“ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง”
ชิงไต้ถูกฝึกมาเพื่อเป็นองครักษ์ลับ เมื่อนางยอมรับว่าผู้ใดเป็นนายตนก็ไม่ปิดบังสิ่งใดแม้เพียงน้อยนิด เพราะนางถูกสั่งสอนมาว่าต้องเป็นดวงตาให้นายมิใช่สมอง
“ต้าไหน่ไหน่ ในเมืองมีราษฎรลี้ภัยจากสงครามเข้ามากันมากมาย บ่าวไปสอบถามมาได้ความว่าเมืองเฮยมู่ถูกกองทัพชิงเป่ยล้อมไว้ได้หลายวันแล้ว ชาวบ้านกลัวว่าจะลุกลามถึงตนจึงได้อพยพมาที่นี่เจ้าค่ะ”
“ถูกล้อมไว้แล้วหรือ” เจินเมี่ยวกำมือแน่น
“ชาวบ้านที่อพยพมาพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ”
“มิน่าเล่าญาติผู้พี่ถึงได้ปิดข้าไว้” เจินเมี่ยวโบกมือคราหนึ่ง “ชิงไต้ เจ้าออกไปเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว”
ชิงไต้ปิดประตูแล้วออกไป เจินเมี่ยวเดินไปหยุดที่ข้างหน้าต่างแล้วยื่นมือผลักมันเปิดออก
เดือนสิบสองของเป่ยลี่นั้นหนาวมากอย่างยิ่ง ลมพัดหอบเข้ามาพร้อมกับความเย็นเฉียบ กวาดเอาความอบอุ่นในห้องให้หายไปทันที ด้านนอกมีต้นเหมยอยู่ต้นหนึ่งสั่นไหวไปมาภายใต้อากาศอันเหน็บหนาวนี้ และไม่มีดอกใดผลิบานออกมาเลยสักนิด
อากาศเช่นนี้ ทหารที่สวมเสื้อยัดดอกหลูเหล่านั้นจะทนได้หรือไม่ มิน่าเล่ากองทัพชิงเป่ยถึงล้อมไว้แต่มิบุกโจมตี แต่กลับคิดรบให้ชนะโดยมิต้องลงดาบอาบโลหิตแทน
แล้วแผนการของเขาเล่า คืออันใดกัน
หรือความจริงแล้วเขาเพียงหลอกให้นางยอมมาที่นี่แล้วหวังตายเอาดาบหน้ากันแน่
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้แล้วเจินเมี่ยวก็หน้าถอดสีขึ้นมา
“ญาติผู้น้อง ดูท่าทางเจ้าไม่ดีเลย หรือเป็นเพราะบุตรในครรภ์ก่อกวนเจ้า” เมื่อถึงยามกินข้าวเย็น เวินยาหันก็ถามขึ้นด้วยความห่วงใย
เจินเมี่ยววางตะเกียบลงแล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ญาติผู้พี่ เหตุการณ์ข้างนอกเป็นเช่นไร ข้าทราบหมดแล้ว”
มือที่จับตะเกียบของเวินยาหันสั่นขึ้นมา นางวางตะเกียบลงด้านข้างแล้วฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่า “เดิมนั้นกลัวว่าเจ้าจะเป็นกังวลจึงมิได้เล่าให้ฟัง ระยะนี้พี่เขยเจ้ายุ่งอยู่กับการจัดการที่พักให้กับชาวบ้านที่อพยพมา สถานการณ์ที่เมืองเฮยมู่ไม่สู้ดีนัก ได้ยินว่ามีทหารมาแย่งชิงเสื้อผ้ากันหนาวของชาวบ้านด้วย”
เจินเมี่ยวใจหายวาบขึ้นมา “แย่งชิงของของชาวบ้าน แล้วเกิดอันใดขึ้นอีก”
เวินยาหันรู้สึกลังเลอยู่บ้าง
“ญาติผู้พี่ ท่านไม่พูด ไม่ให้ข้ารับรู้สิ่งใด ข้ายิ่งไม่วางใจ”
เวินยาหันจึงถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาว่า “ทหารที่ก่อนเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นถูกนำไปตัดคอแขวนไว้ที่กำแพงเมือง ได้ยินว่าตอนนี้ทุกอย่างก็สงบลงแล้ว”
