วาสนาบันดาลรัก 306 แบ่งอำนาจ

ตอนที่ 306 แบ่งอำนาจ

สุดท้ายองค์ชายหกก็มิได้กินไก่ดอกเหมยที่เจินเมี่ยวทำอยู่ดี

 

 

เพราะหลังจากที่เจินเมี่ยวกลับไปถึงสวนเหอเฟิง เมื่อคิดถึงท่าล้มคะมำเป็นสุนัขกินอาจมทั้งยามเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้ายียวนนั้นขององค์ชายหกที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักและเมื่อก้มหน้าลงก็ได้กลิ่นมูลนกลอยมา นางก็รู้สึกปั่นป่วนอยู่ในท้องทำให้อาเจียนลมอยู่ครึ่งค่อนวัน

 

 

นางเวินคิดว่าเจินเมี่ยวตั้งครรภ์จึงลืมกระทั่งความเสียใจ รีบสั่งให้จิ่นผิงไปเชิญหมอมาทันที เจินเมี่ยวพยายามห้ามแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อท่านหมอตรวจชีพจรนางก็ลูบเคราตนไปมาช้าๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่เป็นอันใดมาก แค่กินอาหารมากเกินไปในตอนเช้าเท่านั้น”

 

 

นางเวินอึ้งไปครู่ใหญ่จึงมีสติกลับมา ท่านหมอบอกว่าบุตรสาวนางกินมากเกินไปจึงรู้สึกคลื่นไส้มิใช่ตั้งครรภ์!

 

 

นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยริมฝีปากที่เกือบสั่นระริกว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ แม่ดีขึ้นมากแล้ว เจ้าพักอยู่ที่นี่นานเกินไปคงไม่เหมาะนัก วันนี้ก็กลับจวนกั๋วกงไปเถิด”

 

 

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป บุตรสาวที่งดงามดั่งหยกดุจบุปผาคงกินจนกลายเป็นถังน้ำ ทั้งยังเป็นถังน้ำไร้บุตรอีกด้วย แล้วจะทำฉันใดกัน!

 

 

เจินเมี่ยวจ้องด้านหลังของท่านหมอที่จากไปผู้นั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย นางอยากคำรามออกมาดังๆ ว่า นี่ ท่านหมอ กลับมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะตีเจ้าให้ตายไปเสีย!

 

 

นางมิได้กินมากเกินไปเสียหน่อย แต่เป็นเพราะกลิ่นมูลนกกับองค์ชายหกต่างหากที่ทำให้ข้าคลื่นไส้!

 

 

เฮ้อ นางรู้สึกคล้ายมีสิ่งแปลกปลอมปะปนเข้ามาอยู่ร่ำไป

 

 

นางเวินไล่นางกลับไปด้วยท่าทีหนักแน่นและไร้ไมตรียิ่ง อย่าว่าแต่ไก่ดอกเหมยกับน้ำแกงขนมเปี๊ยะดอกเหมยเลย แม้แต่น้ำผสมน้ำผึ้งก็ยังมิยอมให้นางดื่ม

 

 

เจินเมี่ยวไปบอกลาฮูหยินผู้เฒ่าและกลับจวนกั๋วกงไปในที่สุด

 

 

บรรดาพวกที่แผนการบางอย่างในใจทั้งหลายต่างทราบว่าองค์ชายหกไปเยี่ยมเจินจิ้งที่จวนเจี้ยนอานปั๋วเป็นครั้งที่สองแล้ว และหนึ่งในผู้ที่ให้ความสำคัญกับมันมากที่สุดก็คือจ้าวเฟยชุ่ย

 

 

วันนั้นนางถึงกับขว้างกำไลหยกที่นางชอบใส่ติดกายอยู่ทุกวันทิ้งไป ทั้งยังไม่ยอมกินอันใดอีกตลอดวันนั้น

 

 

นางเถาจึงรีบเข้ามาเอ่ยปราม “แค่สตรีชั้นต่ำผู้หนึ่ง เจ้าจะทรมานร่างกายตนไปเพื่ออันใด มิใช่จะทำให้แม่ต้องกังวลใจเปล่าๆ หรือ”

 

 

ปีนี้จ้าวเฟยชุ่ยอายุสิบห้าแล้ว รูปร่างหน้าตากำลังเปลี่ยนไป นับวันนางก็ยิ่งคล้ายจ้าวหวงโฮ่วขึ้นไปทุกทีซึ่งนับเป็นสตรีที่งดงามเฉิดฉันผู้หนึ่ง

 

 

เวลานี้นางนั่งพิงหมอนสีแดงขลิบเงิน มือของนางกำพู่ค้างคาวที่ระย้าลงมาจากผ้าม่านแน่น

