อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกกระอักกระอ่วมภายในใจ เธอเงยหน้ามองไปยังค่ายกลด้านหน้าหลินซีกำลังเดินเข้าไปในใจกลางค่ายกลส่วนด้านนอกแท่นบูชามีเด็กจำนวนมากยืนอยู่โตสุดอายุสิบสี่สิบห้าเด็กสุดอุ้มอยู่ในมือ
พวกเขาทั้งหมดล้วนจ้องมองไปยังหลินซีที่อยู่ตรงกลาง สีหน้าของพวกเขานอกจากกังวลว่าผนึกจะถูกทำลาย อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความ…โศกเศร้าทั้งสามคนฉงน วินาทีต่อมาพวกเขาได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กชายตัวสูง น้ำตาหลั่งไหลเต็มใบหน้าของเขา
“สหาย เป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไม” ชายแก่ถาม
เด็กชายร่างสูงเหลือบมองเขาด้วยน้ำตานองหน้า พูดพร้อมสะอื้นไห้ “เดือนนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว มีเพียงอายุสิบห้าจึงจะผนึกได้อย่างสมบูรณ์…พี่ซี...พี่ซีเป็นคนสุดท้ายแล้ว…ไม่มีอีกแล้ว…เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของข้า ข้า… อดไม่ได้!”
“…”
หมายความว่าอย่างไร ชายแก่ฟังด้วยท่าทีฉงน แค่ซ่อมผนึก เหตุใดจึงพูดประหนึ่งว่ากำลังจะตายพรากจากกัน ในขณะที่กำลังสงสัยหลินซีที่เดินไปถึงใจกลางค่ายกลหันกลับมาก่อนจะพูดกับเด็กชายร่างสูงว่า
“หลินว่าง! จากนี้ไปเจ้าคือผู้นำคนต่อไปของเผ่าชิงหลิน!”
เด็กชายร่างสูงพยักหน้าอย่างแรงปาดน้ำตาออกจากใบหน้าทิ้งก่อนจะตอบด้วยเสียงอันดังว่า “ขอรับ! หลินว่างน้อมรับคำสั่งจากผู้นำ! ข้าจะพยายามปกป้องเผ่าให้ดีที่สุด”
หลินซีพยักหน้าอย่างดีใจก่อนจะหยิบมีดออกมากรีดลงบนข้อมือทันใดนั้นเลือดก็หลั่งไหลออกมาสาดเข้าที่รอยร้าวบนค่ายกล
ชายแก่ตะลึง ก่อนจะกระจ่างว่าหลินซีต้องการทำอะไร!
“เฮ้ย! เขาจะเซ่นค่ายกล!” เขาเข้าใจทันทีว่าเหตุใดที่นี่จึงไม่มีผู้ใหญ่ มีเพียงแต่เด็กเล็ก ที่แท้ในสถานที่ที่ไม่อาจใช้พลังลมปราณได้ พวกเขาจึงต้องใช้ชีวิตในการซ่อมผนึก!
“เจ้าหนู…”
“ช่วยคน!” อวิ๋นเจี่ยวนำคนทั้งสองเข้าไปพลางเดินพลางสั่งการ “สีฝาน ดึงเขาออกมา! ชายแก่ ให้ยาห้ามเลือดเขา” ก่อนจะหยิบธงค่ายกลออกมา
ทั้งสามคนเดินขึ้นหน้า สีฝานรีบดึงหลินซีออกจากใจกลางค่ายกล ชายชราหยิบยาออกมาเม็ดหนึ่งก่อนจะยัดเข้าปากหลินซี จากนั้นหยิบผ้าออกมาทำแผลให้เขา หลินซีถูกยายัดเข้าปากก็สำลักขึ้นมา “แค่กๆ…ทั้งสามท่านพวกท่านกำลังทำอันใดผนึกหากไม่ซ่อม…จะไม่ทันการ!”