“ความสงบเช่นนี้นับเป็นความสงบได้หรือ เกรงว่าซื่อจื่อคงต้องลำบากมากขึ้นไปอีกแน่” เจินเมี่ยวกัดริมปากตน “ที่แท้เขาก็แค่หลอกข้า”
เวินยาหันตบหลังมือเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “ญาติผู้น้อง เจ้าทำใจให้สบายเถิด เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องดูแลปกป้องเขาให้ดี”
เอ่ยถึงตรงนาง นางก็เกิดความรู้สึกอันหนักอึ้งขึ้นมา
เมื่อใดที่เมืองเฮยมู่ถูกตีแตก เมืองเป่ยปิงย่อมสูญเสียงเกราะป้องกัน ไม่ช้าก็เร็วเพลิงสงครามก็จะพัดหอบมาที่เป่ยลี่ หันจื้อหย่วนเป็นนายอำเภอ เกรงว่าคงเป็นคนแรกที่ถูกลงดาบแล้ว
“จื้อหย่วนบอกให้ข้าช่วยติดต่อกับสตรีแต่ละบ้านไว้ เราจะทำเพิงแจกโจ๊ก หากเจ้าอยู่แต่เรือนแล้ววุ่นวายใจก็ออกไปช่วยข้าเป็นไร”
เจินเมี่ยวมิคิดอันใดก็รับปากไปทันที
มีเรื่องให้ทำย่อมดีกว่าการคิดเรื่องวุ่นวายไปวันๆ นัก
เพิงแจกโจ๊กนั้นผุดขึ้นมากมายดั่งหน่อไม้ยามวสันต์หลังพิรุณผ่านพ้น ทุกที่จะมีแถวต่อกันยาวเหยียด โดยเฉพาะเพิงที่สร้างขึ้นข้างศาลาว่าการ
ที่เรือนพักชั่วคราว “รีบเดินเร็วเข้า เพิงแจกโจ๊กข้างศาลาว่าการแจกอีกแล้ว” คนไม่น้อยต่างรีบลุกขึ้นทันที
ผู้ที่มาใหม่จึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ที่นี่ห่างจากศาลาว่าการไม่น้อย เหตุใดต้องไปไกลเพียงนั้น ใกล้ๆ นี้ก็มีเพิงแจกโจ๊กเช่นกันมิใช่หรือ ข้าเพิ่งไปรับมา”
คนทั้งหลายไม่สนใจที่จะตอบคำถามสักนิด ต่างรีบวิ่งออกไปทันที แต่มีคนผู้หนึ่งที่ใจดีเอ่ยอธิบายว่า “เจ้าเพิ่งมาใหม่คงไม่รู้ว่าเพิงข้างศาลาว่าการนั้นฮูหยินของนายอำเภอเป็นคนจัดการสร้างมันขึ้นมา ทั้งยังใจดีและจริงใจยิ่ง นอกจากทุกคนจะได้หมานโถวคนละหนึ่งลูกแล้วยังได้น้ำแกงรสเปรี้ยวเผ็ดใส่วุ้นเส้นอีกถ้วย น้ำแกงถ้วยนี้มีสีแดงน้ำเป็นมัน ทั้งหอมทั้งเผ็ด กินคู่กับหมานโถวแล้ว เฮ้อ อร่อยกว่ารสชาติอาหารที่กินในเรือนตนก่อนหน้านี้เสียอีก เมื่อกินเสร็จท้องจะอุ่นร้อนยิ่ง ไม่ต้องหนาวเลย เอาล่ะ ข้าไม่พูดให้มากความแล้ว ขอตัวไปก่อนล่ะ” พูดจบเขาก็รีบเดินออกไปด้านนอก ทำให้ไม่ทันระวังชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง
เมื่อผู้ที่เดินเข้ามาถูกชนล้มไปกองกับพื้นก็ร้องเสียงต่ำออกมา
“ไม่มีตาหรือไร!” คนผู้นั้นก้มมอง เมื่อเห็นว่าเป็นสตรี ทั้งบนตัวยังมีแต่ฝุ่น ศีรษะมีผ้าที่ดูไม่ออกว่าเป็นสีใดพันไว้ มองเห็นหน้าไม่ถนัด เขาจึงไม่เอ่ยอันใดให้มากความ พริบตาก็หายตัวไปทางหน้าประตู