 

 

“ท่านแม่ ข้าโมโหเหลือเกิน แค่อนุผู้หนึ่งเท่านั้น มูลสกปรกบดบังดวงตาของเขาหรือไร เหตุใดจึงใส่ใจนางถึงเพียงนั้น”

 

 

นางเถาตกใจยิ่ง รีบเอ่ยตำหนิว่า “เฟยชุ่ย แม้มิเอ่ยถึงบรรดาศักดิ์ขององค์ชายหก แต่พระองค์จะเป็นสามีของเจ้าในอนาคต หลังจากแต่งเข้าไปแล้วเจ้าอย่าได้ไปทำกิริยาเช่นนี้เด็ดขาดเชียว!”

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยร้อง ‘ฮึ’ อย่างไม่ไยดีขึ้นมาเสียงหนึ่ง

 

 

นางมิเคยชอบองค์ชายหกสักนิด เป็นองค์ชายแล้วอย่างไร บุรุษเสเพลพรรค์นั้น อันใดเหม็น อันใดหอมก็ลากเข้าตำหนักหมด นางต้องบ้าๆ ถึงจะรักชอบเขา!

 

 

“เฟยชุ่ย บุรุษไหนเลยจะภักดีแค่เพียงภรรยาเอกคนเดียวได้ แม้เจ้าจะเจ็บปวดจนร้อนรนก็มิอาจแสดงให้ผู้อื่นเห็นได้”

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยแค่นยิ้มเย็น “ท่านแม่ ข้ามิได้หึง องค์ชายหกจะมีสตรีมากมายเพียงใดข้าไม่สน แต่เขาไม่ควรตบหน้าข้าเช่นนี้ ข้ายังมิทันแต่งเข้าตำหนัก อนุก็ตั้งครรภ์เสียแล้ว ทั้งยังส่งนางไปดูแลครรภ์ที่จวนตระกูลมารดาอีก แต่นางแพศยานั้นก็ยังมิอยู่อย่างสงบยังไปก่อเรื่องจนคุณหนูผู้เป็นญาติในจวนต้องตาย องค์ชายหกไม่เพียงไม่ตำหนินางแต่ยังไปเยี่ยนนางถึงสองสามหน เกรงว่าแม้เป็นพระชายาก็คงมิได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ด้วยซ้ำ ยามนี้ข้ามิกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองหลวงแล้วหรือ!”

 

 

จวนมู่เอินโหวก็ได้ส่งคนไปเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวตั้งแต่ที่เจินจิ้งกลับไปอยู่ที่จวนเจี้ยนอานปั๋วแล้วจึงทราบดีถึงความเป็นมาทุกอย่าง ภายหลังจึงได้สังหารเวินยาฉี แต่เรื่องนี้จ้าวเฟยชุ่ยกลับไม่รู้เลย

 

 

นางคิดถึงข่าวลือแต่กลับมิได้โกรธเคืองอันใด “คุณหนูผู้เป็นญาติสนิทสนมกับเจินจิ้งจึงได้เลียนอย่างนางอันใดกัน เห็นชัดว่านางวางแผนให้ผู้อื่นมาติดกับต่างหาก!”

 

 

นางเถายิ้มออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางเอ่ยปลอบบุตรสาว “บุรุษย่อมต้องมีช่วงเวลาที่สายตาเลอะเลือนบ้าง ยามนี้ผู้คนอาจเห็นว่าองค์ชายหกโปรดนาง แต่ต่อไปใครจะทราบว่าเป็นเช่นไร อย่างไรนางก็มีส่วนเกี่ยวข้องในการตายของคุณหนูผู้นั้นเป็นแน่ แม่ไม่เชื่อว่าองค์ชายหกจะไม่รู้สึกอันใดเลยสักนิด ข้ายังได้ยินมาอีกว่า เมื่อวันก่อนองค์ชายหกได้พบหน้ากับหลัวซื่อจื่อ หลัวซื่อจื่อดูมีท่าทีมิใคร่พอใจเท่าใดนัก เพราะนางแพศยานั่นได้ล่วงเกินขุนนางคนสำคัญของราชสำนักเข้าแล้ว ตอนนี้องค์ชายหกอาจไม่ตำหนินาง แต่ต่อไปก็ไม่แน่ ”

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยยังไม่มีท่าทีว่าจะยิ้มได้ นางเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “รอให้ข้าแต่งเข้าไปก่อนเถิด ข้าจะจัดการนางเอง!”

