จดหมายนี้ถูกรวมไปกับห่อผ้าห่อใหญ่ที่จัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วส่งทางแดนเหนือ เมื่อบรรดาทหารทราบว่าเป็นของที่ฮูหยินของแม่ทัพหลัวส่งมาให้ต่างก็กรูเข้ามาทันที
ทำอย่างไรได้ ก็เนื้อวัวแห้งที่ซื่อจื่อนำมาเมื่อคราแรกนั้นอร่อยเหลือเกิน เล่ากันว่าเป็นฝีมือของภรรยาซื่อจื่อเอง
หลัวเทียนเฉิงรักษาเนื้อวัวแห้งเอาไว้ได้แต่มิอาจรักษาจดหมาย จึงถูกเซียวอู๋ซังแย่งไป
เมื่อหลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนั้นก็พุ่งเข้าไปแย่งจดหมายมาโดยมิสนใจเนื้อวัวแห้งอีก
เซียวอู๋ซังเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “เห็นหรือไม่ นี่เรียกว่าแผนล้อมเหว่ยช่วยจ้าว!”
“แม่ทัพเซียวยอดเยี่ยมไปเลย เนื้อวัวแห้งชิ้นใหญ่นี้มอบให้ท่านแล้วกัน”
คนกลุ่มหนึ่งต่างแบ่งเนื้อวัวแห้งกัน หลัวเทียนเฉิงถือจดหมายแนบอกไว้แล้วแอบหลบไปอ่านมันเงียบๆ คนเดียวอย่างระแวดระวัง
เมื่อเกศาข้ายาวถึงเอว แม่ทัพกลับมาได้หรือไม่
แค่เพียงเห็นประโยคแรกก็คล้ายว่ามีผึ้งน้อยตัวหนึ่งบินเข้ามาต่อยที่ใจเขา มันทั้งเจ็บทั้งชาและทำให้เขาลืมที่จะอ่านประโยคต่อไป ภายในหัวมีแต่ภาพของเจินเมี่ยว
ผมนางก็ยาวถึงเอวมาตลอด….หมายความว่าเจี๋ยวเจี่ยวของเขาอยากจะพบกับเขาในตอนนี้เลยใช่หรือไม่
เหอะๆๆ เขารู้แล้ว เจี๋ยวเจี่ยวของเขาคิดถึงเขานั่นเอง!
บรรยากาศพลันแปลกประหลาดไป จนคนทั้งหลายลืมแม้กระทั่งเคี้ยวเนื้อวัวแห้งในปากตน
แม่ทัพใหญ่หลัวได้ชื่อว่าเป็นเทพสังหารหน้าหยกของพวกเขายิ้มเคลิบเคลิ้มเช่นนี้เป็นด้วยหรือ!
มีคนหนึ่งสะกิดอู๋เซียวซัง “แม่ทัพเซียว แม่ทัพหลัวเป็นอันใดหรือ ท่านสนิทกับเขาที่สุด ไปดูสักหน่อยเถิด”
อู๋เซียวซังพยักหน้าโดยแรงคราหนึ่ง
หรือจดหมายนั้นมีอันใดพิษประหลาดอันใด
หลัวซื่อจื่อ ข้ามาช่วยท่านแล้ว!
เขาเดินเข้าไปโบกสะบัดมือตรงหน้าหลัวเทียนเฉิง เมื่อเห็นเขายังคงยิ้มเคลิบเคลิ้มไร้การตอบสนอง จึงแย่งจดหมายนั้นมาทันที
หลัวเทียนเฉิงคล้ายคนตื่นจากฝัน “บัดซบ รีบเอาจดหมายคืนข้ามา!”
เขาพุ่งเข้าไปแต่แย่งมาได้เพียงหน้าสุดท้าย เซียวอู๋ซังมองบทกลอนนั้นแล้วก็อึ้งงันไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “แม่ทัพหลัว จยาหมิงเซี่ยนจู่ช่างเขียนกวีได้ไพเราะนัก!”
หลัวเทียนเฉิงก็อึ้งงันไปเช่นกัน
เขียนกวีได้ไพเราะ คือเรื่องราวใดกัน ภรรยาเขาทำเช่นนั้นได้ด้วยหรือ
อืม แต่ก็มิผิดนัก บทกวีที่ขึ้นต้นประโยคนั้นช่างไพเราะจริงๆ มันงดงามจนใจของเขาแทบจะลอยออกมาแล้ว
ประโยคหลังเขียนอันใดกันหรือ
เซียวอู๋ซังผู้สมควรตาย!
“เซียวอู๋ซังเอาจดหมายคืนมาให้ข้า!”
“แม่ทัพหลัว คิดรังแกคนไร้คู่ครองเช่นเรางั้นหรือ เฮอะ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจยาหมิงเซี่ยนจู่จะมีความรักที่ลึกซึ้งเช่นนี้ ทั้งยังมีความสามารถเรื่องบทกวีจนเขียนออกมาได้ดีเช่นนี้”
คนทั้งหลายต่างเริ่มสงสัยว่าเกิดอันใดขึ้นจงล้อมวงเข้ามาถามว่า “เขียนอันใด เขียนอันใดหรือ”
“เซียวอู๋ซัง!” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเน้นย้ำทีละคำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความข่มขู่
เซียวอู๋ซังโบกมือไปมา “พวกเจ้าดูเถิด แม่ทัพหลัวมิอนุญาตให้ข้าอ่าน ข้าไหนเลยจะกล้า มิเช่นนั้นเขาคงต่อยข้าจนจุกแน่ พวกเจ้าทั้งหลายก็เพียงหาเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งวงล้อมดูแล้วร้องว่า ‘ดีๆ’ เท่านั้นแล”
“เฮอะ แม่ทัพเซียว ท่านกลัวแม่ทัพหลัวก็พูดมาตรงๆ เถิด!” เพราะอยากรู้ว่าในจดหมายนั้นเขียนอันใดไว้จนใจคันยุบยิบไปหมดจึงใช้วิธีเอ่ยประชดเพื่อกระตุ้นอีกฝ่าย
บางคนก็ถอนหายใจยาว แล้วหันไปมองหลัวเทียนเฉิงด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ท่านแม่ทัพ ข้าโตป่านนี้แล้วแท้ๆ อย่าว่าแต่ภรรยาเลย แม้แต่มือของสตรีแน่งน้อยก็มิเคยได้จับ บนสนามรบกระบี่ไร้ตา จึงไม่รู้เลยว่าจะได้กลับไปหรือไม่ เฮ้อ แม้แต่จดหมายจากบ้านหน้าตาเป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้เลย!”
“เอ้อเลิ่งจื่อ เจ้าพูดเหลวไหลอันใด อย่าพูดจาอัปมงคล!” มีคนผู้หนึ่งผลักเขากระเด็นไปส่วนตนเองกลับเข้าไปกอดขาหลัวเทียนเฉิงไว้ “แม่ทัพหลัว ข้าก็เหมือนกันขอรับ!”
“ใช่ แม่ทัพหลัว คิดเสียว่าสงสารพวกเราเถิด จดหมายจากจวนท่านเขียนกลอนอันใดไว้หรือ ให้แม่ทัพเซียวอ่านสักหน่อยเถิด”
หลัวเทียนเฉิงยกขาขึ้นคิดจะเตะทหารผู้นั้นให้กระเด็นไป แต่เขากลับกอดแน่นไม่ขยับเขยื้อนดุจน้ำตาลเคี่ยว
เขากวาดตามองคราหนึ่ง เมื่อเห็นว่าคนทั้งหลายต่างกำลังเคี้ยวเนื้อวัวแห้งทั้งยังมองเขาด้วยสายตาน่าสงสาร ก็อดแสยะยิ้มมิได้
เหลือเกินจริงๆ!
เขาคิดแล้วว่าไม่ควรจะช่วยเจ้าคนสมควรตายกลุ่มนี้ออกมาจากวงล้อมศัตรูเมื่อครานั้นเลย
เนื้อวัวแห้งของเขา จดหมายของเขากลายเป็นของสาธารณะตั้งแต่เมื่อใดกัน
เขาถอนหายใจอย่างหมดหนทางแล้วเอ่ยกับเซียวอู๋ซังว่า “อ่านได้แค่กลอนเท่านั้น ห้ามอ่านเนื้อความอื่นเด็ดขาด!”
