วาสนาบันดาลรัก 480 คาดการผิดอีกครั้ง

ตอนที่ 480 คาดการผิดอีกครั้ง

ดวงตาของเจินจิ้งจ้องเขม็งอยู่บนถาดใบนั้น ราวกับเห็นผีร้ายเข้ามาฉุดคร่าชีวี สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีเทาอมเขียวในทันใด ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองไปยังหยางกงกง ส่ายศีรษะพลางเอ่ย “เป็นไปไม่ได้ ฝ่าบาทไม่มีทางประทานความตายให้กับข้า!”

 

 

นางเอ่ยไปถอยหลังไป กระทบเข้ากับมุมโต๊ะ กระแทกกาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะจนคว่ำ น้ำชาไหลจากพื้นผิวโต๊ะลงสู่พื้น ซึมเปียกชื้นบนแขนเสื้ออันงดงามเป็นวงกว้าง

 

 

หยางกงกงเดินมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง “กุ้ยเฟย กระหม่อมมิกล้าขัดพระราชโองการ!”

 

 

“อย่าเข้ามานะ!” เจินจิ้งหวีดร้องขึ้นคราหนึ่ง “ข้าต้องการพบฝ่าบาท ข้าจะพบฝ่าบาท! ฝ่าบาทจะให้ข้าตายไม่ได้!”

 

 

“กุ้ยเฟย กระหม่อมเสนอแนะให้ท่านเลือกอย่างจริงจังสักอย่างเถิด มิเช่นนั้น กระหม่อมจะต้องตัดสินใจแทนท่าน” หยางกงกงส่งสายตาให้ องครักษ์ยกถาดก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง

 

 

เจินจิ้งมองทั้งสองด้วยความตื่นตระหนก หยางกงกงยิ้มกริ่ม ใบหน้าด้านข้างขององครักษ์ไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยสีหน้าอันโหดเ**้ยม

 

 

อาจเพราะเมื่อคนเราหมดสิ้นหนทาง หัวสมองก็พลันหมุนเร็วขึ้น เจินผิงกระจ่างแจ้งแกใจในทันที นางเป็นหญิงผู้บอบบางไร้เรี่ยวแรง คิดอยากต่อต้านขันทีทั้งสอง ก็มิอาจทำได้

 

 

เพียงชั่วขณะ นางหาใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง ฝืนสะกดอารมณ์ให้แน่นิ่ง “หยางกงกง ฝ่าบาทประทานความตายให้ข้าจริงอย่างนั้นหรือ”

 

 

“เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้น กระหม่อมเองก็มิอาจเอื้อม และมิกล้าบังคับกุ้ยเฟยด้วย”

 

 

“เช่นนั้น หยางกงกงได้โปรดช่วยข้าส่งข่าวให้ฝ่าบาทจะได้หรือไม่”

 

 

“เรื่องนี้…”

 

 

“หยางกงกง ข้ามิได้จะขัดราชโองการ เพียงแต่ก่อนตาย อยากพบหน้าฝ่าบาทสักครั้งหนึ่ง อยากตายอย่างกระจ่างใจ จะได้หรือไม่”

 

 

หยางกงกงถอนหายใจ “ทูลกุ้ยเฟยตามตรง ฝ่าบาทรับสั่งว่าพระองค์ไม่มีเวลากับเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ หากกุ้ยเฟยอยากพบท่าน ก็มิได้มีความจำเป็นอันใด”

 

 

“ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้หรือ” ริมฝีปากที่ราวกับกลีบดอกไม้ของเจินจิ้งไร้สีเลือดโดยสิ้นเชิง ร่างอรชรอ้อนแอ้นราวกับต้นหลิว โอนเอนราวกับจะลู่ตัวลง

 

 

หยางกงกงพยักหน้า

 

 

“เช่นนั้นก็เอาเถิด” เจินจิ้งหลับตาลง แล้วลืมตาขึ้นอีกครา โกยแขนเสื้อที่น้ำชารดจนเปียกชุ่ม “หยางกงกง เสื้อผ้าของข้าเปรอะเปื้อน อย่างไรก็ดี ฝ่าบาทก็มิได้เพิกถอนตำแหน่งกุ้ยเฟยของข้า ดีร้ายอย่างไรข้าก็เป็นมารดาขององค์หญิงและองค์รัชทายาท ต่อให้ต้องตาย ก็อยากจากไปอย่างสมเกียรติ ข้าจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านใน อย่างนี้คงไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

 

 

หยางกงกงมองแขนเสื้อของเจินจิ้งปราดหนึ่ง ลังเลอยู่สักครู่ แล้วพยักหน้า “รบกวนกุ้ยเฟยเปลี่ยนให้เร็วสักหน่อย ฝ่าบาทรอให้ข้ากลับไปทูลรายงาน”

 

 

มุมปากของเจินผิงยกขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มจางๆ “ข้าจะมิทำให้หยางกงกงลำบากใจ”

 

 

นางเข้าไปในห้อง มิได้หยุดแม้เพียงก้าวเดียวก็พุ่งตัวไปที่ริมหน้าต่าง

 