 

 

นางเถารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ

 

 

เพราะต้องไว้ทุกข์ พิธีปักปิ่นของบุตรสาวจึงต้องจัดอย่างเงียบเหงา ปีกว่ามานี่ที่ต้องอยู่แต่ในจวน บุตรสาวจึงมิได้ไปเล่นสนุกอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว ทั้งยังต้องมาพบเจอเรื่องที่ทำให้ว้าวุ่นใจเช่นนี้อีก

 

 

เดิมนางคิดจะเตือนจ้าวเฟยชุ่ยว่าอย่าได้แข็งเข้าสู้ แต่คิดดูแล้วก็ได้แต่ปล่อยไป ยังมีเวลาอีกปีกว่าจึงจะออกเรือน ค่อยๆ พร่ำสอนแล้วกัน ยามนี้บุตรสาวอารมณ์ไม่ดี พูดเรื่องพวกนี้ไปก็รังแต่จะทำให้นางยิ่งหงุดหงิด

 

 

เรื่องที่องค์ชายหกกับหลัวซื่อจื่อผิดใจกันนั้นเป็นที่รู้กันไปทั่วในเวลาไม่นาน

 

 

ระยะนี้องค์ชายสามจึงอารมณ์ดีไม่น้อย แม้ยามปรึกษางานกับขุนนางผู้ช่วย มุมปากก็ยังเคลือบด้วยรอยยิ้ม

 

 

“องค์ชาย องค์ชายหกไม่น่ากลัวเท่าใด ที่ท่านต้องระวังคือคนผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางผู้ช่วยที่ไว้เคราแพะยื่นมือไปจุ่มน้ำชาแล้ววาดอักษร ‘อู่’[1] ลงบนโต๊ะไม้หลี

 

 

ขุนนางผู้ช่วยจึงเอ่ยสำทับว่า “ข้าน้อยได้ยินมาว่า ซูเฟยทรงคิดจะให้องค์ชายห้าอภิเษกกับฉงสี่เซี่ยนจู่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

องค์ชายสามคลึงหัวคิ้วตนคราหนึ่ง “ไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของวังจั่งกงจู่ไว้ ข้าคิดว่าท่านอาหญิงของข้าคงมิตกปากรับคำง่ายๆ แน่”

 

 

เขามีเรื่องให้กังวลหลายอย่างทั้งยังเพิ่งจัดพิธีฝังศพพระชายาไปจึงดูซูบผอมลงไปเล็กน้อย

 

 

ขุนนางผู้ช่วยทั้งสองสบตากันคล้ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่

 

 

เมื่อจักรพรรดิไม่โปรดรัชทายาท องค์ชายรองก็กลายเป็นคนพิการ องค์ชายหกจึงกลายเป็น ‘พระโอรสองค์โต’ ไปโดยปริยาย มารดาแท้ๆ ของเขามีบรรดาศักดิ์เป็นเฟย ตระกูลมารดาก็มีอำนาจมาก จึงอาจพูดได้ว่าเขามีโอกาสมากที่สุด

 

 

หากพ้นหนึ่งปีช่วงไว้ทุกข์ไป องค์ชายห้าทาบทามขอฉงสี่เซี่ยนจู่ได้ แล้วองค์ชายสามีหรือจะทำไม่ได้

 

 

“องค์ชายสี่เราก็มิอาจประมาท”

 

 

กระทั่งขุนนางผู้ช่วยทั้งสองกลับไปแล้ว องค์ชายสามก็ยังนั่งพิงเก้าอี้ไท่ซือนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงไปที่ห้องตำรา

 

 

“พระบิดา…” จิ่งเกอวิ่งเข้ามา ด้านหลังมีเหล่านางกำนัลและแม่นมตามติดอยู่ เมื่อเห็นองค์ชายหกก็ต่างก้มหน้าย่อกายถวายพระพร

 

 

องค์ชายสามขมวดคิ้ว “เหตุใดจิ่งเหอจึงมาที่นี่ได้?”

 

 

บ่าวไพร่ทั้งหลายต่างตัวสั่นงันงกไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากสักคน

 

 

จิ่งเกอจับแขนเสื้อองค์ชายสามไว้ “พระบิดา ข้าอยากพบพระมารดา”

 

 

เมื่อมองบุตรชายเพียงคนเดียวของตนแล้ว องค์ชายหกก็รู้สึกสับสนขึ้นมาอย่างยิ่ง

 

 

หวังเฟยเลี้ยงดูจิ่งเกอให้ไร้เดียงสาเกินไป ตอนที่เขาอายุเท่านี้ก็รู้เรื่องต่างๆ มากยิ่งแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จิ่งเกอคงใช้การอันใดมิได้แน่ อนาคตของจิ่งเกอนั่นมิได้จะเป็นแค่อ๋องที่ว่างเปล่าไร้ประโยชน์สักหน่อย!

