เฉินชิ่งตี้พินิจมองเจินเมี่ยวอย่างละเอียด
นางเพิ่งดึงปิ่นปักผมออกเมื่อครู่ แต่ด้วยความรีบร้อนจนเกินไป ผมดำขลับของนางจึงสยายตกลงมา สีหน้าของนางซีดขาว แต่ด้วยเลือดลมที่สูบฉีด ทำเอาริมฝีปากของนางที่แดงระเรื่อราวกลีบดอกท้อที่ส่งประกายมันขลับ
ดวงตาของนางกลมตาราวเมล็ดซิ่ง[1] ซึ่งคล้ายคลึงไท่เฟยมากทีเดียว แต่ก็แตกต่างจากดวงตารูปเมล็ดซิ่งทั่วๆ ไป แต่มุมปลายหางตาที่งดงามของนางนั้นทำให้ดวงตาของนางแคบกว่าปกติและเชิดสูงขึ้นจึงไม่ได้เพียงทำให้ดวงตาของนางงดงามเท่านั้น แต่ยังดูมีเสน่ห์กว่าคนทั่วไปอีก
นี่เองที่ทำให้เฉินชิ่งตี้สติหลุดลอย
หลังจากเผชิญความเงียบอันน่าอึดอัดอยู่ครู่หนึ่ง เจินเมี่ยวเริ่มเม้มปากแล้วเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ฝ่าบาทต้องการอะไรหรือเพคะ”
น้ำเสียงของนางใสกังวาน ส่วนดวงตาของนางแม้ว่าจะเปี่ยมเสน่ห์น่าหลงใหล แต่นัยน์ตาของนางกลับดำขลับราวกับดรุณีน้อยไร้เดียงสา
เฉินชิ่งตี้คิดว่า นี่คือจยาหมิง แน่นอนว่าไม่เหมือนไท่เฟย
ในปฐพีนี้ต่อให้มีคนที่รูปโฉมใกล้เคียงนางมากแค่ไหนก็ตาม แต่ไท่เฟยจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
แต่การที่มีสตรีที่รูปโฉมเหมือนไท่เฟยให้ได้มองเห็นอยู่เสมอเช่นนี้มีอะไรไม่ดีกันเล่า?
“จยาหมิง เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่” ในที่สุดเฉินชิ่งตี้ก็เอ่ยปากออกมา
เจินเมี่ยวสบตาเฉินชิ่งตี้
ว่ากันว่าดวงตาไม่อาจโกหกคนได้ ทว่าดวงตาของเขาลึกล้ำจนมองไม่เห็นเบาะแสใดๆ หรือว่าคนที่ชำนาญในการปกปิดเท่านั้นถึงจะเป็นคนที่ยิ้มได้จนถึงตอนสุดท้ายึงมองไม่เห็นเบาะแสใดๆาไม่อาจโกหกได้นนี้มีอะไรไม่ได้กันเล่าท่เฟยจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น”หน้าของนางซีดขาว แต่ด้วยเลือดลมสูบฉีดขอ
เจินเมี่ยวกำลังคิดว่าผู้ที่เจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างองค์ชายหก ตอนนี้ไปอยู่ที่ใดแล้ว
“เฉินเส่า[2]ไม่เข้าใจความหมายของฝ่าบาทเพคะ”
เฉินชิ่งตี้เพียงรู้สึกว่าใบหน้าที่คล้ายคลึงกับไท่เฟยนี้ขวางหูขวางตาอย่างยิ่ง โทสะของเขาเริ่มก่อตัวขึ้นมาในอกจึงแค่นยิ้มเอ่ยว่า “จยาหมิง เมื่อวานไท่เฟยเรียกพบเจ้า ช่วงสุดท้ายของชีวิตนางต้องการเจ้าอยู่เป็นเพื่อน แต่เจ้ากลับไม่มีความกล้าหาญที่จะยอมรับเลยหรือ เจ้าต่างจากคนอื่นอย่างไร แค่รูปโฉมของเจ้าก็ทำให้ไท่เฟยโปรดปรานได้แล้วหรือ”
เขายื่นมือออกมาเชยคางของเจินเมี่ยวขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
เจินเมี่ยวโกรธจนตัวสั่นเทา
คนผู้นี้มีเหตุมีผลหรือไม่ ถึงได้หึงนางเช่นนี้!
ใช่แล้ว ผู้ที่ชอบอนุของปู่ตัวเองได้ ยังหวังให้เขามีศีลธรรมอะไรอยู่อีก
ติดตรงที่…สวรรค์ไม่มีตาถึงได้ปล่อยให้คนเสียสติผู้นี้เป็นจักรพรรดิ!
