ในอีกภพหนึ่งนั้นเจินเมี่ยวเป็นนักท่องเที่ยวอิสระ เช่นการช่วยเหลือฉุกเฉินนางก็เคยเข้าร่วมการอบรมระยะสั้นอยู่บ้าง แม้นี่จะเป็นการปฏิบัติจริงครั้งแรกแต่เมื่อลงมือทำอย่างถูกต้องและจริงจัง
ทว่าในสายตาคนอื่นก็คงรู้สึกเหมือนที่ไท่จื่อเฟยบอกว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่เสียสติไปแล้วกระมัง
นางใช้ปากประกบปากของเด็กน้อย ทั้งมือสองข้างยังลูกไปมาอยู่บนหน้าอกของเด็กน้อยท่ามกลางสายตาคนทั้งหลาย หรือเพราะรู้สึกตกใจกับการตายของพระราชนัดดา?
ไท่จื่อเฟยเห็นคงทั้งหลายตะลึงลานกับการกระทำของเจินเมี่ยวจนหยุดอยู่กับที่ นางจึงเดินเข้าไปผลักเจินเมี่ยวด้วยตนเองทั้งเอ่ยด้วยว่า “พวกเจ้าเป็นศพหรือไร รีบจับตัวเจียหมิงเซี่ยนจู่ไว้เดี๋ยวนี้!”
เดิมการช่วยชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาทุกขณะ เจินเมี่ยวก็มิได้ชำนาญปานนั้นทั้งต้องผายปอด ขณะเดียวกันก็คอยกดกระตุ้นตรงหน้าอกของเด็กน้อยไปด้วย เดิมก็วุ่นวายมากพอแล้ว เมื่อตกอยู่ในสภาวะอันตึงเครียดอย่างที่สุดแต่ไท่จื่อเฟยยังวิ่งเข้ามาลากดึงนางอีก นางจะมิทันได้คิดสิ่งใดร่างกายก็ตอบโต้ไปก่อนที่จะหัวจะได้คิดสิ่งใดเสียอีก
เจินเมี่ยวยันเท้าออกไปถีบไท่จื่อเฟยผู้โวยวายจนกระเด็นไป ทำให้บ่าวไพร่ที่กำลังล้อมเข้ามาหวังจะดึงนางออกไปตะลึงลานอีกครา
ไท่จื่อเฟยล้มลงบนพื้น ปิ่นปักผมจึงร่วงหล่น ผมของนางร่วงสยายในทันใด
ผู้ที่มีบรรดาศักดิ์สูงส่งย่อมต้องเรียกร้องกับตนเองสูงอยู่ตลอดเวลา ไท่จื่อเฟยชินเสียแล้วกับการมีท่วงท่าหน้าตาอันสง่างามท่ามกลางฝูงชน นางมิเคยตกอยู่ในสภาพอันย่ำแย่เช่นนี้มาก่อนจึงเอ่ยปากออกไปไวกว่าความคิดในหัวเสียอีกว่า “แม่นมหัน รีบมามัดมวยผมให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
คนทั้งหลายได้ยินวาจานี้ต่างก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ทว่าเมื่อเห็นผมที่สยายนั้นของไท่จื่อเฟยกลับบอกไม่ถูกว่ามันผิดแปลกที่ตรงใด
ไท่จื่อเฟยทราบว่าตนเผลอเอ่ยวาจามิใคร่สมควรนักออกมาจึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ไปเอาตัวเจียหมิงเซี่ยนจู่ออกมาเดี๋ยวนี้!”
เจินเมี่ยวเหนื่อยจนเหงื่อออกเต็มศีรษะ เมื่อเห็นบ่าวไพร่ล้อมเข้ามาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงเอ่ยต่อว่าด้วยโทสะว่า “รีบออกไปให้ห่างเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าเข้ามาล้อมวงใกล้เพียงนี้อากาศย่อมไม่ถ่ายเท มิอยากให้พระราชนัดดามีชีวิตอยู่แล้วหรือไร”
นางพูดพลางใช้สายตาโกรธเกรี้ยวมองไปยังไท่จื่อเฟย แล้วแค่นยิ้มเย็นพลางเอ่ยว่า “ไท่จื่อเฟยก็ช่างแปลกจริงๆ พระราชนัดดาเป็นถึงเพียงนี้แล้วยังมิรีบกำชับคนไปเชิญหมอหลวงแต่กลับจะให้คนมาขวางการช่วยชีวิตของข้า หากมิทราบมาก่อนคงคิดว่าพระราชนัดดามิใช่บุตรของท่านเป็นแน่!”
“เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล!” ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงเข้มด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปทันที
นางข่มท่าทีพิรุธของตนไว้อย่างสุดกำลัง ท่าหัวใจกลับยังคงเต้นเร็วรัวอยู่ นางสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่นี่คือการช่วยชีวิตงั้นหรือ ข้าคิดว่ามันคือการทำร้ายพระราชนัดดามากกว่ากระมัง เจ้ารีบออกห่างจากเขาเดี๋ยวนี้!”
บรรดาบ่าวไพร่กำลังอึ้งงันในความเกรี้ยวกราดของเจินเมี่ยวอยู่ ไท่จื่อเฟยเองกำลังอยู่ในช่วงลนลานจึงลืมเร่งเร้าพวกเขา แต่กลับไปดึงเจินเมี่ยวออกมาเอง
เจินเมี่ยวยกเท้าขึ้นเตะไท่จื่อเฟยกระเด็นไปอีกครา
ครานี้ไท่จื่อเฟยล้มศีรษะไปกระแทกหินก้อนหนึ่งจึงหมดสติไป
“สวรรค์ เจียหมิงเซี่ยนจู่ทำไท่จื่อเฟยตายแล้ว!” ในที่สุดบรรดาบ่าวไพร่ก็มีสติคืนมา คนส่วนหนึ่งเข้าไปช่วยดูแลไท่จื่อเฟย อีกส่วนหนึ่งหวังจะเข้าไปจับตัวเจินเมี่ยวไว้
สตรีผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายต่างค่อยๆ ถอยหลังออกห่างด้วยกลัวว่าจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้อง สายตาที่มองการกระทำอันแปลกประหลาดของเจินเมี่ยวนั้นเต็มไปด้วยความสงสารและตกใจระคนหวาดกลัว
เจียหมิงเซียนจู่อาจจะเสียสติไปแล้วจริงๆ ถึงได้กล้าเตะแม้กระทั่งไท่จื่อเฟย ต่อให้ไม่มีเรื่องพระราชนัดดา นางก็คงต้องรับผลการกระทำนี้อยู่วันยังค่ำ อย่างไรก็ควรต้องหลีกหนีให้ไกลจากสตรี
เจินเมี่ยวกลับมิได้คิดอันใดมากเพียงนั้น
นางทราบเรื่องที่ไท่จื่อก่อกบฏนานแล้ว ไท่จื่อเฟยก็เป็นเพียงแค่ตั๊กแตนหลังสารทฤดู ผู้ใดต้องกลัวผู้ใดกัน!
ครั้งนี้นางพาอาหลวนกับเชวี่ยเอ๋อร์มาด้วย พวกนางสองคนพยายามขวางไว้สุดกำลังแต่คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลายก็เข้ามาฉุดกระชาก พลันได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้นว่า “หยุด พวกเจ้ากำลังทำอันใดกัน”
เสียงเอะอะจากที่นี่กังไปถึงฝั่งแขกเหรื่อบุรุษ หันซูมีเพียงไท่จื่อเฟยเป็นบุตรเพียงคนเดียว ไม่มีบุตรชาย แขกบุรุษหลายคนจึงมิเหมาะมาร่วมพิธีศพ ที่องค์ชายหลายพระองค์มาร่วมพิธีศพก็เพราะเป็นน้องชายของสามีนาง ทั้งมีบรรดาศักดิ์สูงส่งจึงมาร่วมพิธีนี้ด้วย
ผู้ที่มาคือองค์ชายสี่ องค์ชายห้าและองค์ชายหก ผู้ที่พูดคือองค์ชายหกนั่นเอง
เดิมนั้นเขาได้เข้าไปรับลูกธนูแทนองค์ชายห้าในเหตุการณ์จราจรนอกเมืองจนได้รับบาดเจ็บ แต่ดีที่บาดเจ็บเพียงแค่หัวไหล่จึงมิเป็นอันใดมาก สุดท้ายก็มาร่วมพิธีศพด้วยตนเองโดยไม่สนคำทัดทานของทุกแต่เจาเฟิงตี้กลับรู้สึกดีกับการกระทำเช่นนี้ของเขา
คนทั้งหลายต่างรีบถวายพระพร มีเพียงเจินเมี่ยวที่มิสนใจ นางยังคงทุ่มเทแรงทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือเด็กน้อยผู้นั้นต่อไป
ความจริงตอนที่เจินเมี่ยวถีบไท่จื่อเฟยเป็นครั้งที่สองนั้น องค์ชายทั้งสามก็มาถึงแล้วแต่เพราะกำลังตกใจกับการกระทำนี้ของนางจึงทำให้ลืมส่งเสียงห้ามปรามออกไป
“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
แม่นมผู้หนึ่งเอ่ยอย่างเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นว่า “เรียนเฉินอ๋อง เจียหมิงเซี่ยนจู่ชนพระราชนัดดาจนตกน้ำไปแล้วยังกระทำบางอย่างที่แปลกประหลาดยิ่ง ทั้งยังห้ามมิให้ไท่จื่อเฟยเข้าใกล้ และ…และถีบไท่จื่อเฟยล้มจนหมดสติไปเพคะ”
แม่นมผู้นี้เป็นคนสนิทของไท่จื่อเฟย เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ก็โมโหยิ่งจึงเอ่ยเสริมอีกว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่ถีบไท่จื่อเฟยถึงสองครั้ง ขอท่านอ๋องทั้งสามพระองค์ช่วยทวงความเป็นธรรมให้ไท่จื่อเฟยของหม่อมฉันด้วยเพคะ!”