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ องค์ชายสามจึงแข็งใจเอ่ยออกไปว่า “จิ่งเกอ พระมารดาของเจ้าสิ้นแล้ว”

 

 

“สิ้นแล้ว?”

 

 

“ใช่”

 

 

“พระบิดา อันใดที่เรียกว่าสิ้นแล้ว”

 

 

มุมปากขององค์ชายสามบิดเบ้ขึ้น แล้วเอ่ยอธิบายอย่างอดทน “ก็เหมือนกับปลาปลาจิ๋นหลี่ที่เจ้าเคยเลี้ยงอย่างไรเล่า เมื่อมันไม่ว่ายน้ำแล้วก็ต้องเอามันไปฝังดิน”

 

 

“พระบิดาโกหก!” จิ่งเกอโมโหอย่างยิ่ง ใบหน้าน้อยๆ แดงก่ำไปหมด “พระมารดาไม่เหมือนปลาจิ๋นหลี่เสียหน่อย ก่อนหน้านี้ไม่นานพระมารดายังทำขนมหงถังเจ่า[2] ให้จิ่งเกอกินอยู่เลย พระมารดายังเลี้ยงแมวขนสวยที่มีตาคนละสีอีกด้วย”

 

 

จิ่งเกอเอ่ยถึงตรงนี้ก็ทำปากยื่นขึ้น แล้วเอ่ยด้วยท่าทีเศร้าสร้อยว่า “แต่ไม่รู้เหตุใดพระมารดาจึงไม่กลับตำหนัก แต่กลับไปอยู่ที่อื่น ที่นั่นไม่มีพระบิดาและจิ่งเกอ”

 

 

องค์ชายหกคุกเข่าลงสองมือจับบ่าจิ่งเกอไว้ แล้วเอ่ยเน้นย้ำทีละคำว่า “จิ่งเกอ เจ้าฟังให้ดี นั่นมิใช่พระมารดาของเจ้า พระมารดาเจ้าตายไปแล้ว เจ้าลืมแล้วหรือ ตอนนั้นพระมารดาเจ้ามีโลหิตไหลเปื้อนเต็มไปหมด…”

 

 

เขาไม่ต้องการบุตรชายที่อ่อนแอขี้ขลาดกระทั่งไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง อย่างน้อยตอนนี้ บุตรชายเพียงคนเดียวของเขาก็มิอาจเป็นเช่นนั้น!

 

 

จิ่งเกอตัวแข็งอยู่ตรงนั้น ในหัวพลันปรากฏภาพโลหิตสาดกระจาดไปทั่ว สีแดงสดนั้นบดบังดวงตาเขาไปหมดทำให้มองสิ่งใดก็เป็นสีแดง ทั้งยังมีกลิ่นแปลกประหลาดและความร้อนผะผ่าว…

 

 

คล้ายมีตะไบแหลมกำลังเจาะเข้าไปในหัวของจิ่งเกอโดยแรง เขาร้องขึ้นเสียงดังแล้ววิ่งหนีไป

 

 

องค์ชายสามหยัดกายลุกขึ้นแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ดูแลพระราชนัดดาให้ดี หากเขาเป็นอันใดไป พวกเจ้าก็อย่าได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไปเลย”

 

 

“เพคะ” แม่นมและนางกำนัลทั้งหลายจึงรีบวิ่งตามไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน

 

 

ในที่สุดเจาเฟิงตี้ก็ขึ้นว่าราชกิจเสียที และนี่เป็นครั้งแรกที่ทรงปรากฏกายขึ้นในตำหนักจินหลวน[3]หลังผ่านเทศกาลวันตรุษมา

 

 

เขาดูผอมซูบลงอีกแล้ว แต่ท่าทียังคงดีอยู่จึงสามารถไล่ความกังวลของคนจำนวนหนึ่งออกไปได้บ้าง

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับรู้ดีว่าที่เจาเฟิงตี้ยังคงดีอยู่ได้เพราะใช้โอสถลับช่วยแต่ก็มิอาจรักษาได้ทุกส่วน จิตใจของเขาได้รับความเสียหายอย่างยิ่งมานานแล้ว

 

 

ภาพในชาติที่แล้วค่อยๆ ซ้อนทับกับภาพภพชาตินี้

 

 

ชาติก่อนนั้นเจาเฟิงตี้ถูกพยัคฆ์ร้ายกระโจนใส่จึงตกใจเสียขวัญจนร่างกายทรุดโทรมลงทุกวัน ล้มป่วยอยู่เช่นนั้นไม่กี่ปีก็สิ้นพระชนม์