 

เดิมทีหน้าต่างก็ถูกเปิดแง้มไว้อยู่แล้ว เวลานี้ เจินจิ้งแผ่กระจายเรี่ยวแรงที่ไม่ได้มีในวันปกติทั่วไป เหยียบขึ้นบนโต๊ะที่อยู่ติดกับหน้าต่างแล้วกระโดดออกไป

 

 

เมื่อสัมผัสกับพื้น นางบังคับแรงที่เหวี่ยงตัวออกมาไม่ได้ทำให้ไม่สบายตัวนัก ยกชายกระโปรงขึ้น เมื่อขาตั้งหลักได้ก็รีบวิ่ง

 

 

ตำหนักฉงหวาถือเป็นที่พำนักของกุ้ยเฟย ตำแหน่งดีอยู่ไม่หยอก เป็นตำหนักที่อยู่ใกล้กับตำหนักหย่างซินขององค์จักรพรรดิเพียงไม่กี่หลังเท่านั้น

 

 

ต่างจากที่คิดเอาไว้ เจินจิ้งมิได้วิ่งตรงออกไป ทว่ากระโจนเข้าไปในมุมหนึ่งในลานของตำหนักฉงหวา พุ่งตัวเข้าไปในห้องหนึ่ง คว้าตัวเจินเจินที่กำลังฝึกเขียนอักษรเอาไว้

 

 

“ท่านแม่”

 

 

นางคว้ามือของเจินเจินเอาไว้ หัวใจของเจินจิ้งจึงนับว่าสงบลงสักหน่อย กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เจินเจิน อีกประเดี๋ยวหากเสด็จพ่อของเจ้ามาที่นี่ เจ้าต้องขอร้องเสด็จพ่อให้แม่นะ ไม่เช่นนั้นแม่ของเจ้าคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไป!”

 

 

“เพราะเหตุใดหรือเพคะ” ดวงหน้าของเจินเจินฉงนสงสัย

 

 

เจินจิ้งบีบนางด้วยความเคยชิน “เอาเป็นว่าเจ้าต้องบอกกับเสด็จพ่อของเจ้าว่า เจ้าขาดแม่ไม่ได้ น้องชายก็จะขาดแม่ไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”

 

 

เจินเจินค่อนข้างตื่นตะลึง พยักหน้าเหลอหลา “เจินเจินทราบแล้วเพคะ ท่านแม่”

 

 

หยางกงกงรออยู่ที่ห้องโถงเห็นว่านานแล้วเจินเจิ้งยังไม่ออกมาเสียที สีหน้าพลันเปลี่ยนไป “แย่แล้ว!”

 

 

เขาอดไม่ได้ที่จะหวาดระแวง สาวเท้าก้าวเข้าไป เห็นห้องว่างเปล่าไม่มีใครอยู่

 

 

ขันทีที่ไล่หลังเข้ามาเบิกตาโพลงอ้าปากค้าง “กุ้ยเฟยเล่า”

 

 

“แย่แล้ว เจินกุ้ยเฟยจะต้องไปหาฝ่าบาทเป็นแน่!” หยางกงกงอดโมโหไม่ได้ หันหลังเดินออกไปด้วยความรีบเร่ง

 

 

ไม่รู้ว่าเมื่อไร เจินจิ้งจูงมือของเจินเจินยืนอยู่ที่ปากประตู เอ่ยถามด้วยความสงบ “หยางกงกงจะกลับไปกราบทูลฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ”

 

 

หยางกงกงมองเจินเจินปราดหนึ่ง สีหน้าย่ำแย่ “นี่กุ้ยเฟยท่าน…”

 

 

เจินจิ้งเหอะออกมาคราหนึ่ง กุมมือของเจินเจินเอาไว้ให้แน่นยิ่งขึ้น “หยางกงกง รบกวนท่านกราบทูลฝ่าบาทด้วยว่า องค์หญิงเจินเจินอยู่กับข้าพอดี”

 

 

หยางกงกงลำบากใจ

 

 

ความรักใคร่ที่ฝ่าบาทมีให้เจินเจิน ในฐานะที่เป็นขันทีคนสนิท เขารู้แน่อยู่แก่ใจว่า หากกลับเขากลับไปเช่นนี้ จะต้องถูกฝ่าบาทกล่าวโทษอย่างโหดเ**้ยมเป็นแน่

 

 

“อะไรหรือ หยางกงกงไม่อยากไปงั้นรึ ไม่ไว้หน้าข้าอย่างนั้นหรือ” เจินจิ้งแย้มยิ้มพลางลูบปอยผม นิ้วมือขาวนวลกับเส้นผมดำขลับทำให้สีตัดกันอย่างชัดเจน จู่ๆ ก็ถอดปิ่นปักผมทองคำออกมาอันหนึ่ง

 

 

นางลดมือที่กุมปิ่นทองคำลง แล้วแกว่งอยู่หลังศีรษะของเจินเจิน

 

 

เจินเจินมิได้รับรู้ ลำตัวแนบแน่นกับมารดา

 

 

หยางกงกงแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ดวงตาเบิกโพลง

 

 

ไม่เพียงแต่ไม่รับยาพิษ เพียงเพราะเจินจิ้งอยากพบฝ่าบาทสักครั้ง ก็ถึงขั้นเอาลูกสาวของตนมาข่มขู่เขา จิตใจช่างโหดเ**้ยมนัก!