สตรีผู้นั้นคล้ายหมดแรงแล้ว นางลุกไม่ได้จึงยื่นมือให้คนข้างๆ พลางเอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า “ญาติผู้พี่ ประคองข้าหน่อยเถิด”
บุรุษที่อยู่ข้างกายก็มีสภาพน่าเวทนาไม่ต่างกัน ใบหน้ามอมแมมจนดูไม่ออก เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยื่นมือออกไปดึงนางขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้านี้ช่างวุ่นวายจริงๆ มิใช่กระดาษเสียหน่อย ผู้อื่นชนแค่นี้ก็ล้มเสียแล้ว”
เมื่อนางถูกดึงขึ้นมาก็เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดจา
“ไป มิได้ยินที่ผู้อื่นพูดหรือ เพิงโจ๊กข้างศาลาว่าการมีหมานโถวแจก รีบไปกันเถิด”
“ญาติผู้พี่ ข้าเดินไม่ไหวจริงๆ ให้ข้ารอท่านอยู่ที่นี่ได้หรือไม่”
“รอที่นี่ ข้าคนเดียวจะเอามาสองลูกได้อย่างไร หรือเจ้าจะไม่กิน”
“เช่นนั้นก็ไปเถิด” เห็นชัดว่านางหิวมากอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่กล้าพูดมาก ได้แต่รีบเดินตามเขาไปที่ศาลาว่าการ
เมื่อเห็นแถวที่ยาวเป็นหางว่าว เวินยาหันก็หันไปเอ่ยกับเจินเมี่ยวด้วยรอยยิ้มว่า “ญาติผู้น้อง ความคิดเจ้าช่างดีจริงๆ เป่ยลี่ข้าวแพงแป้งถูก หมานโถวหนึ่งลูกกับน้ำแกงหนึ่งถ้วย ถูกกว่าโจ๊กถ้วยหนึ่งเป็นไหนๆ แต่เมื่อพวกเขาได้กินกลับอิ่มไปครึ่งท้องแล้ว โดยเฉพาะน้ำแกงนี้ ไม่เพียงขับไล่ความหนาว รสชาติยังอร่อยอีกด้วย แม้แต่ข้ายังซดไปเกินครึ่งถ้วยแล้ว”
“ข้าแค่ชมชอบทำอาหารจึงคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้เท่านั้นเอง สงสารก็แต่ชาวบ้านที่อพยพมาที่นี่ อากาศเช่นนี้ คงต้องทรมานมากเป็นแน่”
เจินเมี่ยวมองแถวที่ยาวเฟื้อยตรงหน้าแล้วก็รู้ตัวเองดีว่าช่วยได้เพียงเท่านี้ เมื่อคิดถึงหลัวเทียนเฉิงที่ไม่ทราบเป็นตายร้ายดี นางก็ยิ้มไม่ออกสักนิด
เวินยาหันถอนหายใจเสียงแผ่ว แล้วเอ่ยเตือนว่า “ญาติผู้น้อง เจ้าออกมาพักใหญ่แล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด”
ที่นางพาเจินเมี่ยวออกมาทุกวันเพราะกลัวว่ามัวแต่กลัดกลุ้มกังวลอยู่แต่ในห้อง แต่ก็ไม่กล้าให้นางอยู่ข้างนอกนานเกินไป
“อืม” เจินเมี่ยวพยักหน้า นางจึงเดินกลับไปโดยมีไป๋เสาและชิงไต้คอยคุ้มครองอยู่ด้านข้าง
พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น นางจึงหันไปมอง กลับเห็นสตรีที่มองไม่ออกว่ามีรูปโฉมเช่นไรกำลังจ้องนางอย่างตกตะลึง ถ้วยกระเบื้องที่ไร้ฝาปิดกำลังหมุนวนอยู่ น้ำแกงกระเด็นเต็มพื้น เพราะชุดของนางสกปรกเกินไปจึงมองไม่ออกว่ามันเปียกหรือไม่
แรกเริ่มบุรุษข้างกายนั้นตกใจยิ่ง ต่อมาจึงเงื้อมือขึ้นฟาดนางคราหนึ่ง “เช่นนี้ของกินก็หกหมด เจ้าอยากตายหรือไร”
