ทั้งสามคนใช้เวลาหลายชั่วยามในวางค่ายกลขนส่งขนาดใหญ่ เนื่องจากป่าเจิ้นเนี่ยไม่แบ่งแยกกลางวันและกลางคืนล้วนอาศัยแสงสว่างที่ประกายออกมาจากใบไม้ของเหล่าต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาไม่รู้ว่าเวลานี้คือยามใดแล้วอวิ๋นเจี่ยวตรวจดูค่ายกลหลายครั้งก่อนจะแจ้งให้เหล่าหลินซีมารวมตัวกันบริเวณนี้
ไม่นานภายในป่าก็เต็มไปด้วยคนจำนวนหลายร้อย อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีการกำชับว่าไม่ให้นำสิ่งของติดตัวไปด้วยมาก ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงมามือเปล่ามีคนจำนวนน้อยพกเสื้อผ้าเพียงสองสามชุดส่วนหลินซีมีพกตำราและภาพวาดของบรรพบุรุษในตระกูลอีกทั้งทำหน้ารู้สึกผิดราวกับทำเรื่องไม่ดี
อวิ๋นเจี่ยวเหลือบไปมองคนอื่นยังดี แต่เขาในฐานะผู้นำตำราเหล่านั้นอาจเป็นการสืบทอดภายในตระกูลเขาคงละทิ้งไปจำนวนไม่น้อยแล้ว เธอครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจเคารพต่อวัฒนธรรมก่อนจะหยิบถุงให้สองใบมอบให้หลินซีให้เขานำตำราสำคัญพร้อมกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการสืบทอดไปด้วย
“ไม่ต้องรีบ ไปเถิด!” เธอตบไหล่ของเขา
หลินซีทำหน้าซาบซึ้งราวกับจะร้องไห้ออกมาเขาพยักหน้าอย่างแรงพร้อมเอ่ยขอบคุณก่อนจะหยิบถุงและเรียกเด็กชายหลายสิบคนวิ่งไปทางตำหนักใหญ่
อวิ๋นเจี่ยวพลางจัดให้ทุกคนเข้าไปยืนในค่ายกลพลางรอพวกเขากลับมาเธอไม่ได้รอเป็นเวลาไม่นานมาก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหลินซีก็พาทุกคนกลับมา เมื่อเทียบกับท่าทางก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งหมดล้วนยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับว่าเก็บสมบัติกลับมาได้ถุงเก็บของในมือถูกยัดแน่นด้วยสิ่งของ
ชายแก่ถอนหายใจเด็กเหล่านี้ถึงจะอายุไม่มากแต่พวกเขารู้ว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญต่อพวกเขา
หลินซีเดินเข้าภายในค่ายกลตามการจัดวางของอวิ๋นเจี่ยวก่อนจะนับจำนวนคนสองรอบจนกระทั่งมั่นใจว่าคนของชิงหลินล้วนอยู่ในค่ายกลไม่มีใครตกหล่นทั้งสามคนจึงเดินเข้าค่ายกลเป็นลำดับสุดท้าย อวิ๋นเจี่ยวเดินเข้าไปบริเวณใจกลางของค่ายกล
จนกระทั่งนาทีสุดท้ายชายแก่ยังคงกังวลใจ “เจ้าหนู ทำได้จริงหรือ พวกเราจะเชื่อมต่อกับภายนอกอย่างไร”
“วางใจ เชื่อมได้แน่!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“แต่ว่า ดินแดนทับซ้อนทั้งสามล้วนล่มสลายที่นี่คือรอยร้าวของสามโลก อย่าว่าแต่คนแม้แต่เทพก็เข้ามาไม่ได้…” จะไปหาพลังลมปรารจากไหนกัน
“เทพกับเซียนเข้ามาไม่ได้ก็จริง” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนจะพูด “แต่ว่าหนทางแห่งสวรรค์เข้ามาได้!”