 

 

เหงื่อเย็นหลั่งไหลอยู่ที่ปลายหน้าผากทั้งสองข้างของหยางกงกง เขามิกล้าถ่วงเวลา คำนับพลางเอ่ย “กระหม่อมจะกลับไปทูลฝ่าบาทให้พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

กลับไปทั้งอย่างนี้ มีแต่เชื้อเชิญให้ฝ่าบาททรงพิโรธ แต่หากเกิดเรื่องกับองค์หญิงเจินเจิน ผลจะออกมาเป็นเช่นไร เขาเองก็ไม่กล้าคิด

 

 

หยางกงกงทิ้งองครักษ์เอาไว้ กลับไปพบฝ่าบาทด้วยตนเอง เฉินชิ่งตี้ได้ฟังคำกราบทูล สีหน้าเดือดดาล สาวเท้าพรวดพราดเสด็จไปยังตำหนักฉงหวา

 

 

“ฝ่าบาท ในที่สุดฝ่าบาทก็มาพบหม่อมฉัน” เจินจิ้งเห็นว่าเฉินชิ่งตี้เสด็จมา ดวงตาก็พลันเป็นประกาย

 

 

แน่นอนว่านางไม่อยากตาย มีเกียรติไร้เกียรติอย่างไร ตายไปก็ถือว่าตาย เมื่อตายไปแล้วก็เป็นเพียงก้อนดิน เกียรติยศและความมั่งคั่งก็มิได้เกี่ยวข้องกับนางอีกต่อไป

 

 

ให้นางตายเพื่อเกียรติยศของลูกชายและลูกสาวอย่างนั้นหรือ ชีวิตนางเป็นของนาง นางจะไม่ตายเพื่อใครทั้งสิ้น! อีกอย่างในวังหลังกินคนแห่งนี้ หากไม่มีมารดาคอยดูแล เด็กวัยเยาวทั้งสองมีหวังถูกรุมทึ้งจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกเป็นแน่!

 

 

เจินจิ้งดึงตัวเจินเจินคุกเข่าลงที่หน้าฝ่าเท้าของเฉินชิ่งตี้ ร้องไห้ดังดอกหลีโปรยปราย “ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้ว ขอให้เห็นแก่เจินเจิน ได้โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย ต่อไปนี้หม่อมฉันยินดีปิดประตูมิไปที่ใด ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนอีก”

 

 

นางเอ่ยไป มองเจินเจินทั้งน้ำตา ร่ำไห้พลางเอ่ย “เจินเจินจะไม่มีแม่ไม่ได้นะเพคะ!”

 

 

อย่างไรเลือดก็ข้นกว่าน้ำ ธรรมดาแล้วแม้ว่าเจินเจินจะค่อนข้างหวาดกลัวเจินจิ้ง ทว่าเวลานี้กลับร่ำไห้ตามไปด้วย “เสด็จพ่อ หม่อมฉันกลัวเพคะ หม่อมฉันไม่มีเสด็จแม่ไม่ได้นะเพคะ”

 

 

“เจินเจินอย่าได้กลัวไปเลย พ่อรับปากเจ้าว่าเจ้าจะมีแม่” เฉินชิ่งตี้โน้มตัวลงอุ้มเจินเจินขึ้นมา ใช้มือปลอบประโลมตบลงบนแผ่นหลัง ทันใดนั้นก็กดเข้าที่บริเวณหนึ่ง ศีรษะของเจินเจินเอนลง สลบลงไป

 

 

เฉินชิ่งตี้เผยรอยยิ้มเย็นให้เจินจิ้ง “สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือการถูกข่มขู่ อีกอย่าง ยังใช้ลูกสาวตัวเองมาข่มขู่ข้า! โหดร้ายถึงเพียงนี้ ยังอยากบีบคั้นข้าอีกงั้นหรือ”

 

 

“ฝ่าบาท” สีหน้าของเจินจิ้งสีประหนึ่งดิน จู่ๆ นางก็รู้สึกได้ว่า หลายปีที่ผ่านมา นางไม่เคยเดาใจเฉินชิ่งตี้ได้ถูกต้องเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

 

“กุ้ยเฟยวางใจ เจินเจินเพิ่งจะหกขวบ ผิงเกอยังไม่ครบสี่ขวบ ข้าจะหาแม่ที่เหมาะสมให้กับพวกเขาเอง เด็กๆ น่ะ มักจะลืมอะไรง่ายๆ เสมอ”

 

 

“ไม่!” เจินจิ้งหมดสิ้นความหวัง

 

 

“หยางกงกง ยังไม่ลงมืออีก!”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset