ไท่จื่อเฟยค่อยๆ นั่งลงบนพื้น ตัวนางสั่นระริกดุจร่อนข้าว ขณะที่ไท่โฮ่วคาดคั้นสอบถามนางกลับพูดไม่ออกแม้เพียงคำ
“พระมารดา…” รุ่ยเกอสะบัดมือออกจากขันทีแล้ววิ่งเข้าไปหาไท่จื่อเฟย
ร่างอันนุ่มนิ่มอุ่นร้อนพุ่งเข้าสู่อ้อมอกนาง ไท่จื่อเฟยโอบรุ่ยเกอไว้แน่นแล้วร้องไห้เสียงดังออกมาอย่างเจ็บปวด
รุ่ยเกอตกใจจนแน่นิ่งไป เขายื่นมือออกมาลูบใบหน้าไท่จื่อเฟย “พระมารดา เหตุใดท่านจึงร้องไห้เล่า”
เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียงก็ตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “พระมารดา เขาเป็นใคร เหตุใดจึงหน้าตาคล้ายข้ายิ่ง”
ไท่จื่อเฟยพูดอันใดไม่ออกจึงเพียงกอดรุ่ยเกอไว้พลางร่ำไห้ไร้สุ้มเสียง
ไท่โฮ่วคล้ายเข้าใจอันบางอย่างขึ้นมา หน้าตาจึงเขียวคล้ำยิ่ง นางเอ่ยถามเน้นย้ำทีละคำว่า “ใช่แล้ว ไท่จื่อเฟย เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าหากเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดเจ้าคือรุ่ยเกอ แล้วที่นอนอยู่บนเตียงนั้นคือผู้ใดกันเล่า”
รุ่ยเกอยกแขนโอบรอบคอไท่จื่อเฟยพลางกัดฟันเอ่ยถามว่า “พระมารดา เกิดอันใดขึ้นกันแน่”
รุ่ยเกอนับว่าเป็นเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเติบใหญ่ทั้งยังโตในวัง ความคิดความอ่านย่อมมีมากกว่าเด็กอายุเท่ากันทั่วไป เขากระตุกแขนไท่จื่อเฟยคราหนึ่งแล้วใช้สายตาขอร้องอ้อนวอนมองไปยังไท่โฮ่ว
ไท่โฮ่วถูกมองเช่นนั้นก็เริ่มรู้สึกใจอ่อน แต่ด้วยรู้ว่าต้องมีปัญหาใหญ่อันใดบางอย่างซ่อนอยู่แน่จึงได้แข็งใจเบนสายตาหนีแล้วหันไปเอ่ยกับเจาเฟิงตี้ว่า “ให้รุ่ยเกอออกไปก่อนเถิด”
เจาเฟิงตี้พยักหน้า แล้วส่งสัญญาณให้ขันทีพารุ่ยเกอออกไป เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจียหมิง เจ้าก็ออกไปเล่นเป็นเพื่อนรุ่ยเกอก่อนเถิด”
ไท่จื่อเฟยกอดรุ่ยเกอแน่นไม่ยอมปล่อยมือ
ไท่โฮ่วจึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “หรือเจ้าอยากจะอธิบายเรื่องทั้งหมดต่อหน้ารุ่ยเกอ”
ไท่จื่อเฟยพลันสลดไป มือนั้นค่อยๆ คลายออก
“พระมารดา พระมารดา…” รุ่ยเกอไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่จึงรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ
รอกระทั่งรุ่ยเกอถูกพาออกไปแล้ว ไท่โฮ่วจึงค่อยๆ นั่งลงแล้วกวาดตามอง ‘พระราชนัดดา’ ที่ยังนอนปิดตาหลับสนิทอยู่บนเตียงคราหนึ่ง แล้วเอ่ยถามไท่จื่อเฟยว่า “พูดเถิด เรื่องราวเป็นเช่นใดกันแน่”
ไท่จื่อเฟยพลันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เล็บมือยาวจิกลงไปที่กลางฝามือจนหักเกิดเป็นรอยพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีแดงขึ้นมา
ยังคงเป็นเจาเฟิงตี้เอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “เสด็จแม่ เป็นลูกเองที่มิได้บอกกับท่านตั้งแต่แรก วันที่ชูสยาออกเดินทางนั้นไท่จื่อวางแผนบุกเข้ามาในวังเพื่อก่อกบฏ ยามนี้ถูกลูกกักตัวไว้แล้ว”
“หา!” ไท่โฮ่วพลันลุกขึ้นจ้องเจาเฟิงตี้เขม็ง ผ่านไปครู่ใหญ่สีหน้าจึงเริ่มกลับสู่ความสงบนิ่ง แต่น้ำเสียงยังคงสั่นเครืออยู่บ้าง “ฝ่าบาท เรื่องใหญ่เพียงนี้ เจ้ากลับปิดบังข้ามาตลอด ดูท่าข้าคงแก่แล้วจริงๆ”
“เสด็จแม่ ลูกผิดไปแล้ว ลูกแค่กลัวว่าท่านจะเป็นห่วง…” เจาเฟิงตี้เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกอ่อนเพลียจึงหอบหายใจยาวออกมา
ไท่โฮ่วเห็นก็ร้องไห้ ในใจของนางนั้นผู้ใดก็เทียบไม่ได้กับบุตรชายคนนี้ ไท่จื่อกับรุ่ยเกอล้วนเทียบไม่ได้ทั้งสิ้น
ควรต้องทราบว่าหลานและเหลนนั้นนางมีอยู่มากมาย แต่บุตรชายที่เป็นจักรพรรดินั้นนางมีเพียงคนเดียว!
“เช่นนั้นเจ้าบอกมาว่ารุ่ยเกอตัวปลอมคืออันใดกันแน่” ไท่โฮ่วเดินเข้าไปหาแล้วก้มลงมองไท่จื่อเฟยที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
เมื่อเรื่องถึงขั้นนี้แล้วไท่จื่อเฟยย่อมทราบว่ามิอาจทำอันใดได้แล้ว หากยังปิดบังต่อไปจนยั่วโทสะของเจาเฟิงตี้และไท่โฮ่ว ไม่แน่ว่าอาจจัดการรุ่ยเกอทันทีเลยก็เป็นได้ หากบอกไปตามตรง บางทีก็อาจจะเห็นแก่สายเลือดที่อยู่ในตัวรุ่ยเกอและปล่อยให้บุตรของนางมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เป็นได้
นางก้มหน้าลงแล้วเอ่ยปากในที่สุด “เป็นตัวตายตัวแทนที่บิดาหม่อมฉันเตรียมไว้ให้ และอาศัยโอกาสตอนที่ออกจากวังไปร่วมไว้อาลัยในพิธีศพเปลี่ยนเอาตัวรุ่ยเกอออกไปเพคะ”
“แล้วเอาไปไว้ที่ใด หรือยังคิดจะก่อความวุ่นวายในแผ่นดินนี้อีก” เจาเฟิงตี้เอ่ยถามเสียงเย็น
ไท่จื่อเฟยส่ายหน้าอย่างร้อนรน “สะใภ้มิบังอาจ แค่อยากรักษาชีวิตของรุ่ยเกอไว้ให้เขาได้มีชีวิตต่อไปอย่างสามัญชนเท่านั้นเพคะ”
“เช่นนั้นเด็กคนนี้เล่า เหตุใดจึงได้เหมือนกับรุ่ยเกอเพียงนี้” ไท่โฮ่วชี้ไปยังเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียง
ไท่จื่อเฟยเม้มริมฝีปากตนแล้วเอ่ยพูดโดยมิได้หันไปมองเด็กคนนั้นเลยสักนิด “เป็นญาติห่างๆ ของตระกูลเรา ท่านพ่อได้พบเขาตั้งแต่อายุไม่กี่ปี ด้วยเห็นว่าเขามีส่วนคล้ายกับรุ่ยเกออยู่หลายส่วนจึงได้นำมาเลี้ยงไว้”
“จิตใจช่างชั่วร้ายจริงๆ!” ไท่โฮ่วทอดถอนใจยาวออกมา
ไท่จื่อเฟยอดเอ่ยแก้ตัวแทนบิดาตนไม่ได้ “เด็กผู้นี้สุขภาพย่ำแย่มานาน คนทั่วไปไม่มีทางดูแลได้แน่ หากมิใช่บิดาเกรงว่าเขาจากโลกนี้ไปนานแล้วเพคะ”
ไท่โฮ่วหัวเราะเยาะหยันออกมาเสียงหนึ่ง แล้วหันไปมองไท่จื่อเฟยด้วยสายตาเย็นชา “หรือจะบอกว่าการขุนสุกรตัวหนึ่งที่กำลังจะถูกเชือดให้อ้วนสักระยะหนึ่งนั้น มันควรต้องซาบซึ้งในพระคุณของคนที่เลี้ยง ช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันที่สุดในใต้หล้าจริงๆ เชียว!”