“ฮะ!” หนทางแห่งสวรรค์? หมายความว่าอย่างไร
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้สนใจเขา เธอเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะตะโกนออกมา “ข้า อยาก เป็น เซียน แล้ว!”
นาทีถัดมา
เห็นเพียงแต่รอบตัวอวิ๋นเจี่ยวมีแสงสีทองประกายขึ้น ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นฟ้าทะลุผ่านผนึกด้านบน ทันใดนั้นมิติรอยร้าวดำสนิทถูกฉีกออก เสียงสวรรค์ที่ไพเราะเสนาะหูดังขึ้นจากด้านบน กลีบดอกไม้จำนวนมากล่วงหล่นลงมาแสงเจ็ดสีส่องสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้า ลำแสงพุ่งตรงลงมาจากระยะไกลจนกระทั่งครอบคลุมอวิ๋นเจี่ยวเอาไว้ภายในพลังเซียนปะปนกับพลังลมปราณแผ่ขยายลงมาตัดแบ่งพื้นดินลักษณะกลมภายในรอยร้าว
นี่คือ…แสงสวรรค์ชักนำ!
เฮ้ย! แบบนี้ก็ได้!
w(゚Д゚)w
“นิ่งอยู่ทำไม รีบกระตุ้นค่ายกล!” อวิ๋นเจี่ยวหันไปพูดเชื่อมต่อได้แล้ว
“อา…อ่อ!” ชายแก่กระจ่างทันที เขาพบว่าแรงกดทับพลังลมปราณภายในตัวสลายหายไป ในขณะที่แสงสวรรค์ชักนำทะลุลงมาพลังลมปราณภายในร่างกายก็สามารถใช้ได้แล้ว
เขาดีใจอย่างมากก่อนจะรีบชักนำพลังลมปราณกระตุ้นค่ายกลขนส่งด้านล่าง
นาทีถัดมาค่ายกลส่องแสงสว่างไสว ค่ายกลขนส่งใช้งานตามที่หวัง แสงค่ายกลทับซ้อนกันเป็นชั้นครอบคลุมทุกคนเอาไว้ ทุกคนรู้สึกเพียงทิวทัศน์ตรงหน้าเปลี่ยนไปป่าไม้ที่คุ้นเคยก็ถูกแสงสีขาวปกคลุมในทันใด
ทุกคนกลายเป็นแสงสีขาว ก่อนจะถูกขนส่งออกจากรอยร้าวสามโลกตามแสงสวรรค์ที่ทอดยาวลงมา ก่อนจะมุ่งตรงไปยังสำนักเทียนจี๋
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแม้แต่แสงสวรรค์ก็ยังตอบสนองไม่ทัน นาทีถัดมาผู้คนนับร้อยก็มายืนอยู่บนค่ายกลขนส่งในสำนักเทียนจี๋แล้ว
ลูกศิษย์ที่เฝ้าค่ายกลตกใจเมื่อเห็นค่ายกลเปิดใช้งานเอง อีกทั้งยังปรากฏร่างของคนนับร้อยเขารีบวิ่งไปทางตำหนักใหญ่ทันที “เจ้า…เจ้า…เจ้าสำนัก แย่แล้ว!” มีผี!
สำนักเทียนจี๋เป็นสำนักเล็กบริเวณชายแดนมีพื้นที่ไม่กว้างมากนักไม่ถึงสองนาทีเจ้าสำนักก็เดินทางมาถึงด้วยยันต์ชั่วขณะในมือของเขายังถืออาวุธ “ผู้ใดบุกรุกสำนักเทียนจี๋?!”
“เจ้าสำนักหลู ข้าเอง!” อวิ๋นเจี่ยวยกมือ
“อา…อาจารย์อวิ๋น!” หลูเชียนผงะก่อนจะเห็นอวิ๋นเจี่ยวในฝูงคน ก่อนจะหันไปมองชายแก่ด้านข้าง
“อาจารย์ไป๋ พวกท่าน…พวกท่านไปตามหายาไม่ใช่หรือ เหตุใดจึง…เด็กเหล่านี้คือ…”
“เรื่องนี้ยาว” ชายแก่เดินขึ้นไปตบไหล่ของเขา “อย่างไรก็ตามยาพวกข้าหาเจอแล้ว ส่วนเด็กเหล่านี้…”
ขณะที่เขากำลังจะอธิบายทันใดนั้นเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้นจากบนท้องฟ้าอีกครั้งในที่สุดแสงสวรรค์ชักนำก็พบว่าอวิ๋นเจี่ยวหายไป มันกลับจากดินแดนทับซ้อนลำแสงที่คุ้นเคยมาบรรจบกันบนศรีษะของอวิ๋นเจี่ยว ก่อนจะครอบคลุมเธอเอาไว้
เสียงแปลกประหลาดดังขึ้นภายในใจของอวิ๋นเจี่ยวอีกครั้ง “ราวกับกำลังเร่งเร้า: รีบขึ้นมาๆ…”
แม้แต่คุณงามความดีภายในตัวก็ยังมีแนวโน้มที่จะถูกดึงออกจากร่างไป ราวกับรอที่จะเอาคืนไม่ไหว กลีบดอกไม้ทั่วทั้งท้องฟ้าร่วงหล่นลงมาภายในสำนักเทียนจี๋ทันใดนั้นก็ปูเป็นชั้นหนา
อวิ๋นเจี่ยวยังคงไม่ขยับเขยื้อน เธอเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก่อนจะพูดขึ้น “อ่อ ข้าไม่อยากเป็นเซียนแล้ว!”
เสียงสวรรค์กลางอากาศหยุดชะงักไป ก่อนจะมีเสียงลากยาวดังขึ้น…
ทันใดนั้นลำแสงหดกลับทันทีแสงเจ็ดสีที่เปล่งประกายของท้องฟ้าก็ดับลงท้องฟ้าแจ่มใสแต่เดิมถูกปกคลุมด้วยเมฆฝนทันใดนั้นบริเวณโดยรอบมืดสนิท สายฟ้าประกายขึ้นระหว่างชั้นเมฆตามมาด้วยเสียงฟ้าร้อง จากนั้นสายฟ้าสีขาวราวหิมะพุ่งตรงลงมา ทำให้ตำหนักของสำนักเทียนจี๋แหลกละเอียดแต่ไม่ถูกเนื้อต้องตัวคนแม้แต่คนเดียวยิ่งไม่ต้องพูดถึงอวิ๋นเจี่ยว เหมือนแค่…กำลังระบายความโมโห?
หลูเชียนเจ้าสำนักแห่งสำนักเทียนจี๋ฉงนหนักมากยิ่งขึ้น นี่คือ…เกิดอะไรขึ้น
“อา…อาจารย์อวิ๋น?” เขาหันไปมองคนด้านข้าง
“ไม่เป็นอะไร!” อวิ๋นเจี่ยวตบไหล่เขา “เงินบูรณะสามารถไปเบิกจากสำนักเทียนซือได้” อย่างไรก็เป็นการทำงาน!
หลูเชียน: “…” ไม่ เขาไม่ได้อยากถามเรื่องนี้!
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พาเด็กจำนวนมากเช่นนี้เข้ามากะทันหัน แต่แสงเมื่อกี้คืออะไร นั่นคือแสงสวรรค์ชักนำใช่หรือไม่ ใช่แน่ๆ! อาจารย์อวิ๋นบรรลุเป็นเซียนเขาเข้าใจ แต่สายฟ้าในเวลาต่อมาคืออะไร สวรรค์กำลังข่มขู่นาง หากนางไม่ขึ้นไปจะฟาดนางจนตายหรือ
แต่…ทำไมต้องล้วนผ่าถูกตำหนักของสำนักเทียนจี๋ แต่ไม่ผ่าถูกตัวคนแม้แต่ตนเดียว?!
(゚Д゚≡゚Д゚)