“พูดออกมาสิว่าเจ้ากลัวไม่ได้เสวยสุขต่อ ดังนั้นแม้จะรู้ว่าไท่เฟยตายอย่างไม่เป็นธรรมแต่ก็ยังยืนมองอย่างเย็นชาโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำเดียว” เฉินชิ่งตี้เองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเองโกรธอะไรถึงไม่อยากปล่อยคนตรงหน้าตัวเองไป
สุภาษิตโบราณกล่าวเอาไว้ถูกต้องแล้ว หากกระต่ายจนตรอกก็กัดคนได้เช่นกัน เดิมทีเจินเมี่ยวก็ไม่ใช่คนอ่อนโยนอะไร แต่ติดตรงที่ว่าคนที่กำลังเสียสติอยู่ตรงหน้าตนคือจักรพรรดิ ตนจึงต้องเห็นแก่ความเป็นความตายและเกียรติศักดิ์ศรีของคนในจวนกั๋วกง โดยเฉพาะลูกชายทั้งสองคน นางจึงค่อยๆ ถอยหลังออกมา
แต่ตอนนั้นเองที่นางทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงยิ้มเย้ยหยันแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทอยากให้เฉินเส่าทำอย่างไรหรือเพคะ แก้แค้นให้ท่านย่าหรือ จะว่าไป ฝ่าบาทก็เป็นชายชาตรี เหตุใดต้องอิจฉาใบหน้าของเฉินเส่าด้วย”
“ผู้ใดอิจฉาใบหน้าของเจ้ากันเล่า!” เฉินชิ่งตี้โมโหจนกัดฟันแน่น “หุบปากเดี๋ยวนี้ ผู้ใดใช้ให้เจ้าเรียกตัวเองว่า ‘เฉินเส่า’ จำฐานะของตัวเองใส่หัวให้ดี!”
เจินเมี่ยวหัวเราะออกมา “ที่แท้ฝ่าบาทก็เห็นว่าฐานะของตัวเองสำคัญเช่นกันหรือ เฉินเส่าคิดว่าฝ่าบาทไม่ใส่ใจเรื่องอะไรสักอย่าง”
คำพูดนี้ของนางราวกับลูกธนูคมๆ ดอกหนึ่งที่แทงตรงเข้าไปในหัวใจของเฉินชิ่งตี้ จากนั้นก็ดึงออกมาอย่างไร้ความปรานี ทำให้เขาปวดร้าวเข้าไปในหัวใจและกระดูก เหลือเพียงบาดแผลลึกทิ้งเอาไว้
ท่าทางของเขาคล้ายกำลังยิ้ม คล้ายกำลังร้องไห้ จากนั้นจึงพึมพำออกมาว่า “ใช่แล้ว ด้วยฐานะแล้ว เรื่องราวของข้ากับไท่เฟยนั้นเป็นไปไม่ได้ ใครก็ตามที่มีความคิดเช่นนี้ล้วนสมควรตาย แต่ฐานะเช่นนี้ของข้า ข้าเลือกเองได้หรือ เจ้าว่ามาซิว่าข้าเลือกได้หรือ”
ก้นบึ้งหัวใจของเจินเมี่ยวเต็มไปด้วยความเย็นชา ไม่มีร่องรอยความสงสารปรากฏอยู่ จากนั้นจึงแค่นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านเลือกที่จะปล่อยใจตัวเองนั้นทำได้ แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องรู้จักเคารพหัวใจของผู้อื่นบ้าง แต่หากท่านสนใจสักหน่อย ไท่เฟยก็คงไม่ตายเช่นนี้!”
ท่านย่าเป็นสตรีที่สวยและฉลาดขนาดนั้น เกรงว่าคงเดาความคิดอ่านของเฉินชิ่งตี้ได้นานแล้ว หากเขาไม่หาเรื่องบีบบังคับจนท่านย่าไร้ทางไปเช่นนั้น มดยังรักชีวิตของมัน ใครบ้างเล่าที่ไม่กลัวตาย?
“อีกอย่าง หากฝ่าบาทไม่ได้เกิดในราชวงศ์ ไม่ได้มีฐานะเช่นตอนนี้ ไท่เฟยจะรู้ว่าฝ่าบาทเป็นใครได้อย่างไรเพคะ”
สิ่งนางปวดหัวมากที่สุดคือคนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเป็นปกติ แต่เมื่อไม่ได้ดั่งใจขึ้นมาก็เริ่มโทษฐานะของตัวเอง คนบางคนไม่เคยระลึกเลยว่าฐานะนำความสุขสบายอะไรมาให้ตนบ้างและเอาแต่จดจำความยากลำบากที่มีฐานะเช่นนี้
แต่เมื่อคนเรายังมีชีวิตอยู่ใครบ้างเล่าที่ไม่เผชิญความยากลำบาก คนที่อดอยากปากแห้ง ใช้ชีวิตไปวันๆ ก็มีเช่นกัน
“หุบปาก!”
เมื่อครู่อยากให้นางพูด ตอนนี้บอกให้นางหุบปากอีกแล้ว เอาแต่ใจเช่นนี้ไม่เสียแรงที่ได้เป็นจักรพรรดิ!
เจินเมี่ยวหัวเราะเยาะ
นางคงลืมไป คนที่จมดิ่งอยู่ในความทุกข์อันใหญ่หลวงและเริ่มเสียสติ ย่อมไม่อาจทนรับการท้าทายเช่นนี้ได้
เดิมทีคนทั้งสองก็อยู่ห่างกันไม่มากนัก เฉินชิ่งตี้ที่กำลังบันดาลโทสะเพียงต้องการให้คนตรงหน้าที่มีรูปโฉมคล้ายไท่เฟยหยุดพูดคำพูดที่ทำร้ายตนและยิ้มอย่างเย้ยหยันเช่นนี้ เขาจึงยื่นมือออกไปโอบหัวไหล่ของนางเข้ามาและเหม่อมองริมฝีปากแดงระเรื่อของนาง
เจินเมี่ยวเบิกตากว้าง นางเหม่อลอยอยู่พักหนึ่งจากนั้นจึงพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด
นางเองก็พอมีวรยุทธ์อยู่บ้าง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ที่ฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่ยังเล็กอย่างเฉินชิ่งตี้ แถมยังกำลังอยู่ในอาการบ้าคลั่งเช่นนี้ นางจะสู้ไหวได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งนางพยายามดิ้นรนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นการปลุกความเดรัจฉานในใจของบุรุษมากขึ้นเท่านั้น
เฉินชิ่งตี้ผลักตัวนางเข้าไปประชิดกำแพง ไม่อาจแยกแยะได้อีกว่าบุคคลเบื้องหน้าผู้นี้คือใคร เขารู้แต่เพียงว่าอยากกลืนคนผู้นี้ลงไปทั้งตัวและไม่อยากปล่อยมือ!
เมื่อรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่าย เจินเมี่ยวก็ยิ่งหวาดกลัวจึงกัดเฉินชิ่งตี้ลงไปเต็มแรง และในขณะที่เขากำลังเจ็บปวดอยู่นั้น นางก็มุดตัวออกมาทางใต้รักแร้ของเขา
เฉินชิ่งตี้เริ่มได้สติกลับคืนมา เขายกมือเช็ดริมฝีปากของตนและเมื่อเห็นรอยเลือดก็ทำท่าคล้ายยิ้มคล้ายบึ้ง “จยาหมิง เจ้ากล้าดีมาก!”
เจินเมี่ยวหายใจหอบและรู้สึกราวกับตัวเองเพิ่งรอดพ้นจากความตาย น้ำตาของนางไหลพราก นางกัดฟันพลางเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาทบังคับจนไท่เฟยตายไปแล้ว ตอนนี้เตรียมจะบังคับหม่อมฉันไปตายด้วยใช่หรือไม่เพคะ”
เฉินชิ่งตี้หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นใหม่ จากนั้นเอ่ยถามอย่างไร้อารมณ์ใดๆ ว่า “จยาหมิง เจ้าใสซื่อยิ่งนัก ในเมื่อเจ้ารู้ความจริงแล้ว เจ้ายังคิดว่าเราจะปล่อยเจ้าไปอีกหรือ”
เจินเมี่ยวอดไม่ได้ที่จะตะโกนด่าออกไป
ผู้ใดอยากจะรู้ความจริงที่น่าหดหู่เช่นนี้เล่า ท่านเองไม่ใช่หรือที่เรียกนางมาแล้วก็เสียสติจนโพล่งความจริงออกมา!
การตายครั้งนี้ไม่เป็นธรรมเกินไปแล้ว!
เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางของเฉินชิ่งตี้ที่คล้ายไม่ใช่การล้อเล่น หัวใจของนางก็เริ่มหนาวยะเยือก
“จยาหมิงจะเลือกผ้าแพรผูกคอหรือว่าสุราพิษดี เราสองพี่น้องอยู่ด้วยกันเช่นนี้ เราจะให้เจ้าเป็นคนเลือก”
ขอบคุณมากจริงๆ!
เจินเมี่ยวกัดฟัน แล้วเค้นคำพูดออกมาสองคำ “สุราพิษ”
นางไม่อยากสัมผัสความรู้สึกของการขาดอากาศหายใจอีก
เฉินชิ่งตี้ผลักประตูออกไป แล้วเรียกหยางกงกงมาสั่งการ
หยางกงกงพยายามเก็บสายตาแห่งความคลางแคลงใจเอาไว้แล้วรีบเดินออกไป
ไม่นานนัก สุราถ้วยหนึ่งก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าเจินเมี่ยว
“จยาหมิงมีอะไรอยากจะพูดอีกหรือไม่”
เจินเมี่ยวจ้องมองถ้วยสุรานั้น สุราสีทะมึนเช่นเดียวกับอารมณ์ของนางในตอนนี้
นางไม่อยากตาย ลูกของนางทั้งสองคนยังเล็ก ผู้ชายของนางก็ประจำอยู่ที่ด่านชายแดนอันห่างไกล นางเคยคิดว่านางจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับเขาไปอีกนานแสนนาน
หากมีหนทางให้เดินต่อ ผู้ใดอยากจะตายเล่า
[1] เมล็ดซิ่ง คือเมล็ดแอปริคอต รูปร่างคล้ายเมล็ดอัลมอนด์
[2] เฉินเส่า คำเรียกแทนตัวเองของภริยาขุนนาง