ไท่จื่อเฟยถึงกับหน้าก่ำหูแดงไปกับคำพูดนี้
“กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าเรื่องที่เด็กผู้นั้นตกน้ำ เจียหมิงเซี่ยนจู่เป็นผู้ถูกใส่ร้ายใช่หรือไม่”
เดิมไท่จื่อเฟยคิดจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่พลันรู้สึกถึงสายตาอันเย็นเยียบสายหนึ่งที่มองมายังตน นางจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก็เห็นหลัวเทียนเฉิงมองนิ่งมายังนาง
เขายืนอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าคล้ายหยกเนื้อเย็น ในดวงตาเคลือบด้วยเกล็ดหิมะ ทั้งที่มิได้เอ่ยวาจาใดออกมาสักคำแต่กลับสามารถแช่แข็งคำพูดที่นางคิดจะเอ่ยเอาไว้ได้
หัวใจของไท่จื่อเฟยค่อยๆ เหน็บหนาวขึ้นมา
ระยะเวลาสั้นๆ แค่เพียงสองวัน เขากลับคาดเดาเรื่องพระราชนัดดาตัวปลอมได้ทั้งยังหารุ่ยเกอตัวจริงออกมาได้ นี่เป็นเรื่องที่คนธรรมดาสามารถทำได้งั้นหรือ
เขา…เขาจะต้องเป็นปีศาจเป็นแน่!
ครั้นเห็นไท่จื่อเฟยอึ้งงันไม่พูดจา ไท่โฮ่วก็ถอนหายใจออกมา “ข้าเข้าใจแล้ว”
เจาเฟิงตี้กับไท่โฮ่วจึงถามนางอีกครู่หนึ่ง ส่วนเจินเมี่ยวที่ถูกพาตัวไปยังห้องด้านข้างก็กำลังนั่งหันหน้าเข้าหารุ่ยเกอ
เมื่อเจินเมี่ยวต้องเผชิญหน้ากับรุ่ยเกอ อารมณ์ของนางก็ออกจะซับซ้อนอยู่บ้าง
นางโกรธแค้นที่ไท่จื่อเฟยดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยและเพราะเหตุนี้ทำให้พระราชนัดดาตัวจริงที่ควรได้รับอิสรภาพต้องกลับเข้ามาอยู่ในกรงเช่นเดิมอีกครั้ง แม้อาจกล่าวได้ว่าไท่จื่อเฟยทำตัวเองแต่เมื่อเห็นเด็กที่อายุน้อยเพียงนี้ที่อาจจะตายไปอย่างไร้สุ้มเสียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงในวังผู้นี้แล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้าเช่นนี้หากนางสามารถทำใจให้นิ่งดุจสายน้ำได้ นั่นคงมิใช่นางแล้ว
ด้วยเหตุนี้เจินเมี่ยวจึงเอาแต่จ้องผลผีผา[1] ที่ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะตรงหน้านิ่ง
“เจ้าอยากกิน?” เสียงเด็กน้อยดังขึ้น
เจินเมี่ยวหันไปมองด้วยความแปลกใจก็เห็นรุ่ยเกอจ้องมองนางด้วยความรังเกียจ
เขายื่นมือไปหยิบผลผีผาส่งให้นาง “อะ เจ้ากินเถิด”
เจินเมี่ยวรับมาโดยไม่รู้จะพูดอันใดดีในชั่วขณะนั้น
เสียงของรุ่ยเกอดังขึ้นอีก “คนที่เหมือนกับข้าผู้นั้นเป็นใคร”
เมื่อเห็นเจินเมี่ยวไม่พูด เขาก็ก้มหน้าลงครุ่นคิด แล้วเอ่ยว่า “พระมารดาต้องการให้ข้าไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกเพราะจะให้คนผู้นั้นมาอยู่กับพระมารดาแทนข้าใช่หรือไม่”
“โชคดีที่ท่านอาผู้นั้นพาข้ากลับมา มิเช่นนั้นเขาคงแย่งพระมารดาข้าไปแล้ว!” รุ่ยเกอขมวดคิ้ว ยื่นมือออกไปผลักเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “นี่ เจ้าเป็นใบ้หรือ ถึงไม่พูดอันใดเลย เกลียดจริงๆ เลย!”
เขาลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปด้านนอกเพื่อไปหาไท่จื่อเฟย แต่ถูกขันทีขวางไว้เสียก่อน
เวลานี้หลัวเทียนเฉิงได้ออกมาแล้ว เขายิ้มให้กับเจินเมี่ยวแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีอันใดแล้ว เรากลับจวนเถิด”
ระหว่างทางบนรถม้า เจินเมี่ยวเห็นเขาหน้าซีดจึงเอ่ยตำหนิว่า “ท่านบาดเจ็บยังไม่หายดี เหตุใดต้องเข้าวังมาด้วยตนเองเล่า”
“เรื่องสำคัญเช่นนี้ ต้องมาเองข้าจึงสบายใจ อีกอย่างเจ้าก็อยู่ในวังด้วย”
เจินเมี่ยวเริ่มสงบใจลงได้ นางก้มลงมองผลผีผาที่กำไว้ในมือตนอยู่ตลอดแล้วนิ่งเงียบ
“เป็นอันใดไป?” หลัวเทียนเฉิงขยับเข้ามาใกล้ แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ครั้นมองใบหน้าหล่อเหลาใจกว้างนั้นแล้วเจินเมี่ยวก็เม้มริมฝีปากเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทจะจัดการเช่นไรกับไท่จื่อเฟยและพระราชนัดดาหรือ”
“เรื่องนี้ฝ่าบาทไหนเลยจะตรัสกับข้าเล่า”
“ท่านลองคาดเดาดูมิได้หรือ”
หลัวเทียนเฉิงนิ่งเงียบครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หากให้ข้าคาดเดาก็คิดว่าไท่จื่อเฟยนั้นย่อมมิอาจเก็บเอาไว้ได้ พระราชนัดดาตัวปลอมก็เช่นกัน ส่วนตัวจริงนั้นพูดยาก คงต้องดูว่าฝ่าบาทกับไท่โฮ่วจะพระทัยอ่อนหรือไม่ เป็นอันใด เจ้าสงสารพระราชนัดดาหรือ”
“หากบอกว่าสงสาร พระราชนัดดาตัวปลอมกลับน่าสงสารกว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรเด็กน้อยก็เป็นผู้บริสุทธิ์”
หลัวเทียนเฉิงแค่นยิ้ม “วาจานี้ข้าไม่เห็นด้วย”
“หืม?”
เขายื่นมือหยิกแก้มนาง “ข้ากลับคิดว่าหนี้บิดาบุตรชดใช้นั้นสมเหตุสมผลยิ่ง เจ้าคิดดู หากไท่จื่อก่อกบฏสำเร็จ ต่อไปผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มิใช่พระราชนัดดาหรือ ผู้ที่เคราะห์ร้ายก็คือองค์ชายและพระราชนัดดาองค์อื่นๆ หากครานี้ไท่จื่อเฟยใส่ร้ายเจ้าสำเร็จ ผู้ที่ได้รับอิสระมิใช่พระราชนัดดาหรือ ส่วนคนเคราะห์ร้ายก็คือเจ้า แล้วอย่างไร โลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีๆ ที่คนเราจะรับแต่ประโยชน์ ไม่ยอมรับโทษใดๆ หากเป็นเช่นนั้น คงมีคนที่ยอมกระทำการเสี่ยงอันตรายเมื่อสิ้นไร้หนทางมากกว่านี้แน่”
“ที่ท่านพูดก็มีเหตุผล” เจินเมี่ยวพยักหน้าช้าๆ
แต่เมื่อคิดถึงโชคชะตาที่เด็กน้อยอายุไม่ถึงสิบปีต้องเผชิญแล้วอย่างไรก็มิใช่เรื่องที่ทำให้คนเบิกบานใจสักนิด แต่นางทำอันใดไม่ได้ เพียงปรารถนาให้คนรอบกายมีชีวิตที่ดีเท่านั้น
ครั้นจังเฉาหวาถูกส่งกลับไปยังจวนหย่งจยาโหวก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าเรียกไปสอบถาม เมื่อเห็นว่านางเฉียวแม่สามีก็อยู่ด้วยจึงรีบย่อกายคารวะ
“เจ้าพูดว่าอย่างไรบ้าง” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามตามตรง
จังเฉาฮวาเผยรอยยิ้มออกมา “หลานสะใภ้ก็ตอบไปตามความจริงเจ้าค่ะ”
นางอุปนิสัยร่าเริง ชอบเจรจาชอบยิ้มแย้ม ทั้งยังเป็นสหายสนิทกับคุณหนูใหญ่ หลังจากแต่งเข้ามาก็ได้รับความเอ็นดูจากฮูหยินผู้เฒ่าและแม่สามียิ่ง วันเวลาที่ผ่านมาจึงผ่านไปอย่างราบรื่นด้วยดี
“เช่นนั้นไท่โฮ่วทรงว่าอย่างไรบ้าง”
“ข้าลอบสังเกตดูเห็นว่าไท่โฮ่วทรงมิใคร่โปรดเจียหมิงเซี่ยนจู่เท่าใดนัก บ่าวไพร่ที่ค่อยรับใช้พระราชนัดดาที่ไท่จื่อเฟยพาไปด้วยต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวข้าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากับนางเฉียวมองสบตากันแล้วพยักหน้าน้อยๆ
ในเมื่อไท่โฮ่วและไท่จื่อเฟยเห็นตรงกัน เช่นนั้นหากแม้นางจังไม่มีความหมายอื่น อย่างน้อยก็ไม่มีความผิด
เช่นนี้ดียิ่ง!