เซียวอู๋ซังส่งสายตาภาคภูมิใจไปให้คนทั้งหลาย เขากระชับจดหมายในมือมั่นแล้วอ่านออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
คนทั้งหลายฟังแล้วก็ถึงกับอึ้งงันไป
ว่ากันตามตรงแล้วบทกวีนี้ก็มิได้แปลกใหม่ งดงาม สละสลวยปานนั้นหรอก แต่มันกลับตรงกับสภาพจิตใจของทุกคนในยามนี้ยิ่ง
พวกเขาอดคิดไม่ได้ว่าหากมีสตรีผู้อยู่ไกลนับพันลี้กำลังคิดถึงและเฝ้ารอให้พวกเขากลับไปขณะที่กำลังสู้รบอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในสนามรบ เช่นนั้นเมื่อยามต้องเผชิญหน้ากับศัตรูและเงาดาบ พวกเขาจะกล้าหาญขึ้นอีกสักหน่อยหรือไม่
“เมื่อเกศาข้ายาวถึงเอว แม่ทัพกลับมาได้หรือไม่ ชีวิตนี้มีไว้ให้ท่านรัก แต่กลับต้องห่างจากกันไกล” มีคนผู้หนึ่งเอ่ยพึมพำขึ้นมา ขอบตาก็แดงระเรื่อ
เขากำหมัดแน่นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ภรรยาข้าตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว แต่ข้าก็ถูกสั่งมาที่นี่ ข้าต้องมีชีวิตกลับไปให้ได้ จะไม่ยอมให้ลูกน้อยขาดพ่อตั้งแต่ยังไม่เกิดเด็ดขาด”
“ข้าก็เช่นกัน ไม่ง่ายเลยกว่าที่สาวน้อยที่ข้าหมายหมั้นไว้ในใจตั้งแต่เยาว์วัยจะเติบโตจนถึงวัยเหมาะสม ข้าจะไม่ยอมให้ผู้อื่นแย่งชิงไปแน่! ”
“ข้าด้วยๆ ภรรยาข้าบอกว่าหากข้ามิเอาชีวิตรอดกลับไป นางคงเลี้ยงบุตรสามคนเพียงลำพังไม่ไหว คงต้องแต่งงานใหม่แล้ว ถึงตอนนั้นคงมีบุรุษอื่นมานอนเคียงภรรยาข้าและทุบตีบุตรข้าแน่!”
คนทั้งหลายต่างพูดพร่ำสวนเสกันไปหมด แต่ท่าทีกลับแน่วแน่ยิ่ง
เซียวอู๋ซังเอาจดหมายคืนให้หลัวเทียนเฉิงแล้วตบบ่าเขาอย่างทอดถอนใจว่า “ดูเถิด แม่ทัพหลัว บทกวีของจยาหมิงเซี่ยนจู่ทำให้พวกเขาเกิดจิตใจที่แน่วแน่มากยิ่งขึ้น เมื่อมีบุรุษที่มิอาจตัดใจละทิ้งภรรยาเหล่านี้อยู่ ยังกลัวว่าจะรบไม่ชนะอีกหรือ”
หลัวเทียนเฉิงทั้งขมขื่นทั้งภาคภูมิอยู่ในใจ เขาบีบจดหมายแน่นแล้วพยักหน้า “ใช่!”
กล่าวจบก็พลันชะงักไป
เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่ตัวบัดซบใดที่บอกว่ามิเคยจับแม้กระทั่งมือสตรี
เมื่อเห็นกระแสสังหารแผ่ออกมาจากตัวหลัวเทียนเฉิง คนทั้งหลายก็รีบแยกย้ายสลายตัวคล้ายนกแตกรังทันที
“กลับมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะตีพวกเจ้าทุกคนให้ตายเลยทีเดียว!”
ครั้นเห็นพวกเขาวิ่งไปไกลแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็ยืนพิงต้นไม้ใหญ่พลางก้มหน้าอ่านจดหมายอีกครั้ง
เมื่ออ่านถึงท่อนที่ว่า ‘บังเอิญได้ยินบทกวีนี้มา’ หลัวเทียนเฉิงก็หยักยกมุมปากขึ้น เจี๋ยวเจี่ยวของเขาช่างถ่อมตัวนัก การนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนมาเขียนเป็นบทกวีที่แสดงถึงความคิดถึงเขาเช่นนี้มีอันใดน่าเขินอายจนพูดไม่ได้ถึงกับต้องบอกว่าบังเอิญได้ยินมากันเล่า ชาติก่อนเขาเป็นคุณชายผู้หลงใหลในกวี มีบทกลอนบทกวีใดที่เขามิได้เคยอ่านบ้าง แต่กวีบทนี้เขามิเคยได้ฟังเลย
ไม่ทราบว่าเป็นความบังเอิญหรือเป็นความตั้งใจแต่บทกวีนี้ก็ได้ถูกพูดปากต่อปากกันไปอย่างรวดเร็วภายในกองทัพ กระทั่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากำลังใจและพลังของบรรดาทหารกลับคือมาอีกครั้งจากที่มีความทดท้อต่อสภาพอากาศอันไม่คุ้นชินนี้
สามวันให้หลังหลัวเทียนเฉิงก็ตัดสินใจเริ่มบุกก่อนจึงสามารถชิงเอาเมืองเฮยมู่ที่ถูกกองทัพชิงเป่ยยึดไปกลับมาได้ ทั้งยังขับไล่ข้าศึกให้ถอยทัพไปได้ถึงร้อยลี้
การบุกครานี้มีทั้งคนบาดเจ็บและหลับไปตลอดกาลมิอาจได้พบกับบิดามารดา ภรรยาตนอีก แต่คนส่วนมากที่ยังคงอยู่กลับมีความหวังในชัยชนะมากยิ่งขึ้น
หลัวเทียนเฉิงแผนการภายใต้การนำของหลัวเทียนเฉิงนั้นเฉียบขาดยิ่ง ในกองทัพแห่งนี้ตำแหน่งของเขาเป็นรองเพียงแค่แม่ทัพกองพลพยัคฆ์มังกร แต่ชื่อเสียงของเขากลับกลบแม่ทัพเก่าแก่ที่นำทัพทหารมานานปีไปเสียสิ้น
ในเวลาเช่นนี้ไม่ทราบจริงๆ ว่าผู้กันแน่ที่ได้เอ่ยถึงบทกวีนั้นของจยาหมิงเซี่ยนจู่ขึ้นมา บางคราเหตุการณ์เช่นนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้…การรบอันน่าอัศจรรย์มักมาคู่กับเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์เสมอ
ต่างลือกันว่าเพราะแม่ทัพหลัวได้รับจดหมายจากภรรยาจึงสามารถร่วมเป็นร่วมตายกับเหล่าทหารทั้งหลายจนช่วงชิงชัยชนะยากลำบากนี้มาได้
เมื่อสนามรบถูกปกคลุมด้วยสีของดอกท้อ ทุกอย่างช่างเป็นใจให้ผู้คนนัก ข่าวนี้จึงแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่คาดคิด แม้กระทั่งผู้ส่งสารไปยังเมืองหลวงก็ยังตั้งใจเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เจาเฟิงตี้เบิกบานใจยิ่ง จึงเอ่ยชมเชยต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ที่อยู่เต็มท้องพระโรงว่า “ขุนนางหลัวเป็นดาวแม่ทัพที่ยากจะพบเห็นได้ในรอบร้อยปีจริงๆ”
แน่นอนว่าขุนนางทั้งหลายย่อมต้องแสดงความยินดีเบิกบานกันทั่วหน้า
การยึดเมืองคืนมาได้นั้นเป็นผลงานที่ไม่มีผู้ใดกล้าพูดคำว่า ‘ไม่’ ออกมาได้แน่
และเรื่องที่จดหมายจากเจินเมี่ยวได้ปลุกพลังของเหล่าทหารขึ้นมาก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ครั้นเจาเฟิงตี้กลับถึงวังหลัง จ้าวหวงโฮ่วก็เอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินมาว่าเรื่องนี้เป็นความดีความชอบของจยาหมิงเซี่ยนจู่ด้วยใช่หรือไม่เพคะ”
“เรื่องนี้เราไม่รู้จริงๆ แต่เจียเหมิงเซี่ยนจู่กับขุนนางหลัวนั้นเป็นคู่สร้างคู่สมกันอย่างไม่ต้องสงสัยเลยเชียว”
จ้าวหวงโฮ่วปิดปากผลิยิ้ม
“หวงโฮ่วก็สนใจเรื่องนี้ด้วยหรือ”
จ้าวหวงโฮ่วชำเลืองมองเจาเฟิงตี้คราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงเข้ามาในวังแล้วเอ่ยถึงเรื่องๆ หนึ่งกับหม่อมฉันเพคะ”
เจาเฟิงตี้ฟังจบก็เลิกคิ้วขึ้น “ฮูหยินผู้เฒ่าพูดว่าจยาหมิงเซี่ยนจู่เป็นดาวแห่งความสุขของขุนนางหลัว หากได้อยู่เคียงคู่กันก็อาจจะทำให้สถานการณ์วุ่นวายกลายเป็นสงบได้งั้นหรือ”
“เพคะ ฮูหยินผู้เฒ่ายังพูดอีกว่า ครึ่งเดือนก่อนจยาหมิงก็เริ่มรับรู้ได้แล้วว่าแม่ทัพหลัวจะต้องรบชนะอย่างแน่นอน ยามนี้พระองค์ก็ทรงดูเอาเถิด มิใช่ทุกอย่างเริ่มสงบลงแล้วหรือเพคะ”
ที่จ้าวหวงโฮ่วพยายามที่จะช่วยผลักเรือลงน้ำเช่นนี้ก็เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดี และที่สำคัญไปกว่านั้นคือการกันมิให้เจี่ยงอวี้หวนที่เคยมีตำแหน่งเจี่ยงกุ้ยเฟยพระมารดาขององค์หญิงฟางโหรวกลับมามีอำนาจอีก
เจี่ยงอวี้หวนเป็นบุตรสาวของแม่ทัพพยัคฆ์มังกร เมื่อเขาไปรบที่ทางแดนเหนือ แม้ตำแหน่งฐานะของนางจะมิได้สูงขึ้น แต่ฝ่าบาทก็ได้เลือกป้ายให้นางมาคอยปรนนิบัติอยู่หลายครั้ง มิได้ถูกละเลยเช่นกาลก่อน ทั้งที่ตาเฒ่าผู้อยู่ทางเหนือมิเคยรบชนะเลย หากเขารบชนะขึ้นมา เรื่องที่เจี่ยงอวี้หวนจะได้คืนตำแหน่งกุ้ยเฟยก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
จ้าวหวงโฮ่วที่ถูกเจี่ยงกุ้ยเฟยกดทับมานับสิบปีย่อมมิอยากจะเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นอีกแล้ว การที่หลัวเทียนเฉิงเป็นที่โปรดปราน แม่ทัพพยัคฆ์มังกรค่อยๆ ถูกลืมต่างหากจึงเป็นสิ่งที่นางยินดีจะเห็นมากกว่า
“เราไปถามฝูเฟิงเจินเหรินก่อนแล้วกัน” เจาเฟิงตี้ก้าวเท้าเดินออกไป
จ้าวหวงโฮ่วกลับมิได้ใส่ใจอันใด หลายปีมานี้นางเลิกล้มความคิดที่จะตั้งครรภ์แล้ว
หลานสาวแต่งให้องค์ชายหก หากเป็นเมื่อก่อนนางคงไม่มีความคิดใด ทว่าตั้งแต่องค์ชายสามเสียสติ นางกลับเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างมิอาจห้ามได้
ในบรรดาองค์ทั้งหลายยามนี้เหลือเพียงองค์ชายสาม เช่นนั้นเหตุใดนางจึงจะมิช่วยองค์ชายหกสักหน่อยเล่า ถึงตอนนั้นหลานสาวนางก็จะได้เป็นหวงโฮ่ว เมื่อรัชทายาทในอนาคตมีสายเลือดของตระกูลจ้าวไหลเวียนอยู่ในกายถึงครึ่งหนึ่งก็เป็นการชดเชยความเสียใจที่ชาตินี้มิอาจมีบุตรของนางได้แล้ว
หิมะขาวโพลน ดอกเหมยแดงโปรยปราย จวินเฮ่าผู้สวมชุดสีขาวกำลังนั่งอยู่หน้าพิณ เขาดีดเป็นทำนองขาดห้วงและค่อยๆ ไหลรื่นขึ้นเรื่อยๆ
นิ้วมือเรียวขาวแสนเย็นเยียบไร้ความอบอุ่นใดวางทาบอยู่บนสายพิณคล้ายภูตน้อยที่กำลังเริงระบำอยู่กระนั้น
อานจวิ้นอ๋องยืนฟังอยู่นอกศาลา เมื่อเสียงพิณจบลง เขาก็ปรบมือให้
“จวินเฮ่า บทเพลงนี้ข้ามิเคยได้ยินเจ้าดีดเลย ฟังแล้วช่างสงบและอบอุ่นแต่กลับมีความเร่าร้อนแฝงอยู่”
จวินเฮ่าเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วเอ่ยเสียงเรียบออกมาในที่สุดว่า “เป็นบทเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นจากบทกวีที่กำลังเป็นที่แพร่หลายอยู่ในเมืองหลวงตอนนี้อย่างไรเล่า”