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ตอบเขาเพียงแต่วางค่ายกลผนึกลงบยค่ายกลนี้อย่างรวดเร็วพื้นดินเกิดการสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มปรากฏรอยร้าว”
“ทั้งสามท่าน…”
“วางใจ เจ้าหนูมีวิธี!” ชายแก่ปลอบเขา ก่อนจะห้ามไม่ให้เขารบกวนการวางค่ายกลของอวิ๋นเจี่ยว แต่ภายในใจของเขาก็ไม่มีความมั่นใจ เห็นอวิ๋นเจี่ยวใกล้เสร็จแล้ว จึงพูดขึ้น “เจ้าหนู ที่นี่ใช้พลังลมปราณไม่ได้…” ถึงจะวางค่ายกลได้ก็ไม่อาจกระตุ้นได้
อวิ๋นเจี่ยวปักธงค่ายกลผืนสุดท้ายลง ก่อนจะหันมาพูด “ท่านมี!”
“ฮะ?” เขามีอะไร
“ท่านปรากฏร่างเวท”
“ระ…” ทำไม ชายแก่ยังไม่ทันกระจ่างอวิ๋นเจี่ยวก็เอื้อมมือตบเข้าที่หน้าผากของเขา เขารู้สึกเพียงพลังกลุ่มหนึ่งกำลังมุดเข้าไปในสมอง จากนั้นร่างเวทปรากฏขึ้นบนแท่นบูชาพร้อมกับสีหน้าฉงน
“เจ้า… เจ้าหนู?” นางตบตนเองออกมาทำไม
“ใช้พลังหยินในป้ายยมราชของเจ้ากระตุ้นค่ายกล!” อวิ๋นเจี่ยวพูดเสียงดัง
ชายแก่ะงักไปชั่วขณะทันใดนั้นเขาก็พบว่านางก็วางค่ายกลหยิน! ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้น จริงสิ พวกเขาใช้พลังลมปราณไม่ได้ แต่ป้ายยมราชทำได้มันเป็นสิ่งที่ราชายมโลกมอบให้ยมราชทั้งเจ็ด พลังหยินถายในนั้นไม่ใช่ของเขาเอง
ไป๋อวี้กระจ่างทันทีร่างเวทขนาดใหญ่มอบลงสัมผัสพื้นด้วยฝ่ามือข้างหนึ่ง ทันใดนั้นเห็นเพียงแต่พลังหยินหลั่งไหลออกมา นาทีถัดมาแท่นบูชาภายใต้ค่ายกลสีทองสีทองมีค่ายกลสีดำซ้อนทับขึ้น ปิดกั้นรอยร้าวนั้นทันที การสั่นสะเทือนบริเวณรอบด้านหยุดชะงักลง
ไม่ถึงชั่วครู่ค่ายกลทั้งหายจมหายไปในแท่นบูชาแสงสว่างดับมอดลง รอบด้านกลับมาสงบอีกครั้ง
ชราแก่เก็บร่างเวทกลับคืนสู่ร่างของตนเองเลือดบนมือของหลินซีก็หยุดไหลแล้ว สีฝานปล่อยคนออกมาพร้อมถามขึ้น ”เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
หลินซียืนขึ้น ก่อนจะมองไปที่ตำแหน่งผนึกบนพื้น ”ผนึกนี้ … ”
“แค่ชั่วคราว!” อวิ๋นเจี่ยวตอบ ”ค่ายกลหยินคงอยู่ได้ไม่นาน” อย่างมากที่สุดสามเดือนแสงภายในดวงตาของหลินซีดับลงอีกครั้ง แต่ก็ยังคงขอบคุณทั้งสาม “ขอบคุณทั้งสามที่ช่วยเหลือ”
“ผะ…ผนึกไว้แล้ว! พวกเขาช่วยพี่หลินซีได้ ชเทพสวรรค์! ต้องเป็นเทพสวรรค์แน่นอน!” คนด้านล่างส่งเสียงโห่ร้องดีใจ ประเด็นเกี่ยวกับเทพสวรรค์ดังขึ้นอีกครั้ง สายตาของเด็กหลายร้อยคนจับจ้องไปยังบนตัวของคนทั้งสาม “ดีจริง เทพสวรรค์มาช่วยพวกเราแล้ว!”
ชายแก่และสีฝานรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ถูกดวงตาเป็นประกายเหล่านี้จ้องมอง ทำให้ไม่รู้ว่าควรจะปฏิเสธอย่างไรไปชั่วขณะ จึงทำได้เพียงหันไปมองอวิ๋นเจี่ยว “เจ้าหนู เจ้ามีวิธี…” ช่วยเด็กเหล่านี้หรือไม่
เมื่อได้ยินคำเรียกขานเทพสวรรค์จากด้านล่าง คิ้วของอวิ๋นเจี่ยวขมวดเล็กน้อยสีหน้าของหลินซีก็มีความเก้อเขินในขณะที่เขากำลังจะเดินขึ้นไปห้ามปรามทุกคน
อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดเสียงดัง “ไม่ พวกข้าไม่ใช่เทพสวรรค์ เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น เทพสวรรค์ที่พวกเจ้ารอคอยลืมสถานที่แห่งนี้ไปแล้ว อีกทั้งไม่มีทาง…มาช่วยพวกเจ้า”
เสียงโห่ร้องดีใจชะงักไปเด็กทั้งหมดล้วนผงะ สีหน้าซีดเผือดไปทันทีมีบางคนตกใจในคำพูดของเธอ น้ำตาคลอเบ้าในขณะที่กำลังจะร้องไห้อออกมา
“เจ้าหนู…” ชายแก่รู้สึกสงสารพวกเขาเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น ถึงจะเป็นความจริงแต่พูดตรงเช่นนี้จะทำให้คนรู้สึกเสียใจ
“แต่…” ชายแก่คิดจะห้าม แต่อวิ๋นเจี่ยวพูดขึ้นอีกครั้ง “ถึงเทพจะลืมแล้ว แต่เสวียนเหมินจำได้แล้ว! ขออภัยที่ทำให้พวกเจ้ารอนานเช่นนี้ ขอบคุณที่พวกเจ้ารักษาผนึกสามโลกเอาไว้ ตอนนี้พวกข้า…มารับพวกเจ้ากลับโลกมนุษย์!”
“…” เงียบสงัด ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องดีใจที่ดังกึกก้องป่าเจิ้นเนี่ย
ทันใดนั้นความโศกเศร้าที่ปกคลุมทุกคนสลายหายไป ใบหน้าของพวกเขาเผยอารมณ์ที่เหมาะสมกับวัย พร้อมกับเสียงที่ตื่นเต้นไม่หยุดเป็นเวลานาน
“ท่าน…แขกผู้มีเกียรติ” หลินซีมองอวิ๋นเจี่ยวด้วยความกังวล “อันที่จริงท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ อีกไม่นานก็จะถึงวันฉงเมี่ย วันนั้นเป็นขีดจำกัดของค่ายกลเมื่อถึงเวลาถึงจะมีผู้นำเซ่นค่ายกลผนึกก็จะไร้ผลพวกท่านไม่ต้อง…”
“เรียกข้าว่าอวิ๋นเจี่ยวก็พอ” อวิ๋นเจี่ยวตอบ “ไม่ต้องพูดให้ทุกคนรีบเก็บของอย่าพกของมากอีกไม่กี่วันก็เตรียมตัวออกจากที่นี่” ”
“แต่…” หลินซีทำหน้าลำบากใจเขาไม่ใช่ไม่เชื่อพวกเขาแต่เขาเข้าใจว่าพวกเขาไม่ใช่เทพจริงๆ แม้แต่เทพเจ้ายังทำไม่ได้แค่คิดก็รู้แล้วว่าการไปจากที่นี่ยากเพียงใดยิ่งไม่ต้องพูดว่าจะพาพวกเขาไปด้วย
“อย่ากังวลไปเลย ข้าสัญญาแล้วย่อมต้องทำได้” อวิ๋นเจี่ยวยกมุมปาก คิดจะยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ แต่ยกไม่ขึ้น
หลินซีเงียบไปชั่วขณะ อาจเป็นเพราะการออกจากที่นี่มีแรงดึงดูดมากเกิดไป เขาอดไม่ได้ที่จะลองสักครั้ง ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างแรกก่อนจะเดินไปหากลุ่มคนด้านหน้าเริ่มจัดเตรียมการเดินทาง