นางเอ่ยแล้วก็ร้องไห้ขึ้นมา “ไท่จื่อเฟยของหม่อมฉันเพิ่งจะสูญเสียบิดาไป พระราชนัดดาก็มาพบเรื่องเช่นนี้อีก ไท่จื่อเฟยจะมีชีวิตอยู่อย่างไรกันเพคะ!”
เจาเฟิงตี้นั้นปิดบังเรื่องไท่จื่อก่อกบฏกับองค์ชายหลายพระองค์ ดังนั้นองค์ชายสี่ องค์ชายห้าจึงไม่รู้ว่าไท่จื่อเฟยนั้นได้กลายเป็นลูกธนูที่พุ่งไปไกลจนไร้กำลังแล้ว องค์ชายห้าขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริงก็จักต้องให้ความเป็นธรรมกับพี่สะใภ้แน่”
ยามนี้แม้นไท่จื่อจะสูญเสียความโปรดปรานจากเสด็จพ่อจริงแต่สำหรับไท่จื่อเฟยและพระราชนัดดา เสด็จพ่อมิเคยแสดงความโกรธเคืองอันใดให้เห็นเลย อีกอย่าง หากพวกเขาไม่ไยดีอันใดต่อไท่จื่อเฟยในยามนี้ก็เกรงว่าเสด็จพ่อจะคิดว่าพวกเขาไม่รักพี่น้อง รู้จักเพียงแต่ซ้ำเติมกันเท่านั้น
องค์ชายหกได้ยินเช่นนั้นก็ค่อยๆ ยกมุมปากตนขึ้น
เรื่องไท่จื่อก่อกบฏเขาย่อมต้องทราบดี ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่เรื่องการตายของซูหันก็เป็นแผนที่พวกเขาปรึกษาหารือกันมาก่อนแล้วจึงได้กระทำเช่นนี้
ในเมื่อไท่จื่อกับซูหันสั่งการลอบสังหารเพื่อจัดการพวกเขาเหล่าองค์ชายและเพื่อมิให้มีพิรุธ เขาผู้มีตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งกรมขุนนางจึงต้องไปร่วมส่งเสด็จด้วย เช่นนั้นพวกเขาก็จะอาศัยโอกาสนี้ลอบยิงธนูปลิดชีพซูหันเสีย
เขามองเจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วลูบคางตน
หากพระราชนัดดาตายจริงๆ เกรงว่านางคงยากจะพ้นผิดได้
เวลานี้เองก็ได้ยินเสียงสำลักอันอ่อนแรงของเด็กน้อยดังขึ้น เปลือกตาเขาขยับปรือขึ้น
เจินเมี่ยวนั่งลงกองกับพื้นดั่งปลดภาระอันหนักอึ้งออกจากร่างได้กระนั้น นางเหนื่อยเสียจนหายใจหอบ
อาหลวนรีบเข้ามาเช็ดเหงื่อให้นาง
เจินเมี่ยวชี้ไปยังเด็กน้อยที่นอนอยู่บนพื้นพลางเอ่ยว่า “พระราชนัดดาฟื้นแล้ว พื้นเย็น รีบพาไปที่ห้องพักก่อนเถิด หมอหลวงจะได้มาตรวจรักษาต่อ”
“พระราชนัดดาฟื้นแล้ว?” นางกำนัลสองคนรีบเข้าไปประคอง ไท่จื่อเฟยที่ฟื้นขึ้นมาแล้วนั้นถึงกับตกตะลึงอึ้งงัน “ก่อนหน้านี้พระราชนัดดาไม่หายใจแล้วมิใช่หรือ!”
เจินเมี่ยวเพียงมองนางด้วยความแปลกใจคราหนึ่ง “ก่อนหน้านี้เขาคงยังไม่ตาย ดังนั้นเมื่อข้าช่วยให้เขาหายใจ เขาจึงตื่นขึ้นมาอย่างไรเล่า”
เมื่อนางอธิบายจบก็ขมวดคิ้วพิจารณาไท่จื่อเฟยคราหนึ่ง แล้วเอ่ยพูดถึงความรู้สึกประหลาดในใจออกมา “พระราชนัดดาฟื้นแล้ว เหตุใดไท่จื่อเฟยเพียงตกใจ แต่ไม่เห็นยินดีเลยเล่า”
“เจ้าพูดเหลวไหลอันใดกัน” ไท่จื่อเฟยโกรธเกรี้ยวขึ้นมา “เขาเป็นบุตรแท้ๆ ของข้า เขาฟื้นแล้วข้าจะไม่ดีใจได้อย่างไร”
เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากตน แล้วเอ่ยอย่างไม่อนาทรว่า “ไท่จื่อเฟยร้อนรนอันใด พูดประหนึ่งว่าข้าสงสัยว่าพระราชนัดดามิใช่บุตรท่านกระนั้น อีกอย่างในเมื่อเขาฟื้นแล้ว เหตุใดท่านไม่รีบมาดูเขาเล่า”
ไท่จื่อเฟยหน้าเปลี่ยนสีไปทันทีแล้วรีบเข้าไปดูบุตรตนทันที
ความรู้สึกผิดแปลกในใจเจินเมี่ยวก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก
เมื่อนางจะตามไปก็ถูกไท่จื่อเฟยขวางไว้ “คงมิกล้ารบกวนเซี่ยนจู่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องอื่นใดที่จะเกิดขึ้นกับบุตรข้าอีก”
“เพราะทุกคนต่างบอกว่าที่พระราชนัดดาตกน้ำนั้นเกี่ยวข้องกับหม่อมฉัน หม่อมฉันยิ่งควรตามไป มิเช่นนั้นก็คงเข้าใจผิดกันไปใหญ่” เจินเมี่ยวเดินตามไปคล้ายมิได้สนใจฟังคำทัดทานของไท่จื่อเฟยเลยกระนั้น
บ่าวไพร่เข้ามาขวางไว้ องค์ชายหกจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่พูดมีเหตุผล พวกเข้าตามไปดูสักหน่อยเถิด”
คนกลุ่มหนึ่งจึงตามเข้าไป เมื่อหมอหลวงตรวจเสร็จก็เห็นพระราชนัดดาลืมตาขึ้นด้วยสีหน้ามึนงง
“รุ่ยเกอ?” ไท่จื่อเฟยเรียกชื่อเขาคราหนึ่ง
นัยน์ตาเด็กน้อยกลอกกลิ้งไปมาแต่ก็มิได้พูดอันใด
“หมอหลวง พระราชนัดดาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ทูลไท่จื่อเฟย อาจเป็นเพราะทรงตกน้ำจึงตกพระทัยยิ่ง ตอนนี้จึงยังมิได้สติดี รออีกสักสองสามวันอาการคงดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อเฟยถอนหายใจโล่งอกออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ น้องจะไปส่งพี่สะใภ้กับหลานกลับวังเอง” องค์ชายห้าเอ่ยขึ้น
ไท่จื่อเฟยมีสีหน้าลังเลขึ้นมาทันที แต่ในใจกลับทั้งหงุดหงิดทั้งขุ่นเคือง
กลับวังเมื่อใดหากคิดจะทำลงมืออีกก็คงมิง่ายเท่าอยู่ในจวนรองเสนาบดีแล้ว
หากเด็กคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ย่อมต้องเป็นภัยพิบัติในสักวัน!
เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษเจียหมิงเซี่ยนจู่แต่เพียงผู้เดียว
“พี่สะใภ้ รุ่ยเกอฐานะสูงส่ง หากเกิดเรื่องใดขึ้น เสด็จพ่ออาจทรงตำหนิเอาได้” องค์ชายหกเห็นไท่จื่อเฟยไม่เอ่ยอันใดเสียที จึงเอ่ยเตือนขึ้น
แน่นอนว่าเขามิได้ใส่ใจในความเป็นความตายของรุ่ยเกอ แต่เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในสถานการณ์นี้แล้ว หากไยดีก็ไม่แน่ว่าเสด็จพ่ออาจจะกล่าวโทษพวกเขาเอาได้
ไท่จื่อเฟยขัดใจยิ่งแต่กลับทำได้เพียงพยักหน้า “อืม”
นางชำเลืองมองเจินเมี่ยวครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ข้าคิดว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่ก็เข้าวังไปด้วยกันเถิด รุ่ยเกอตกน้ำเช่นนี้ หากเสด็จพ่อทรงถามถึงก็จะได้มิต้องไปเชิญที่จวนกั๋วกง”
เจินเมี่ยวมองไท่จื่อเฟยอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง
นางรู้สึกจริงๆ ว่านี่มิใช่การคิดไปเอง เหตุใดไท่จื่อเฟยจึงเอาแต่จะเอาเรื่องที่รุ่ยเกอตกน้ำโยนใส่ศีรษะนางเล่า?
หรือว่านี่คือแผนการของนาง?
ทว่ามารดาที่ใดจะเอาความปลอดภัยของบุตรมากลั่นแกล้งผู้อื่นเล่า?
เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจขึ้นไปอีก ตอนนั้นรุ่ยเกอไม่หายใจแล้วแต่ไท่จื่อเฟยเอาแต่คาดคั้นนาง แม้แต่เรื่องตามหมอหลวงก็ไม่ทันคิดถึง
หรือนี่คือความไร้หัวใจของบรรดาราชนิกุลกระมัง
เจินเมี่ยวพยายามหาเหตุผลมาอธิบายแก่ตน นางเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันเคยบอกแล้วว่าการตกน้ำของพระราชนัดดานั้นไม่เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉัน ทั้งตอนนี้ก็ยังฟื้นแล้วอีกด้วย หรือไท่จื่อเฟยจะให้หม่อมฉันรับโทษให้ได้?”
ไท่จื่อเฟยแค่นยิ้มเย็น “มิบังอาจ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับเสด็จพ่อทั้งสิ้น ต่างรู้กันดีว่าตอนนั้นบ่าวไพร่ล้วนเห็นกันทั่ว อ้อ ใช่แล้ว ยังมีสะใภ้ของจวนหย่งจยาโหวอีกคนที่เห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน”
นางรู้ว่าเสด็จพ่อนั้นคิดทิ้งขว้างนางและบุตรดแล้ว แต่อย่างไรนางก็มิอาจทำให้เรื่องมันเลวร้ายไปมากกว่านี้ได้แล้ว ในเมื่อการก่อกบฏของไท่จื่อเป็นเรื่องที่ต้องปิดบังไว้ เรื่องในวันนี้เสด็จพ่อก็จำเป็นต้องจัดการให้แก่นาง!
เป็นเจียหมิงเซี่ยนจู่แล้วอย่างไร หากครานี้ไม่ตายก็ต้องถลกหนังของนางออกมาสักชั้นให้ได้!
“สะใภ้จวนหย่งเจียโหวเดินอยู่ด้านหลังของหม่อมฉัน นางย่อมถูกบดบังสายตาไปหมด แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าเห็นจริงๆ ส่วนบ่าวไพร่พวกนั้น…วาจาของข้ามิน่าเชื่อถือเท่าวาจาของพวกเขากระนั้นเชียวหรือ อีกอย่าง แม้อยากจะไปพูดจากันให้เข้าใจต่อหน้าพระพักตร์เพียงใด หม่อมฉันก็คิดว่าควรรอให้รุ่ยเกอหายดีก่อนแล้วค่อยพูดคุยเถิด”
เจินเมี่ยวกล่าวถึงตรงนี้ก็เอ่ยเหน็บแนมขึ้นอีกประโยคว่า “ในเมื่อรุ่ยเกอสุขภาพมิค่อยดีเช่นนี้มาตลอด ทั้งยังตกน้ำด้วย เกรงว่าคงต้องดูแลเอาใจใส่ให้ดีกว่านี้”
“เหลวไหล รุ่ยเกอร่างกายแข็งแรงยิ่ง หากเป็นอันใดขึ้นมา สาเหตุก็มาจากการตกน้ำครั้งนี้นั้นแล เจียหมิงเซี่ยนจู่ช่างรู้จักผลักไสนัก!”
เจินเมี่ยวได้ยินเช่นนี้กลับหรี่ตาลงเล็กน้อย