“คือเรื่องเป็นเช่นนี้! เรื่องหินเขตแดนคราก่อน อีกทั้งเรื่องต้นอ่อนแห่งการกลับคืนในครานี้ล้วนเป็นความชอบของท่าน” เขาพูดอย่างจริงจัง “ถึงแม้ท่านจะเป็นนักเรียนที่เข้ามาแทรกกลางคัน อีกทั้งสำนักศึกษาก็จบเทอมไปแล้ว แต่อาจารย์อวิ๋นบอกว่าไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดกับรูปแบบมากเพียงแค่สองเรื่องนี้เจ้าก็สามารถได้รับตำแหน่งลูกศิษย์ดีเด่นแห่งเสวียนเหมินในภาคการศึกษานี้ได้ข้ามาเพื่อมอบรางวัลให้เจ้าโดยเฉพาะ”
“รางวัล!” ดวงตาของสีฝานลุกวาว “รางวัลใด” หรือว่าอาจารย์อวิ๋นตัดสินใจรับเขาเป็นศิษย์ให้เขาเข้าร่วมชิงหยาง? เขาตื่นเต้นอย่างมาก
ถังเฉินยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะเปิดถุงใส่ของข้างตัวออก “ลูกศิษย์ดีเด่นแห่งเสวียนเหมินจะมีเพียงสามคนในแต่ละปีเทียบเท่ากับผู้ชนะในการประลองใหญ่เสวียนเหมิน ดังนั้น…” พูดจบเขาก็หยิบตำราสูงราวครึ่งตัวคนออกมาหนึ่งกองพร้อมกับส่งมอบให้เขาทีละเล่มมาถือไว้ให้ดีนี่คือ “รวมข้อสองวิชาเวทเสวียน” ของอาจารย์อวิ๋น
“คำถามค่ายกลห้าร้อยข้อ” ของอาจารย์ไป๋รวมไปถึง “คำถามที่พบบ่อยในการฝึกฝน”
“ข้อสอบการปรับใช้วิชาเวทที่ถูกต้อง” ของเหล่าผู้อาวุโส…เขายื่นไปทีละเล่มจนกระทั่งอีกฝ่ายจะยกไว้ไม่อยู่แล้ว ถึงได้หยิบเล่มสุดท่ายส่งไปให้ด้วยสีหน้าเป็นมิตรอีกทั้งยังมีเล่มที่ข้าสะสมเป็นของส่วนตัวเล่มนี้มอบให้เจ้าเป็นของตอบแทนแม้แต่ผู้ชนะในปีนี้ยังไม่ได้รับ! มันคือ
“รวมข้อสอบจบการศึกษา” มีเพียงหนึ่งเล่มเท่านั้น เจ้าตั้งใจทำข้อสอบรับรองว่ากำลังเจ้ามีเพิ่มขึ้นอย่างมาก เขามอบให้มากกว่ารางวัลที่มอบให้ผู้ชนะเสียอีก
เด็กหนุ่มที่ยังไม่ถูกข้อสอบทำลาย!
ข้าเป็นกำลังใจให้เจ้า!
สีฝานที่อุ้มไว้ไม่อยู่ลื่นล้มลงไป ก่อนจะถูกข้อสอบกลืนกิน: “…”
เขาถูก…ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น?
( ̄△ ̄;)
สีฝานใช้เวลาหนึ่งเค่อถึงได้ยัดข้อสอบกองนั้นใส่ในถุงของตนเองพร้อมน้ำตา พลางครุ่นคิดว่าความโชคดีของตนเองจะสามารถใช้ในการทำข้อสอบได้หรือไม่ อย่างเช่นในช่วงชีวิตนี้ให้เขาทำข้อสอบกองนี้ให้เสร็จ
“เวลาไม่เช้าแล้ว สหายสีไปกันเถิด!” ถังเฉินมองฟ้า
“ไป?” สีฝานผงะ “ไปไหน”
“กลับสำนักเทียนซืออย่างไร” ถังเฉินตอบ “เรื่องของเจ้าเสร็จสิ้นแล้วไม่ใช่หรือ ดังนั้นสำนักเทียนซือจึงส่งข้ามารับเจ้า”
“รับข้า?” สีฝานนิ่งไปเพียงแค่เดินผ่านค่ายกลขนส่งเท่านั้น เหตุใดจึงต้องส่งคนมารับแต่เขาก็ไม่ได้คิดมาก รีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณอาจารย์ถังอย่างมาก พวกเราไปกันเถิดค่ายกลยขนส่งอยู่ทางนั้น”
“ไม่ พวกเราไม่ใช้ค่ายกลขนส่ง” ถังเฉินพูดขึ้น “อาจารย์อวิ๋นบอกให้พวกเราเดินกลับไป”
“เดิน…เดินกลับไป?!” สีฝานตะลึงล้อเล่นหรือ หุบเขาหมอกับสำนักเทียนซือห่างกันเป็นพันลี้! ต้องเดินถึงเมื่อใดกัน!
“นี่เป็นการตัดสินใจของสำนักเทียนซือ ถือว่าเป็น…การบ้านในปิดเทอมของเจ้า? แต่ว่าสามาราถใช้ยันต์ชั่วขณะได้ ราวหนึ่งเดือนก็เดินทางถึง”
สีฝานห่อเกี่ยวลงทันที แต่ก็ทำได้เพียงรับยันต์ชั่วขณะจากมือของถังเฉินมาจากนั้นจึงเริ่มออกเดินทาง ถังเฉินหลือบมองอีกฝ่าย อันที่จริงเขาไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์อวิ๋นถึงต้องให้เขามารับอีกฝ่าย อีกทั้งยังไม่ยอมให้พวกเขาใช้ค่ายกลขนส่ง นอกจากนี้ยังกำชับให้เขาบันทึกทุกอย่างที่สีฝานเจอระหว่างทางและสถานที่พักเอาไว้ในหินบันทึกภาพ
แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจทันที ระหว่างทางไม่ว่าจะไปที่ไหน พวกเขาก็มักจะโชคดีอย่างอธิบายไม่ได้
ฉันมีความสุขเมื่อได้เจอเจ้าของร้านเมื่อฉันกิน และเมื่อฉันอาศัยอยู่ในร้านเมื่อร้านใหม่เปิดขึ้น ฉันไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว ฉันยังได้รับซองแดงสองสามซองฟรีอีกด้วยแม้แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตชานเมืองก็จะได้เห็นปลาที่เกยตื้นอยู่ริมแม่น้ำอย่างอธิบายไม่ถูก และใช้ความคิดริเริ่มในการส่งพวกมันไปที่ประตู แม้ในตอนกลางคืนจะหนาวเกินไป แต่ก็ยังมีผ้าห่มบางผืนที่ขูดมาจากที่ไหนสักแห่งแล้วตกลงมา
กินข้าวเจอเจ้าของร้านมีงานเลี้ยง พักโรงเตี๊ยมเจอโรงเตี๊ยมเปิดใหม่ นอกจากไม่เสียเงินแม้แต่น้อย ยังได้รับซองแดงหลายใบ แม้แต่พักอาศัยอยู่ด้านนอกยังพบปลาเกยตื้นอยู่ริมแม้น้ำอย่างไร้สาเหตุ แม้แต่ตกดึกอากาศหนาวเย็นก็มีลมพัดผ้าห่มจากที่ใดมาก็ไม่รู้มาตกอยู่ใต้เท้าของพวกเขา
โชคดีจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไรสิ่งที่น่าแปลกกว่านั้นคือ ถึงแม้พวกเขาจะหลงทางในภูเขา แต่สีฝานก็มักจะกระตุ้นถูกค่ายกลขนส่งที่ซ้อนเอาไว้อย่างไม่ตั้งใจ ทำให้ระยะทางของพวกเขาหดลงจากกนึ่งเดือนเหลือเพียงสิบวัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระหว่างทางที่สีฝานเดินผ่าน ไม่ว่าเขาจะมุดเข้าถ้ำเนินที่ถูกเหยียบพัง หรือว่าพื้นราบที่สะดุดล้ม ล้วนพบเจอกับสมบัติล้ำค่าหรือพืชวิเศษอีกทั้งยังพบเส้นลมปราณที่มุดออกมาอีกด้วย
ถังเฉินพบว่า เพียงแค่เดินตามเขาในหลายวันนี้เขาก็รู้ทิศทางของการกระจายตัวของเหมือง พืชวิเศษ และเส้นลมปราณใต้พื้นดินตั้งแต่หุบเขาจนถึงสำนักเทียนซือแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะวางแผนที่ขึ้นมา คิดจะส่งกลับไปยังสำนักเทียนซือผ่านทางกระจกพันลี้
แต่ระหว่างทางพวกเขาไม่ได้โชคดีเสมอไป อาทิชายหนุ่มที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าพวกเขาในตอนนี้
“จี้เฟิง!” สีฝานจำคนตรงหน้าได้ เขาคือจี้เฟิงที่ทำให้พวกเขาหล่นลงไปในรอยร้าวของดินแดนทับซ้อนสามโลก
“เจ้ารอดกลับมาจริงด้วย” จี้เฟิงจ้องมองไปยังสีฝาน เมื่อเทียบกับความระแวงของทั้งสองคน เขากลับทำสีหน้าตื่นเต้น ราวกับคิดบางอย่างขึ้นได้ “สมกับเป็นบุตรแห่งโชคชะตาที่แท้ก็เช่นนี้! เช่นนี้ทุกอย่างล้วนทันเวลา!”
“เจ้าคิดจะทำอะไร” ทั้งสองคนก้าวถอยไปมอบคนที่อยู่กล่าวอากาศอย่างกังวล สีหน้าของจี้เฟิงดีใจขึ้นไปใหญ่ เขาเพิกเฉยต่อท่าทางกังวลของคนทั้งสองเพียงแต่มองตรงไปยังสีฝาน “บุตรแห่งโชคชะตา เจ้าตามข้าขึ้นไปโลกบน เจ้าต้องทำภารกิจของเจ้าให้สำเร็จ”
“ใครจะตามเจ้าขึ้นไปกัน!” สีฝานคัดค้านขึ้น
แต่อีกฝ่ายไม่ได้มีโอกาสให้เขาเลือก เขาสะบักมือพลังสีฟ้ากลายเป็นโซ่เส้นหนึ่งพุ่งตรงไปยังสีฝาน
ถังเฉินไม่ได้รีรอเขาใช้วิชาเวทวางค่ายกลป้องกันไว้รอบตัวของทั้งสอง ก่อนจะสะบัดดาบต้านการโจมตีของอีกฝ่าย “รีบไป…ไปเมืองที่ใกล้ที่สุด ใช้ค่ายกลขนส่งกลับไปส่งข่าวให้สำนักเทียนซือโดยเร็ว! ข้าจะรั้งเขาไว้!”
“แต่ว่าท่าน…” สีฝานลังเลเล็กน้อย
“รีบไป!” จี้เฟิงขมวดคิ้ว ไม่อยากเสียเวลาพลังสีฟ้ารอบตัวหลั่งไหลออกมามากขึ้นสีฝานยังไม่ทันได้ขยับตัว ค่ายกลป้องกันด้านหน้าก็แหลกละเอียดพลังสีฟ้าที่มาพร้อมอำนาจล้อมพวกเขาเอาไว้ รอบด้านมีเพียงหมอกสีฟ้า
ถังเฉินรีบปิดประสานสัมผัสทั้งห้าเอาไว้พร้อมกับหยุดการหมุนเวียนพลังลมปราณภายในร่างกาย พลังสีฟ้าเหล่านี้เป็นพลังเทพ อาจารย์อวิ๋นเคยเผยแพร่ความรู้ให้ทั้งเสวียนเหมินแล้ว เพียงแค่ไม่ให้พวกมันเข้าไปในร่างกายตามพลังลมปราณ พลังเหล่านั้นจะไม่มีผลอะไรกับพวกเขา
ถังเฉินก้าวถอยไปบังเอาไว้ด้านหน้าของสีฝาน ในขณะที่กำลังจะใช้วิชาเวทต่อต้านพลังสีฟ้ารอบด้านกลายเป็นโซ่หลายเส้นผูกมัดพวกเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นจี้เฟิงที่อยู่ด้านนอกเก็บมือทันที
อีกฝ่ายราวกับเร่งรีบเขาไม่ได้รีรอจับคนแล้วลอยขึ้นไปด้านบนไม่แม้แต่จะหันกลับมามองทันใดนั้นหายลับไปในขอบฟ้า
พลังสีฟ้าบนพื้นค่อยๆ สลายไปเผยให้เห็นคนที่ยืนอยู่ด้านในอย่างโดดเดี่ยว… สีฝาน?!
“…” เอ๊ะ?