“นางจัง วันนี้เจ้าคงเหนื่อยแล้วรีบไปพักผ่อนเถิด ไม่ว่าอย่างไรต่อไปพยายามอย่าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก”
“หลานสะใภ้ทราบแล้วเจ้าค่ะ” จังเฉาหวารับปากทันทีแล้วยิ้มจนหางตาหยักโค้ง
คนที่อายุมากแล้วนั้นย่อมชมชอบเห็นรอยยิ้มทั้งสิ้น ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วก็สบายใจขึ้น สีหน้าจึงผ่อนคลายลงหลายส่วน
เวลานี้เองกลับมีสาวใช้ผู้หนึ่งรีบเดินเข้ามารายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ มีคนจากวังหลวงมาเจ้าค่ะ!”
“รีบเชิญเข้ามาเร็ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจยิ่ง นางลุกขึ้นเดินออกไปต้อนรับด้วยตนเอง
ขันทีผู้นั้นเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ที่พวกเรามาวันนี้เพื่อถ่ายทอดรับสั่งของไท่โฮ่ว เรื่องพระราชนัดดาตกน้ำนั้นได้รับการตรวจสอบจนแน่ชัดแล้วว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเจียหมิงเซี่ยนจู่!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยแล้วหันไปมองจังเฉาหวา
จังเฉาหวามีสีหน้าท่าทางตกใจไม่อยากเชื่อ
ขันทีผู้นั้นมองมาแล้วเอ่ยเสียงแหลมเล็กว่า “ท่านนี้คงเป็นนางจังกระมัง ไท่โฮ่วยังรับสั่งอีกว่า ต่อไปท่านพบเจอเหตุการณ์ใดให้ดูให้ชัดเจนก่อนค่อยพูด อย่าได้พูดไปตามผู้อื่นทั้งที่ตนไม่เห็นจริงๆ!”
เขาพูดจบก็ยกมือขึ้นประกบกันเป็นการแสดงความเคารพ “พวกเราคงต้องกลับวังไปทูลรายงานแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าอดกลั้นต่อสถานการณ์อันย่ำแย่นี้แล้วส่งสัญญาณให้สาวใช้นำถุงใส่ตำลึงทองมอบให้เขาไป
ขันทีผู้นั้นกลับมิได้ผลักไส แต่กลับยัดมันเข้าไปในแขนเสื้อแล้วจากไป
ฮูหยินผู้เฒ่าหันกลับไปมองจังเฉาหวาคราหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบกับนางเฉียวว่า “เจ้าเป็นแม่สามีของนางจัง นางอายุยังน้อยจึงมีบ้างที่สะเพร่าไป เจ้าดูแลอบรมให้ดี มิเช่นนั้นหยวนหย่งจยาโหวอาจเสื่อมเสียได้!”
นางเฉียวอดกลั้นโทสะเอ่ยรับคำไป เมื่อนางและจังเฉาหวากลับถึงเรือนตนก็มิอาจเก็บโทสะเอาไว้ได้อีกจึงเอ่ยอบรมสั่งสอนนางเป็นการใหญ่แล้วทำโทษกักบริเวณนางหนึ่งเดือน
จังเฉาหวารู้สึกอับอายยิ่งจึงทะเลาะกับสามีตนเพราะเรื่องนี้ สองสามีภรรยาจึงทำสงครามเย็นใส่กันอยู่พักใหญ่ แต่นี่เป็นเรื่องหลังจากนั้นจึงไม่ขอเอ่ยถึงอีก
——
[1] ผลผีผา(枇杷)หรือปี่แป๊ มีลูกสีส้มทอง เปลือกบางมีขน ฉ่ำน้ำ รสหวานอมเปรี้ยว มักเกิดในพื้นที่อากาศอบอุ่น มีสรรพคุณช่วยแก้ไอ เนื่องจากรูปร่างคล้ายเครื่องดนตรีผีผา (琵琶)จึงมีชื่อเหมือนกัน แต่เขียนคนละแบบ