านอาวุโสสิบกว่าคนในห้องค่ายกล “เปิดค่ายกล!” จากนั้นพวกเขาลงมือพร้อมกับถ่ายทอดพลังลมปราณเข้าไปในค่ายกล
ทันใดนั้นทั่วทั้งเขตหมิ่นเฟินส่องสว่างขึ้น ทำให้ดินแดนที่มืดมนอยู่ตลอดเวลาแห่งนี้สว่างไสวราวกับกลางวันเห็นเพียงแต่พื้นดินบริเวณด้านหน้า ใต้เท้าของกองทัพปีศาจส่องสว่างค่ายกลทำลายล้างขนาดใหญ่ขึ้นเรียงรายเป็นแถว แสงสีทองประกายขึ้นเป็นกำแพงแสงขนาดหนากลืนกินเผ่าปีศาจที่วิ่งอยู่ด้านหน้าไป อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตอบสนองก็หายไปในแสงสีทอง
มีปีศาจที่มีกำลังแข็งแกร่งทะลุออกมาจากค่ายกลทำลายล้างได้ก็ถูกคนแห่งสามโลกที่รออยู่ด้านข้างกำจัดไป ค่ายกลทำลายล้างแต่ละแถวก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดต้านทานเผ่าปีศาจนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านหลัง
…
“ที่แท้ค่ายกลทำลายล้างยังใช้ประโยชน์แบบนี้ได้?” หลังเขาชิงหยาง อิ้งหลุนนั่งดูสถานการณ์ภายในกระจกธาราด้วยท่าทางสบาย ก่อนจะอดอุทานออกมาไม่ได้ “สมกับเป็นศิษย์ตัวน้อย!” พูดจบเขาก็เหลือบมองไปยังเจดีย์สูงที่อยู่ล่างเขา ดวงตาของเขาหรี่ลงก่อนจะหันไปมองวิญญาณมังกรที่แสร้งทำเป็นตั้งใจรดน้ำ แต่ความจริงแล้วสายตาจับจ้องไปยังกระจกธารา
เขาอดถอนหายใจขึ้นมาไม่ได้ ”เสี่ยวหวง…เจ้าว่าพวกเรานั่งดูอยู่ตรงนี้ ดูใจร้ายไปหน่อยหรือไม่”