คิดไม่ถึงว่าสตรีที่ยอมว่านอนสอนง่ายมาโดยตลอดกลับระเบิดโทสะออกมา นางผลักเขาโดยแรงแล้ววิ่งเข้าไปหาเจินเมี่ยว
ชิงไต้เข้าไปขวางหน้าเจินเมี่ยวไว้ แล้วจ้องสตรีที่พุ่งเข้ามาอย่างพร้อมตั้งรับ
สตรีผู้นี้ฝีเท้าไร้น้ำหนัก เพียงมองก็รู้ว่าอ่อนแอยิ่ง เจินเมี่ยวมิได้ให้ชิงไต้ลงมือทันที แต่กลับถอยหลังไปหลายก้าวเพื่อจ้องมองหน้านาง พลันรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันใด
“พี่สะใภ้ ท่านคือพี่สะใภ้ข้าใช่หรือไม่” สตรีผู้นั้นวิ่งเข้ามาใกล้ แต่ก็เซถลาล้มลงบนพื้น นางไม่สนความเจ็บปวดนั้นสักนิด แต่พยายามที่จะเงยหน้าขึ้นมองเจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวใส่หมวกกันลมมาด้วย เมื่อได้ยินวาจานี้ก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่เมื่อมองใบหน้าแตงกวาที่ผอมตอบนั้นแล้ว ทั้งเสียงที่แสนคุ้นหู นางก็พลันนึกขึ้นมาได้ทันทีว่าสตรีผู้นี้คือใคร
เจินเมี่ยวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังคงเอ่ยกับชิงไต้อย่างเด็ดขาดว่า “พานางกลับไปด้วย!”
คล้ายว่าเมื่อได้ยินวาจานี้แล้ว ใจของนางก็ผ่อนคลายลงจึงหมดสติไปเพราะมิอาจทนไหวอีกแล้ว
เมื่อเห็นว่าชิงไต้จะพานางไป บุรุษผู้นั้นก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเป็นสามีของนาง พวกท่านคือใคร เหตุใดต้องพานางไปด้วยเล่า”
“พาเขาไปด้วย” เจินเมี่ยวเอ่ยกำชับโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คนที่มาเข้าแถวต่างซุบซิบกัน แต่สำหรับชาวบ้านที่กำลังตกทุกข์เหล่านี้แล้ว หมานโถวหนึ่งลูก กับน้ำแกงร้อนๆ หนึ่งถ้วยนั้นสำคัญกว่าเรื่องซุบซิบใดๆ ทั้งสิ้น ครั้นทหารที่เฝ้าอยู่เอ่ยตำหนิเสียงดังด้วยสีหน้าเย็นชาก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอีก เมื่อรับอาหารไปแล้วก็หามุมมุมหนึ่ง แล้วกินอย่างตะกละตะกลาม
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อคนกลุ่มนี้สลายตัวออกไป แถวก็ยังคงยาวเฟื้อยเช่นเดิม แต่ไม่มีผู้ใดจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้อีกแล้ว
ปากของเจินเมี่ยวกลายเป็นสีขาว นางจิบนมอุ่นๆ ที่ไป๋เสานำมาให้ไปสองคำก็วางลงบนโต๊ะสลักลายบุปผาที่ตั้งอยู่ข้างกาย ความตื่นตระหนกในใจจึงค่อยๆ สงบลงได้
เวินยาหันที่นั่งอยู่ด้านข้างคล้ายจะพูดบางอย่างแต่ก็ชะงักไป
“ข้าทำให้ญาติผู้พี่ต้องวุ่นวายอีกแล้ว”
“อย่ากล่าวเช่นนั้น หากไม่มีญาติผู้น้อง ข้าหรือจะมีวันนี้ บ้านเรายากจนนัก แต่เมื่อญาติผู้น้องมา เรากลับได้อาศัยบารมีไม่น้อย แต่ไม่ทราบว่าแม่นางผู้นั้นเป็น…”