 

 

ในชาตินี้นั้นแม้เขาจะขวางเอาไว้ทันแต่ก็เกิดเหตุลอบสังหารในงานเลี้ยงฉลองเทศกาลวันตรุษของราชวงศ์ เจาเฟิงตี้เห็นสะใภ้ตนตายลงไปกับตา จิตใจจึงได้รับการกระทบกระเทือนไม่น้อย สุขภาพจึงไม่ต่างอันใดกับชาติที่แล้วเลย

 

 

แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาถูกอารองและอาสะใภ้รองเลี้ยงดูอย่างตามใจทำให้มิใส่ใจเรื่องราชสำนัก แม้จะรู้จุดจบของเหตุการณ์สำคัญบางเรื่อง แต่ระหว่างนั้นเกิดเหตุอันขึ้นบ้างก่อนจะสิ้นสุดลง เขากลับมิได้ใส่ใจนัก

 

 

แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาจำได้ หลังจากที่องค์ชายหลายพระองค์เข้ามาช่วยดูแลราชกิจ องค์ชายหกได้ไปดูแลกรมโยธา

 

 

องค์ชายหกที่ถูกผู้คนทั้งหลายละเลยนั้นดูแลกรมโยธาอยู่หลายปี สุดท้ายเขาสามารถคิดค้นระเบิดที่มีอานุภาพรุนแรงชนิดหนึ่งขึ้นมาได้ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในระหว่างที่ทำการรบกับลี่อ๋องแห่งชิงเป่ย

 

 

เรื่องราวเป็นไปอย่างที่คาดไว้ หลังจากที่เจาเฟิงตี้มีรับสั่ง คนทั้งหลายก็เริ่มวางแผนการในใจตนขึ้น

 

 

องค์ชายทุกพระองค์ที่บรรลุนิติภาวะแล้วต่างได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง

 

 

องค์ชายรองถูกแต่งตั้งเป็นฉีอ๋อง องค์ชายสามเป็นเยี่ยนอ๋อง องค์ชายสี่เป็นซิ่วอ๋อง องค์ชายห้าเป็นกุ้ยอ๋อง องค์ชายหกเป็นเฉินอ๋อง

 

 

โดยองค์ชายสามดูแลกรมขุนนาง องค์ชายสี่ดูแลกรมพิธีการ องค์ชายห้าดูแลกรมพระคลัง องค์ชายหกดูแลกรมโยธา

 

 

องค์ชายรองกลายเป็นคนพิการไปแล้วจึงมิเอ่ยถึง ส่วนรัชทายาทก็ยังคงรักษาอาการประชวรอยู่ในตำหนัก

 

 

ในเวลาเพียงไม่นานก็มีคนไม่น้อยหันไปเข้าพวกกับองค์ชายสามหรือไม่ก็องค์ชายห้า

 

 

องค์ชายสี่นั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีกระตือรือร้นหรือเย็นชา ส่วนกับองค์ชายหกนั้นแทบจะไม่มีคนถามถึงเลยด้วยซ้ำ

 

 

องค์ชายสามยุ่งกับภารกิจมากขึ้นทุกวันจึงมิได้ไปหาจิ่งเกอหลายวันแล้ว วันนี้แม่นมหนิวที่คอยดูแลจิ่งเกอมาขอพบ เขาจึงทราบว่าจิ่งเกอหายไป

 

 

องค์ชายสามร้องคำรามดังลั่น “คนมากมายเพียงนี้ยังดูแลเด็กคนเดียวไม่ได้? เช่นนั้นจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำอันใด! ทหาร…”

 

 

คนทั้งหลายตกใจจนตัวสั่นไปหมดจึงได้แต่โขกศีรษะร้องขอชีวิต

 

 

องค์ชายสามสะกดกลั้นโทสะตนไว้แล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “บอกมาว่าจิ่งเกอหายตัวไปได้อย่างไร!”

 

 

แม่นมหนิวที่ถือว่าเป็นหัวหน้าของทุกคนจึงเอ่ยเล่าทุกอย่างออกมา

 

 

 

 

——

 

 

[1] อู่ (五) ในภาษาจีนแปลว่า ห้า

 

 

[2] หงถังเจ่า เป็นขนมปังชนิดหนึ่งที่หากินได้ทั่วไป ส่วนผสมหลักคือแป้งและพุทราแดง

 

 

[3] ตำหนักจินหลวน เป็นหนึ่งในสามตำหนักใหญ่ในพระราชวังใช้สำหรับทำพิธีสำคัญต่างๆ

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset