“กระหม่อมจะส่งเสด็จไปยังห้องบรรทมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ในที่สุดฮอนก็ยืนขึ้นและออกมาจากห้องทำงาน จากนั้นขึ้นไปบนเกี้ยวซึ่งมาคอยอยู่แล้วข้างหน้า เดิมทีเขาชอบเดินไปมากกว่าการนั่งเกี้ยว แต่ในตอนนี้เขาไม่เหลือทั้งเวลาและแรงที่จะทำเช่นนั้นได้ เพราะแค่สงครามประสาทกับพวกเสนาบดีซึ่งไม่ใช่ง่ายและงานที่ต้องทำต่างๆ ก็ทำให้เขาที่เพิ่งจะขึ้นครองราชบัลลังก์ได้นานไม่ได้หลับไม่ได้นอนแล้ว
“อืม ไม่ ไปวังจานยอง”
“ขอรับ? แต่…”
“พูดมากจริง สั่งให้ไปก็ไปสิ”
หลังจากสะสางงานเร่งด่วนเสร็จคร่าวๆ แล้ว ฮอนจึงเอนกายอันเหนื่อยล้าลงนอนที่วังจานยองซึ่งเจ้าของไม่อยู่แทนห้องบรรทมของตนเอง
เขาชอบสมัยที่ยังเป็นองค์รัชทายาท ปล่อยให้เสียงบ่นของอดีตพระราชาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาและหลบหนี พอตะวันตกดินก็ปลอมตัวออกไปดื่มเหล้า ส่วนค่ำคืนในฤดูหนาวที่ย่างเกาลัดบนเตาไฟและกระซิบกระซาบกันสองคนกับรยูฮาในขณะที่อ่านนิยายพื้นบ้านบนเตียงก็ช่างเลือนรางราวกับอดีตเมื่อนานมาแล้ว
นี่มันพระราชาหรือทาสกันแน่ เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่าาทำไมอดีตพระราชาถึงได้ตั้งตารอคอยการแข่งขันล่าสัตว์ที่จัดขึ้นหนึ่งครั้งต่อปีถึงเพียงนั้น เพราะตัวเขาเองก็นับนิ้วคำนวณเดือนที่เหลือจนกว่าจะถึงการแข่งขันล่าสัตว์ที่จะจัดขึ้นในต้นฤดูหนาวเช่นกัน
“รยูฮา รยูฮา”
แม้จะมุดหน้าในผ้าห่มที่มีกลิ่นกายของรยูฮาหลงเหลืออยู่และเรียกชื่อนาง แต่ก็ไม่มีวี่แววที่จะมีคำตอบกลับมา ปล่อยนางไปทำไม ไม่น่าให้ไปเลย หัวใจของข้าอยู่เคียงข้างเจ้าเพราะฉะนั้นไม่เป็นไร ที่ไหนกันล่ะ เหลวไหลทั้งเพ
“พระมเหสี มันยากเหลือเกิน รยูฮา รีบๆ กลับมาเร็วเข้า”
ไม่ได้การแล้ว กอดเสื้อผ้ารยูฮานอนก็ยังดี ฮอนบ่นพึมพำและกลิ้งไปมาคนเดียวเหมือนคนบ้า แต่แล้วจู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นไปค้นตู้ เดิมทีแล้วซังกุงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องชุดนอนของพระมเหสี แต่เขาจำได้แม่นว่าคราวที่แล้วนางหยิบชุดนอนออกมาจากในนั้นหนึ่งชุด เป็นไปตามที่คิดไว้ ชุดผ้าฝ้ายนุ่มๆ ชุดหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาจากพื้นด้านล่างสุด รวมถึงของอย่างอื่นเช่นกัน
“เลือด…?”
คิ้วสวยได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สิ่งที่ร่วงลงมาจากระหว่างชุดผ้าฝ้ายซึ่งดูเหมือนจะถูกวางไว้นานแล้วนั้นไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นเชือกผูกเสื้อสีขาว ไม่ใช่สิ ไม่ใช่สีขาว เพราะมันเปรอะไปด้วยรอยเปื้อนสีน้ำตาลซึ่งดูเหมือนรอยเลือดเกือบครึ่ง ฮอนหยิบมันพลิกไปพลิกมา จากนั้นก็นึกถึงแหล่งที่มาของสิ่งนี้ขึ้นมาได้จากที่ไหนสักแห่งในความทรงจำอันเลือนราง แล้ว…
“ฮึๆ”
เสียงหัวเราะราวกับคนโง่ที่รยูฮามักจะบอกว่าอย่าหัวเราะแบบนี้เป็นประจำดังออกมาจากริมฝีปาก นี่มันเชือกผูกเสื้อที่ฮอนแกะออกและผูกให้ด้วยมือของตัวเองในคืนแรกหลังจากเข้าพิธีอภิเษกสมรส ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่านางจะยังเก็บรักษามันไว้อย่างหวนแหนจนถึงตอนนี้ พอนึกถึงคืนนั้นก็ยิ่งคิดถึงรยูฮาขึ้นไปอีก เสียงหัวเราะของคนโง่เปลี่ยนไปเป็นการถอนหายใจราวกับแผ่นดินจะแตกสลาย ฮอนกอดชุดของรยูฮาและเชือกผูกเสื้อนั้นไว้แน่น แล้วจึงกลับไปที่เตียงนอนอันว่างเปล่า ฝังจมูกกับกลิ่นกายที่คิดถึง
ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น รยูฮาผู้ซึ่งฮอนคิดถึงเป็นอย่างมากกลับไม่ได้คิดถึงเขาเลยแม้แต่น้อย
“บอกแล้วไงขอรับว่าตอนนี้ไม่ได้! เราจะขี่ม้าในคืนเดือนแรมได้อย่างไรขอรับ!”
“เดี๋ยวก็คลาดอีกหรอก! ข้าไม่ฟังเจ้าแล้ว จริงๆ เลย!”
โฮจินกับรยูฮาเริ่มเปิดศึกการโต้เถียงที่ดูเหมือนจะไม่จบสิ้นขึ้น ภายในห้องรกรุงรังจนไม่กล้าเปิดตาดูหลังจากการสู้รบครั้งหนึ่งผ่านไปเรียบร้อย ส่วนยอนฮวาที่เงี่ยหูฟังอยู่ข้างนอกด้วยความร้อนใจ ในที่สุดก็ตัดสินใจผลักประตูเข้าไปด้านใน
“คือว่า นายหญิง…ว้าย!”
“เอ๋? ท่านยอนฮวา?”
โฮจินที่หยิบแจกันดอกไม้มาปาใส่รยูฮาเบิกตาโพลง ทำไมนางถึงอยู่ที่นี่ได้
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ ไม่ได้เจอกันนาน สวยขึ้นกว่าเดิมอีกนะขอรับ”
รยูฮาตะลึงจนพูดไม่ออกกับท่าทีของโฮจินที่กระหยิ่มยิ้มย่องเข้าไปหายอนฮวาพร้อมกับถามว่าไปอยู่ที่ไหนมา หลังจากเพิ่งจะถลึงตาและต่อล้อต่อเถียงว่าอยากตายหรือไงก่อนหน้านี้ ช่างเป็นคนที่เพี้ยนจริงๆ
“ท่านโฮจินกรุณาถอยออกไปด้วยเจ้าค่ะ และกรุณาอย่าเข้ามาใกล้ข้าเกินสามก้าวเจ้าค่ะ ข้ามีสามีแล้ว”
ใบหน้ายอนฮวาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะรีบเข้าไปแอบข้างหลังรยูฮาอย่างรวดเร็วราวกับกระรอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมสิ่งที่ตัวเองจะพูด
“นายหญิง ข้างนอกนั่นมันมืดมากนะเจ้าคะ อีกไม่กี่ชั่วยาม ตะวันก็จะขึ้นแล้ว รอจนกว่าจะถึงตอนนั้นแล้วค่อยไปเถอะเจ้าค่ะ”
“โอ๊ย ให้ตายเถอะ”
ขนาดยอนฮวายังบอกแบบนี้ นางจึงเริ่มใจอ่อน รยูฮาใช้เท้าเตะโฮจินที่ไม่ได้มีความผิดใดๆ อย่างแรง แล้วจึงล้มตัวลงนอนบนเตียง ทำไมนางจะไม่รู้ว่าการขี่ม้าเร็วในยามค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์ มันอันตรายจนถึงขั้นเสี่ยงชีวิต ทำไมจะไม่รู้ว่าแม้จะไม่มีตน มินอาก็อยู่อย่างสบายดีได้ด้วยตัวเอง แต่จิตใจอันร้อนรุ่มทำงานต่างกับสมอง ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แค่เรื่องอะไรเล็กน้อยก็ร้องไห้แล้วและคงจะลำบากพอตัวเพราะไม่มีอาหารที่ถูกปากเลย ดังนั้นพอคิดถึงมินอาที่โดดเดี่ยวไม่มีคนคอยดูแล จึงรู้สึกปวดใจจนน้ำตาไหลออกมาทุกที
“ข้าจะออกเดินทางทันทีที่ตะวันขึ้น ยอนฮวา ช่วยห่อข้าวไว้กินระหว่างทางให้หน่อยนะ เอาเป็นของง่ายและเนื้อเยอะๆ”
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ นายหญิง”
หลังจากโน้มน้าวใจรยูฮาได้สำเร็จ ใบหน้ายอนฮวาจึงเต็มไปด้วยความดีใจก่อนจะออกไปข้างนอก นางอยากห่อข้าวให้ด้วยตนเอง แต่ก็รู้ดีกว่าใครว่าฝีมือตนเองนั้นไม่ได้เรื่อง อย่างไรก็ตามนางว่าจะตื่นแต่เช้ามืดและช่วยเตรียมวัตถุดิบอยู่ข้างๆ สามีก็ยังดี
“เจ้าออกไปซะ ข้าอารมณ์ไม่ดี”
“แต่นี่ห้องข้านะ”
“บอกให้ออกไปไง!”
หากไปสะกิดรยูฮาในตอนที่อารมณ์เสียอยู่โดยไม่ระมัดระวังล่ะก็ นางจะระเบิดออกมาแบบนี้ โฮจินบ่นพึมพำในขณะที่เดินออกมาจากห้องพัก แล้วไปเอนตัวลงนอนที่ห้องข้างๆ ซึ่งเดิมทีจองไว้ให้เป็นห้องของรยูฮา แน่นอนว่าเขาก็อยากวิ่งออกไปตามหามินอาเดี๋ยวนี้เช่นกัน หากตัวคนเดียวก็คงจะออกไปตามหามินอาแล้ว ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน มีแสงจันทร์หรือไม่มี แต่ในเมื่อมีรยูฮาอยู่จึงไม่สามารถยินยอมให้ไปเสี่ยงอันตรายที่แม้จะน้อยนิดมากก็ตาม เขามีน้องสาวสองคน ซึ่งอารมณ์พลุ่งพล่านง่ายด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งหนีออกจากบ้าน ส่วนอีกคนก็ดื้อรั้น โฮจินหลับตานอนเพื่อวันพรุ่งนี้ ทั้งที่เขาเองก็เศร้าเสียใจเหมือนกัน
* * *
“เหนื่อยหน่อยนะ เจ้ากลับไปได้แล้วล่ะ”
เมื่อมินอายื่นเหรียญเงินจำนวนที่มากกว่าที่ตกลงกันไว้ให้ ปากของคนขับรถม้าจึงฉีกไปถึงใบหู
“ให้ตายเถอะ นี่มันเยอะ…!”
“เจ้าไปใช้เวลากับลูกๆ เถอะ แล้วก็ซื้อเสื้อผ้าสักชุดให้ภรรยาที่ทำงานอย่างหนักด้วย”
แค่นี้ก็มาไกลมากแล้ว แม้จะอยากไปอีกนิดจนกระทั่งถึงชายแดนที่เคยไปกับชาน แต่แค่ตรงนี้ก็ไกลมากเกินพอแล้ว ระยะทางที่มินอาสามารถมาได้มีขีดจำกัดถึงแค่ตรงนี้เท่านั้น ไม่สิ นางข้ามผ่านขอบเขตมาแล้วเสียด้วยซ้ำ หัวเมืองในชนบทที่ถูกแยกออกเป็นหมู่บ้านคนจนและหมู่บ้านคนรวย โดยมีลำธารเล็กๆ ซึ่งไหลเอื่อยๆ และแผ่นน้ำแข็งแตกหักด้วยแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิคั่นกลาง หากมองผ่านๆ ก็คงจะคิดว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่หากมองดูดีๆ แล้วจะเห็นว่าเด็กๆ ที่มองนางด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นนั้นไม่ผอมโซอีกต่อไปแล้ว ทั้งที่อยู่ในช่วงขาดแคลนอาหารการกินซึ่งเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดของปี
“ทรงมองดูอยู่หรือเปล่าเพคะฝ่าบาท ฝ่าบาททรงช่วยเด็กเหล่านั้นเอาไว้เพคะ”
เดินย่ำไปตามทางที่ชานเคยเหยียบพร้อมกับเสียงที่พูดอย่างแผ่วเบา เส้นทางที่เคยตามรยูฮากับมินอาซึ่งมุ่งตรงไปยังหอนางโลมมาโดยไม่เต็มใจ การก้าวเดินหยุดตรงด้านหน้าประตูทางเข้าขนาดใหญ่ที่มีโคมไฟสีแดงซึ่งไฟดับลงแล้วส่ายไปส่ายมาตามลม