“พระชายา ทรงพระกรรสะหรือเพคะ”
เสียงของมินอาที่กลับมาตอนเช้ามืดปลุกรยูฮาที่อยู่ระหว่างโลกของความฝันกับความเป็นจริง
“เข้ามาสิ”
รยูฮาหาวอย่างอ่อนเพลียแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น แต่ตอนก้าวลงมาจากเตียงสายตาเฉียบแหลมเหมือนตอนปกติก็กลับมา นางลูบลงบนหัวของมินอาที่นั่งพิงอยู่ตรงเก้าอี้ราวกับจะชมเชย
“เหนื่อยแย่เลยสินะ ดื่มชาสักแก้วดีหรือไม่”
“หม่อมฉันจะดื่มน้ำเพคะ”
มินอาเอียงขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วดื่มรวดเดียวหนึ่งแก้ว ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้รยูฮา
“ส่งของให้ท่านมหาเสนาบดีเรียบร้อยแล้วเพคะ ท่านฝากมาบอกว่าจะเฝ้าระวังคนนั้นไม่ให้คลาดสายตาเพคะ”
“ดีมาก ท่านแม่ว่าอย่างไรบ้าง”
“ท่านบอกว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทครอบครองอยู่นั้น พระราชาทรงทราบอยู่แล้วเพคะ แต่ว่าไม่เคยเห็นของจริง บอกว่าพระองค์คงคิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะมีเพคะ”
รยูฮาถอนหายใจอย่างโล่งอก นางเป็นห่วงว่าถ้าหากเรื่องที่มีอาวุธร้ายแรงอยู่ถูกฟื้นฝอยขึ้นมา ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็คงถูกจับได้ แต่พอว่าบอกว่าพระราชาทรงทราบอยู่แล้วเรื่องราวก็ต่างออกไป
“อืม กลับเข้าไปพักเถอะ แล้วมาให้ทันงานเลี้ยงตอนเย็นด้วยล่ะ”
มินอาพยักหน้าแล้วหายไปนอกประตู รยูฮากลับมาที่เตียงอีกครั้งแล้วจมอยู่ในห้วงความคิด การซักไซ้ถามถึงเบื้องหลังของจูเยฮึงถูกส่งต่อให้ท่านพ่อไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีฮอน
ตอนนี้ฝั่งที่จะได้ประโยชน์จากการที่ฮอนเป็นอันตรายมีแค่เพียงพระสนมมุนเท่านั้น แต่ว่าไม่ใช่พระสนมมุน พิจารณาตามสถานการณ์ในมุมนั้นมุมนี้ดูแล้วปรากฎเป็นรอยแยกอย่างประหลาด เรื่องตามสืบอย่างลับๆ นั้นไม่มีใครตามโฮจินทัน รยูฮารู้สึกเสียดายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ข้างนอกมีใครอยู่หรือไม่”
“มีเพคะ พระชายา”
“เตรียมพร้อม ไปวังชังชุนกัน ฝ่าบาทเองก็น่าจะเสด็จไปเช่นกัน”
หลังจากนั้นไม่นานเหล่านางในที่จัดเตรียมเสื้อผ้า เครื่องประดับและเครื่องชำระล้างใบหน้าก็ทยอยกันเข้ามาข้างใน รยูฮานั่งอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้งและทักทายทีละคนจนเห็นสีหน้าของลูกเจี๊ยบตัวที่ห้าที่อยู่ท้ายสุดดูแปลกๆ นางจึงส่งสัญญาณมือออกไป
“ยอนฮวา เจ้าไม่สบายหรือ”
“ไม่…ไม่เพคะ”
“ไม่อะไรกัน”
รยูฮายกมือขึ้นแตะตรงหน้าผากของยอนฮวา
“ไม่มีไข้ หรือว่าปวดท้อง”
“นอนน้อยเลยเหนื่อยเพคะ ไม่เป็นไรจริงๆ เพคะ พระชายา”
“งั้นหรือ งั้นพอกลับมาแล้วเจ้าก็กลับไปพักที่ที่พักเสีย”
“ขอบพระทัยเพคะ พระชายา”
ในขณะที่เหล่านางในอยากจะแต่งตัวให้รยูฮาเพิ่มอีกนิด แต่รยูฮากลับอยากประดับเครื่องประดับให้น้อยลง สองฝ่ายจึงยื้อยุดกัน แล้วยอนฮวาก็ถูกลืมไปในไม่ช้า ในที่สุดก็ได้ข้อตกลงร่วมกันว่าจะใช้เป็นหมวกบังลมหนาวแทนการปักปิ่นปักผมรูปดอกไม้ รยูฮายกกระจกขึ้นส่องก่อนออกไปข้างนอกแล้วยิ้มอย่างสดใสบนใบหน้าที่ฉายความยินดี
“ฝ่าบาท!”
“ทำไมออกมาช้าเช่นนี้ ข้ารอตั้งนาน”
ฮอนสวมชุดมังกรสีน้ำเงินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์รัชทายาทอย่างสง่างาม เขาเดินไปมาตรงลานด้านหน้าแล้วเข้าไปจับมือของรยูฮาเอาไว้แน่น อุณหภูมิที่สัมผัสตรงปลายนิ้วร้อนขึ้น รยูฮารู้สึกได้จึงยกยิ้มขึ้นพลางจับผิด
“ทรงรอหม่อมฉันตั้งนาน แต่มือยังอุ่นอยู่เลยนะเพคะ”
“โทษที ข้าเพิ่งมาถึง”
เขาหวังว่ารยูฮาจะเป่ามือให้เหมือนตอนที่ออกมารอพระราชาตรงลานด้านหน้าเหมือนครั้งที่แล้ว ฮอนคิดว่าคราวหน้าต้องทำมือให้เย็นก่อนแล้วค่อยมาเสียแล้ว ก่อนจะชื่นชมหมวกที่มีขนติดอยู่บนผ้าลำสีของรยูฮา
“สวมหมวกนี่เอง น่ารักเชียว”
“พวกนางจะติดนั่นติดนี่ให้ หม่อมฉันก็ต้องเอาตัวรอดเพคะ”
“ปักที่ปักผมรูปดอกไม้ก็สวย สวมหมวกก็สวย แต่ว่า…”
ฮอนรั้งเอวของรยูฮาเข้ามาแล้วกระซิบเบาๆ ข้างหู
“ตอนไม่ใส่อะไรสวยที่สุ…โอ๊ย!”
บทลงโทษที่กวนใจนางแต่เช้าคือถูกหยิกสีข้างอย่างแรง ชนิดที่ว่าเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทีเดียว แต่เพราะด้านหลังมีนางในยืนเรียงกันอยู่จึงหยุดแค่นี้ ถ้าอยู่กันสองคนคงได้จุมพิตลงบนแก้มหรือไม่ก็งับลงตรงหู ในระหว่างที่นางในพากันหัวเราะ การหยอกล้อที่กวนใจก็ดำเนินต่อไป จนเท้าของทั้งคู่ที่เดินเคียงคู่กันมาหยุดอยู่ตรงแถววังชังชุน
“ถวายบังคมองค์รัชทายาทและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมเป็นทางการขนาดนั้นเสด็จพี่ จะเสด็จไปวังชังชุนหรือ ไปด้วยกันเถอะ”
ร่างของฮอนที่ยิ้มร่าและเดินนำไปหนึ่งก้าวบังรยูฮาจากสายตาของชานพอดีโดยบังเอิญ ชานรู้สึกได้ถึงรสขมที่ตีตื้นเข้ามาในปาก แล้วก้มหน้าลงอีกครั้ง
“กระหม่อมเพิ่งออกมา ฝ่าบาทเข้าไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
พระชายามาที่วังชังชุนบ่อย พออากาศหนาวเย็นขึ้นการมาเยี่ยมก็ยิ่งบ่อยขึ้น เหล่านางในพากันชื่นชม ฮอนรู้เพราะแม้แต่ในพระราชวัง กำแพงก็ยังมีหูและประตูก็มีตา เมื่อทั้งคู่เดินผ่านไป เงาของพระชายาก็เข้ามาในสายตาของชานที่ยังคงก้มมองพื้นอยู่
เงานั่นผ่านข้อเท้าของเขาแล้วจู่ๆ ก็หยุดชะงัก ชานได้แต่ยืนกุมมือของตัวเองที่เย็นเฉียบเนื่องจากอยู่ข้างนอกมาเป็นเวลานาน แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นนั้นเลย เมื่อเงยหน้าขึ้นเงานั้นก็หายไปแล้ว มีแค่ภาพเบื้องหลังอันอ่อนโยนของทั้งคู่ที่เดินห่างไกลออกไปที่เข้ามาในสายตาเย็นชาของชาน ฮอนและรยูฮาที่ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมาสักครั้งเดินเข้าไปข้างในโดยที่ไม่รู้ว่าชานเป็นเช่นนั้น
“เสด็จย่า รยูฮามาแล้วเพคะ”
“โธ่ อากาศหนาวเช่นนี้ยังมาที่นี่อีก นั่งลงก่อน พระชายา”
รยูฮาผู้ซึ่งกลายเป็นเด็กสิบขวบและทำตัวเหมือนเด็กเลื่อนเก้าอี้ออกมาตรงเตาผิงไฟด้วยตัวเองกับภาพของพระพันปีที่กำลังจุดไฟตรงเตาผิงไฟดูเหมาะอย่างน่าประหลาด ฮอนเฝ้ามองทั้งคู่อยู่ข้างๆ เขายกยิ้มเล็กน้อยแล้วนั่งลงข้างพระพันปี ข้างนอกมีพายุหิมะ พายุนั้นพัดมาถึงจุดที่ลึกที่สุดของพระราชวัง แต่ว่าภายในวังชังชุนที่เหลือเครื่องประดับตกแต่งไม่กี่ชิ้นกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“ระหว่างมาเจอกับเสด็จพี่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จมาเร็วเหมือนกัน”
“องค์ชายสองหรือ อ้าว มาแล้วทำไมถึงไม่เข้ามา”
รยูฮาที่กำลังเอามืออังไฟตรงเตาผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ฮอนสังเกตเห็น สายตาของฮอนที่สบกันพอดีในชั่วพริบตาเปี่ยมไปด้วยความหมายเดียวกัน ชานบอกว่าเข้ามาแล้ว งั้นที่เขาเดินเตร่ไปมารอบวังชังชุนหมายความว่า…
“ดูเหมือนว่าคงทรงหลีกทางให้พวกหม่อมฉันได้ใช้เวลาร่วมกันเสด็จย่านานๆ เพคะ”
ฮอนยกยิ้มให้กับคำพูดของรยูฮาที่หันกลับไปแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย
“องค์ชายสองก็เป็นแบบนั้น พระสนมมุนโหดร้ายกับโอรสมากตั้งแต่เด็ก แต่พระสนมยอน…”
พระพันปีพูดถึงตรงนี้แล้วเม้มปากเงียบอีกครั้ง เรื่องราวแม่บังเกิดเกล้าของฮอนถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอย่างไม่รู้ตัว ฮอนยิ้มแห้งแล้วค้นหาเกาลัดที่สุกดีแล้วในเตาออกมาหนึ่งลูก
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีใครพูดเรื่องเสด็จแม่ของกระหม่อมให้ฟังเลย พระพันปีช่วยเล่าให้ฟังหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนนี้เองพระพันปีผู้ซึ่งเฝ้ามองภาพของหลานชายที่กลิ้งเกาลัดไปมาแล้วเป่าราวกับได้ย้อนไปยังสมัยเป็นเด็ก จึงยิ้มออกมาเงียบๆ แล้วเปิดปากอีกครั้ง
“เป็นผู้หญิงที่อบอุ่นแล้วก็น่ารักมาก องค์ชายสองถ้าอยู่กับพระสนมยอนคงหลุดจากนิสัยเด็กที่ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่และเป็นเหมือนเด็กทั่วไป”
“เสด็จพี่เป็นเด็กที่ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“องค์ชายสองจะดูเป็นเด็กก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าพระสนมยอนเท่านั้น พระสนมมุนเองก็คงรู้ดี นางดูไม่พอใจแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าองค์ชายสองแอบไปหาพระสนมยอน ความจริงแล้วก็เหมือนเลี้ยงลูกชายสองคน ก็เท่ากับว่ามีพี่น้องสองคนที่สามารถพึ่งพากันได้เกิดขึ้นในพระราชวังที่เงียบเหงานี้ไม่ใช่หรือ”
“แต่ความสัมพันธ์คู่พี่น้องไม่ได้เป็นไปตามนั้น ปัญหาคือตำแหน่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวและความโลภของเหล่าบริวารที่ห้อมล้อมพวกเขาก็ยิ่งเป็นปัญหา แย่แล้ว คนแก่พูดมากไปแล้ว”
พระพันปีผ่าเกาลัดออกครึ่งหนึ่งแล้วเอาเข้าปาก ส่วนที่เหลือป้อนเข้าปากหลานสะใภ้ที่นั่งอยู่ข้างๆ รยูฮาไม่ปฏิเสธเพราะเกรงใจและรับเอาสิ่งนั้นมากิน นางขยับปากและยิ้มหวาน แต่ในหัวกลับวุ่นวายไปหมด