เจินเมี่ยวรู้ว่ามิอาจปิดบังเรื่องนี้ไว้ได้ เมื่อเห็นว่าในห้องมีเพียงไป๋เสาและชิงไต้ จึงถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “นางเป็นคุณหนูใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกง เป็นน้องสาวของสามีข้า”
“เป็นไปได้อย่างไร” เวินยาหันเบิกตาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
คุณหนูสูงศักดิ์จะมีสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ได้อย่างไร มันช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ
“ใช่ ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าคนตายจะฟื้นขึ้นมาได้ ทั้งยังมีสภาพเช่นนี้อีกด้วย”
เจินเมี่ยวเล่าเรื่องหลัวจือหยาให้เวินยาหันฟังอย่างรวบรัด นางถึงกับเบิกตาถลน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยออกมาว่า “คุณหนูหลัวผู้นี้ ช่างหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ”
เอ่ยถึงตรงนี้นางก็ส่ายหน้า “เป่ยลี่อยู่ติดชายแดน จึงมีคนต่างเผ่มาเยือนไม่น้อย ข้าจึงพอได้ยินมาบ้างว่าองค์ชายของหมานเหว่ยอภิเษกกับสตรีสูงศักดิ์จากต้าโจว”
เวลานี้เองที่เสียงฝีเท้าหนึ่งได้ดังขึ้น สาวใช้ชุดสีเขียวเข้ามารายงานว่า “แม่นางผู้นั้นฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวลุกขึ้น “ญาติผู้พี่ ข้าขอเข้าไปดูนางสักครู่”
ตอนที่เดินเข้าไปหลัวจือหยากำลังนั่งอยู่บนเตียงและเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดแล้ว นางห่อตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา เมื่อได้ยินเสียงก็หันไปมองอย่างรวดเร็ว เมื่อแสงแยงตานาง นางก็เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “พี่สะใภ้”
เจินเมี่ยวได้แต่ถอนหายใจอยู่ในอก สตรีตรงหน้ามีแต่ความระแวดระวังขลาดกลัวแขวนอยู่เต็มหน้า นางคือคุณหนูผู้ดื้อดึงเด็ดเดี่ยวผู้นั้นจริงๆ หรือ
เจินเมี่ยวเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเล็กข้างเตียง ชิงไต้คอยยืนอยู่ด้านข้างอย่างคล้ายตั้งใจคล้ายมิตั้งใจ
“เมื่อออกจากเรือนไป ผู้ใดก็มีโอกาสประสบกับความทุกข์ยากทั้งสิ้น หากแม่นางต้องการให้ช่วยเหลือสิ่งใด และข้าสามารถช่วยได้ก็จะพยายามช่วยเต็มที่ แต่คำว่า ‘พี่สะใภ้’ ข้ากลับมิกล้ารับไว้”
“พี่สะใภ้ท่าน…” ความตกใจและโมโหพาดผ่านใบหน้าหลัวจือหยาไป แต่อย่างไรนางก็ทนลำบากมาได้ถึงสองปีกว่าจึงไม่มีความวู่วามเช่นในอดีต นางได้แต่กัดฟันเบิกตามองเจินเมี่ยวโดยไม่พูดอันใด
เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงเรียบว่า “สามีข้ามีน้องสาวไม่กี่คน พวกนางต่างอยู่ในจวนทั้งสิ้น มีเพียงคนเดียวที่อภิเษกกับองค์ชายแห่งหมานเหว่ย แต่ระหว่างการเดินทางกลับประสบเคราะห์ร้ายเข้า”