วาสนาบันดาลรัก 282 แทงใจ

ตอนที่ 282 แทงใจ

 

 

“พี่เจี่ยง…” เจินเมี่ยวยกกระโปรงเดินเข้าไปทักทาย

 

 

เจี่ยงเฉินหันหน้ากลับมาโดยพลัน สายตาหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้างามที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเช้าค่ำและมิอาจละสายตาได้อีก

 

 

เขาจ้องมองบุคคลตรงหน้านิ่งราวกับต้องการสลักนางไว้ในหัวใจก็มิปาน คลื่นที่ซัดสาดอยู่ในอกนั้นกระจายไปทั่วสรรพางค์ทำให้เขารู้สึกอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง แต่เมื่ออ้าปากขึ้นกลับเอ่ยออกมามิได้แม้เพียงคำ

 

 

“พี่เจี่ยง ท่านดูผอมลงนะ ได้ยินท่านแม่บอกว่าท่านไม่สบาย ดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่? หรือเป็นเพราะอาหารไม่ถูกปาก?”

 

 

เจี่ยงเฉินผอมลงไปไม่น้อยจริงๆ เขาสวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวหม่นทั้งร่างให้ความรู้สึกดุจความอ่อนโยนอันหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวงแล้วกระนั้น

 

 

เมื่อได้ยินเสียงอ่อนหวานเอ่ยขึ้น เจี่ยงเฉินจึงตามหาสติของตนเจอ เขายิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นอันใด แค่ไข้หวัดเล็กน้อย ที่ดูผอมลงเพราะตัวสูงขึ้นเท่านั้นเอง”

 

 

เจินเมี่ยวจึงเพิ่งสังเกตว่าหนุ่มน้อยที่อบอุ่นสง่างามและดูโง่งมบางคราในความทรงจำผู้นั้นได้เติบโตเป็นบุรุษร่างสูงดุจไผ่เขียวแล้ว นางต้องเงยหน้าขึ้นมองถึงจะเห็นอารมณ์บนใบหน้าของเขาได้

 

 

“ช่วงนี้ญาติผู้น้องสบายดีใช่หรือไม่ ตอนได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในวันตรุษนั้น ขะ…เราทุกคนล้วนเป็นห่วงยิ่ง”

 

 

เจินเมี่ยวเผยยิ้มออกมา “สบายดีเจ้าค่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นมันกะทันหันยิ่งจนมิทันได้รู้สึกกลัวด้วยซ้ำ ทำให้เมื่อหวนกลับไประลึกถึงอีกคราหลังทุกอย่างผ่านพ้นแล้วก็มิได้มีความรู้สึกกลัวเหลืออยู่เลย ซื่อจื่อบอกว่าข้าเป็นคนโง่ที่มีวาสนาของคนโง่เจ้าค่ะ”

 

 

ใจของเจี่ยงเฉินคล้ายถูกเข็มเล่มหนึ่งปักแทงเข้าไปโดยแรง ทั้งเจ็บทั้งปวด ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้หน้าของเขาเปลี่ยนสีไปโดยพลัน จึงรีบกัดลิ้นตนไว้แล้วเผยรอยยิ้มอันจริงใจเข้าแทน “เป็นข้าเองที่คิดมากเกินไป ซื่อจื่อมีความสามารถเก่งกาจกว่าผู้ใดจักต้องปกป้องเจ้าได้แน่”

 

 

ก่อนที่เจินเมี่ยวจะออกเรือนนางก็รับรู้ถึงความในใจของเจี่ยงเฉินได้รางๆ แล้ว แต่นางคิดว่าหลังจากที่นางออกเรือนไป ความรู้สึกดีๆ อันคลุมเครือในวัยหนุ่มสาวนั้นจักค่อยๆ สลายไปดั่งหมอกควันที่ปลิวหายเมื่อถูกกระแสลมพัดผ่าน ครั้นเห็นสีหน้าแปลกพิกลของเจี่ยงเฉินก็คิดเพียงว่าเป็นเพราะไม่สบาย จึงรีบเอ่ยว่า “พี่เจี่ยงรู้สึกไม่สบายขึ้นมางั้นหรือ ที่นี่ลมแรงทั้งหนาวเย็น ท่านรีบกลับเรือนเถิด”

 

 

ครั้นสัมผัสได้ถึงสายตาแห่งความห่วงใยของเจินเมี่ยว ใจของเจี่ยงเฉินก็ยิ่งเจ็บปวด แต่ใบหน้าหล่อเหลาผอมเรียวนั้นกลับยังคงมีรอยยิ้มอยู่เช่นเดิม “กำลังจะกลับแล้วล่ะ แค่ออกมาสูดอากาศครู่หนึ่งเท่านั้น”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็เกิดอาการคันในลำคออยากจะไอขึ้นมา แต่เห็นว่าเจินเมี่ยวยังอยู่ตรงนี้จึงเกรงจะเสียมารยาททำให้ได้แต่อดกลั้นเอาไว้

 

 

“ญาติผู้น้องจะไปไหนหรือ ถึงเวลากลับจวนแล้วกระมัง?”

 

 

“ข้าไปเยี่ยมญาติผู้น้องที่สวนเฉินเซียง แต่นางไม่อยู่จึงออกมาตามหา หากพบนางแล้วได้พูดคุยกันสักหน่อยก็จะกลับ น่าเสียดายที่พี่มั่วเหยียนไม่อยู่ ข้าเคยรับปากเขาว่าเราจะกินหม้อไฟด้วยกันเมื่อฤดูหนาวมาถึง”

 

 

สายตาที่เจี่ยงเฉินมองเจินเมี่ยวนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนทั้งสว่างทั้งนวลตาดุจแสงจันทร์ที่แผ่กระจายกลืนกินแสงดอกไม้ไฟก็มิปาน “พี่เวินพูดเรื่องนี้อยู่หลายครั้งจริงๆ”

 

 

เจินเมี่ยวยิ้ม “เช่นนั้นรอเขากลับมา ข้าจะให้ซื่อจื่อเชิญพวกท่านไปดื่มสุราด้วยกัน”

 

 

“อืม” เจี่ยงเฉินยิ้มน้อยๆ แต่กลับถอนหายใจแผ่วเบาอยู่ในอก

 

 

การนัดหมายนี้ได้กลายเป็นความฝันอันงดงามที่ไกลเกินเอื้อมตั้งแต่วันที่ญาติผู้น้องแต่งออกไปแล้ว

 

 

ตราบใดที่ความคิดอันน่าละอายเช่นนั้นยังมิหายไป เขาจะหน้าด้านไปดื่มสุรากับซื่อจื่อได้จริงๆ หรือ?

 

 

เหตุใดบนโลกใบนี้ต้องมีเรื่องที่ทำให้คนกลัดกลุ้มเช่นนี้ ทั้งความรู้สึกที่มิอาจควบคุมได้นั้นอีก เจี่ยงเฉินรู้สึกขมขื่นในใจขึ้นมาจึงกุมหน้าอกตนโดยไม่รู้ตัว

 

 

เจินเมี่ยวเห็นเจี่ยงเฉินรับปากก็ดีใจยิ่ง การกินหม้อไฟนั้นต้องกินหลายๆ คนจึงคึกคัก นางส่งยิ้มให้เขาแล้วยกกระโปรงขึ้นพลางเอ่ยว่า “พี่เจี่ยง เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ท่านก็กลับเรือนเถิด”

 

 

“ญาติผู้น้องค่อยๆ เดินเล่า” เท้าของเจี่ยงเฉินขยับขึ้นเล็กน้อยด้วยคิดจะไปส่งนาง แต่ก็หยุดฝีเท้าตนไว้ในทันที

 

 

ในขณะที่เขายกเท้าขึ้นแล้ววางมันลงก็บังเอิญไปเหยียบกิ่งไม้แห้งบนพื้นเข้าพอดี นกกระจอกที่มาหาอาหารในป่าไผ่ต่างบินแตกตื่นขึ้นฟ้าไป

 

 

นกกระจอกบางตัวรีบร้อนโผบินไร้ทิศทางจนไปชนเข้ากับกิ่งไผ่ หิมะที่ยังไม่ละลายกับหยาดน้ำค้างบนต้นไผ่ต่างร่วงเกรียวกราวลงมา เจี่ยงเฉินทะยานเข้าไปผลักเจินเมี่ยวออกเพื่อรับหิมะเหล่านั้นแทน เจินเมี่ยวโดยไม่แม้แต่จะคิดอันใดด้วยซ้ำ

 

 

ความเหน็บหนาวที่เสียดแทงเข้ามาอย่างกะทันหันนั้นทำให้เขาไอออกมาโดยแรงอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป

 

 

เจินเมี่ยวเห็นบุรุษที่เดิมนั้นนิ่งขรึมดุจเทพเซียนตกอยู่ในสภาพอนาถทั้งยังไออย่างรุนแรงก็รู้สึกมึนงงไปเล็กน้อยแล้วรีบหยิบพาเช็ดหน้าส่งให้ ทั้งหันไปกำชับสาวใช้ว่า “ชิงเกอ เจ้ารีบไปเอาเสื้อคลุมกันลมมาให้พี่เจี่ยงที ไม่…ไม่ดีกว่า เจ้าไปส่งพี่เจี่ยงที่เรือนน่าจะเร็วกว่า”

 

 

“เจ้าค่ะ” ชิงเกอรีบวิ่งเข้าไป

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกเป็นห่วงกลัวร่างกายของเจี่ยงเฉินจะรับไม่ไหว เขาผอมบางเพียงนี้ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ค่อยสบาย แล้วต้องมาถูกความเย็นอีก หากอาการหนักขึ้นคงแย่แน่ จึงอดตัดพ้อมิได้ว่า “พี่เจี่ยง ท่านผลักข้าออกทำไม ข้าแข็งแรงกว่าท่านอีก ต่อให้ถูกหิมะทับก็ไม่เป็นอันใดแน่”

 

 

แค่กๆ ญาติผู้น้อง เจ้าเติมเกล็ดน้ำค้างลงบนกองหิมะเช่นนี้ มันดีแล้วจริงๆ หรือ?

 

 

เจี่ยงเฉินพลันไอหนักขึ้นกว่าเดิม

 

 

“ต้าไหน่ไหน่…” ไป่หลิงร้องเรียกขึ้นอย่างรีบร้อนด้วยใบหน้าซีดเผือด

 

 

เจินเมี่ยวไม่สนใจรีบเอ่ยเร่งชิงเกอว่า “รีบไปเถิด หากไปส่งพี่เจี่ยงเสร็จแล้วก็กลับไปรอข้าที่สวนเหอเฟิง”

 

 

“ต้าไหน่ไหน่…” ไป่หลิงร้อนใจจนต้องกระทืบเท้า

 

 

เจินเมี่ยวเลิกคิ้ว “ไป่หลิง เจ้าไม่มีกำลังมากเท่าชิงเกอ หากประคองพี่เจี่ยงกลับเรือนคงเหนื่อยมาก เจ้ามิต้องไปทำเรื่องที่ยากลำบากนั้นดอก”

 

 

ไป่หลิงนวดคลึงขมับทันที กระทั่งอดหันไปมองนายของตนตรงๆ มิได้

 

 

เสียงเย็นอันชัดถ้อยชัดคำนั้นพลันดังลอยมา “ปั้นซย่า ไปส่งคุณชายเจี่ยงกลับเรือน”

 

 

เจินเมี่ยวหันขวับกลับไปจึงเห็นหลัวเทียนเฉิงที่ไม่ทราบมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดยืนหันหน้ามองมานิ่ง ปั้นซย่าบ่าวรับใช้ข้างกายนั้นมีสีหน้าย่ำแย่ยิ่งคล้ายแพ้พนันจนหมดตูดมากระนั้น

 

 

วันนี้เขาสวมชุดสีดำทั้งชุดทำให้ดูสมส่วน สูงสง่าดุจสนเขียว สีอาภรณ์ขับเน้นให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูขาวสะอาดดุจหยกงาม เพียงแต่รอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าและนัยน์ตาคล้ายอัญมณีที่กำลังถูกหลอมอยู่นั้นส่องแสงเจิดจ้าดั่งดาราในราตรีอันเหน็บหนาวก็มิปาน

 

 

“ปั้นซย่า…” หลัวเทียนเฉิงมองไปที่เจี่ยงเฉิน แล้วเอ่ยปากขึ้นอีก

 

 

“ขอรับๆ” ปั้นซย่ารีบวิ่งเข้าไปโค้งกายต่ำ “คุณชายเจี่ยง เชิญขอรับ”

 

 

เมื่อเจี่ยงเฉินหยุดไอก็ยกมือขึ้นประสานกันเป็นการคารวะต่อหลัวเทียนเฉิง “รบกวนหลัวซื่อจื่อแล้ว”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่นเป็นรอยยิ้ม “คุณชายเจี่ยงเกรงใจเกินไปแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น วันหน้าข้าคงได้เชิญคุณชายไปดื่มสุราด้วยกัน”

 

 

เจี่ยงเฉินหันกลับไปพยักหน้าให้เจินเมี่ยวอย่างเป็นธรรมชาติ เขาซ่อนความห่วงใยและคำขอโทษไว้ในส่วนลึกของดวงตาอย่างมิดชิด แล้วค่อยเดินตามปั้นซย่าไป

 

 

กระทั่งเจี่ยงเฉินไปไกลแล้วหลัวเทียนเฉิงจึงหันกลับมามองเจินเมี่ยว ท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

เจินเมี่ยวพลันรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเหน็บหนาวขึ้นมากกว่าเดิม จึงยกมือกระชับอาภรณ์บนกายตนโดยไม่รู้ตัว

 

 

“มานี่…” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างไม่ใคร่สบอารมณ์นัก

 

 

สตรีผู้นี้ไม่เพียงทำให้เขาโมโหได้ แต่ยังรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้เขาใจอ่อน

 

 

เจินเมี่ยวนั้นไม่รู้เลยว่าคนบางคนกำลังออกอาการหึงหวงอย่างรุนแรงอยู่ นางจึงก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างแผ่วเบา

 

 

เมื่อเดินไปถึงตรงหน้าก็ถูกหลัวเทียนเฉิงรั้งเข้าไปหา เขาปลดเสื้อคลุมกันลมบนกายใส่ให้นางแทน

 

 

ครั้นเสื้อคลุมกันลมที่ยังมีไออุ่นของอีกฝ่ายวนเวียนอยู่นั้นถูกคลุมลงบนร่าง ความเหน็บหนาวก็พลันถูกขับไล่ไปจนหมด เจินเมี่ยวจึงรีบเอ่ยว่า “อย่าเลย เอาเสื้อคลุมให้ข้าเช่นนี้ หากท่านไม่สบายจะทำฉันใดเล่า?”

 

 

“ไม่เป็นไร ข้าแข็งแรงนัก หนาวแค่นี้มิเป็นอันใดสักนิด” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มขี้โรคผู้นั้นมีอันใดดีถึงได้ทำให้ภรรยาเขาห่วงใยปานนั้น หึ คิดว่าเขาทำไม่ได้หรือไร?

 

 

“จิ่นหมิง หรือว่าคนที่ฝึกยุทธ์จะทนหนาวทนร้อนได้มากกว่าคนธรรม ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ฝึกยุทธ์จนแกร่งกล้านั้น ความหนาวความร้อนล้วนมิอาจทำอันใดเขาได้”

 

 

หลัวเทียนเฉิงโกรธจนแทบหงายหลัง

 

 

เด็กหนุ่มขี้โรคนั้นรับหิมะที่ร่วงตกลงมาแทนเจี๋ยวเจี่ยว นางก็เป็นห่วงจนอยากจะเอาตัวเข้าไปรับแทน เขาถอดเสื้อคลุมกันลมให้นาง ตอนนี้ทั้งขาทั้งหน้าท้องล้วนสั่นสะท้านไปหมด แค่กๆ แม้มันออกจะเกินความจริงไปบ้างเล็กน้อยก็ตาม แต่การที่เจี๋ยวเจี่ยวคิดว่าความหนาวความร้อนล้วนทำอันใดเขาไม่ได้นั้น…เขา…เขาคงมิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแล้วจริงๆ!

 

 

คนบางคนหน้าบึ้งจนมิอาจบึ้งไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่ชิงเกอยังคงรู้สึกมึนงงอยู่ ส่วนไป่หลิงกลับมิอาจทนมองได้อีกต่อไป

 

 

ซื่อจื่อถูกต้าไหน่ไหน่ลากลงคลองไปเสียแล้ว การที่ทำให้เรื่องมันผิดเพี้ยนมาถึงขั้นนี้ได้นั้นมันก็มากพอแล้วจริงๆ

 

 

แต่เจินเมี่ยวกลับเอ่ยถามขึ้นมาอีกคำว่า “จิ่นหมิง เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ มิใช่ไปดื่มชากับท่านลุงทั้งหลายหรอกหรือ?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงได้ยินก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด เ­ขากัดฟันเอ่ยว่า “หากมิเป็นเช่นนี้ ปั้นซย่าไหนเลยจะมีโอกาสไปส่งคุณชายเจี่ยงกลับเรือนเล่า”

 

 

ตอนนี้เองเจินเมี่ยวถึงเริ่มรู้สึกว่าคนบางคนมีสีหน้าที่แปลกไป จึงเอ่ยถามว่า “จิ่นหมิง ท่านเป็นอันใดหรือ?”

 

 

“มิเป็นอันใด” หลัวเทียนเฉิงค่อยๆ พ่นลมหายใจออกมาทางปาก “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่เล่า?”

 

 

“ข้าไปหาญาติผู้น้องที่สวนเฉินเซียงแต่นางไม่อยู่ ได้ยินว่ามาที่เรือนเซี่ยเยียนจึงตามมาดูสักหน่อย”

 

 

“เรือนเซี่ยเยียน?”

 

 

“อืม เรือนเซี่ยเยียนเป็นเรือนที่พี่สามของข้าเคยอยู่เมื่อครั้งยังมิออกเรือน”

 

 

หลัวเทียนเฉิงมองไป่หลิงและชิงเกอด้วยสายตาเย็นเยือก แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “อากาศหนาวเช่นนี้ เจ้าอยากจะพบญาติผู้น้องก็ให้ไป่หลิงหรือชิงเกอไปเชิญนางมาที่สวนเหอเฟิงก็ได้ ไยต้องไปเอง หากไม่สบายขึ้นมาจะทำฉันใด?”

 

 

“พวกเจ้าไปตามญาติผู้น้องของต้าไหน่ไหน่มา ข้าจะพาต้าไหน่ไหน่กลับสวนเหอเฟิงก่อน”

 

 

หลัวเทียนเฉิงดึงแขนเจินเมี่ยวให้เดินไป ตลอดทางมิได้เอ่ยอันใดอีกเพราะกำลังโมโหนางอยู่

 

 

เจินเมี่ยวอยากจะทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายลงแต่นางไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเขาจึงโกรธขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ นางคิดว่าอาจเพราะโรคเดิมที่เคยเป็นนั้นยังมิหายสนิทดี บางคราก็อาจจะกำเริบขึ้นมาได้จึงคิดไว้ว่าค่อยไปง้อเขาระหว่างนั่งรถม้ากลับจวนแล้วกัน

 

 

ทว่าเมื่อคนบางคนเห็นเจินเมี่ยวทำวางเฉยคล้ายไม่มีเรื่องอันใดก็ยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก

 

 

ในเรือนเซี่ยเยียนนั้นมีกระถางถ่านไฟจัดวางอยู่หลายแห่ง อากาศอบอุ่นดุจวสันต์ฤดู

 

 

“พี่จิ้ง ข้าต้องปักลงไปเช่นนี้ใช่หรือไม่?” เวินยาฉีเอ่ยถามด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม

 

 

นางคิดมาตลอดว่าเวินยาหันพี่สาวของนางทำงานปักเย็บได้เก่งกาจโดดเด่นที่สุด คิดไม่ถึงว่าคุณหนูสามของจวนปั๋วผู้เป็นอนุขององค์ชายหกก็มีฝีมือการปักเย็บเป็นอันดับหนึ่งเช่นกัน

 

 

ในสายตาคุณหนูน้อยนั้นองค์ชายหกเป็นบุคคลที่เก่งกาจและสูงศักดิ์กว่าคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงมากนัก การเป็นคนของเขาช่างเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจที่สุด แม้นจะเป็นเพียงอนุก็ตาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณหนูสามที่กำลังตั้งครรภ์พระราชนัดดาอยู่ผู้นี้เลย ได้ยินว่าหากคลอดออกมาก็จะถูกแต่งตั้งเป็นพระชายารองทันที

 

 

เจินจิ้งชำเลืองมองสาวใช้ที่เดินเข้ามาเงียบๆ ครู่หนึ่ง สาวใช้พยักหน้าให้นาง เจินจิ้งหยักยกมุมปากขึ้น แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนยิ่ง “ทำเช่นนี้…น้องยาฉีช่างมีพรสวรรค์จริงๆ ”

 

 

อย่างไรก็เป็นแค่สาวน้อยด้อยประสบการณ์ นางเรียกมาหาแค่ไม่กี่ครั้ง เผลอพูดอันใดนิดๆ หน่อยๆ ออกไปเท่านั้นก็สามารถควบคุมนางได้แล้ว

 

 

ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็มีสาวใช้เดินเข้ามาอีก “นายหญิง พี่สาวผู้รับใช้กูไหน่ไหน่สี่มาเจ้าค่ะ บอกว่าจะมาเชิญคุณหนูเวินยาฉีไปที่สวนเหอเฟิง”

 

 

ครั้นได้ยินว่าเจินเมี่ยวเรียกนาง เวินยาฉีก็มีสีหน้ายินดีขึ้นมา

 

 

เจินจิ้งยิ้มพลางเอ่ยว่า “รีบไปเถิด”

 

 

เมื่อเวินยาฉีออกไปนางก็หุบยิ้มทันที แล้วเอ่ยถามสาวใช้ผู้เข้ามาคนแรกว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

สาวใช้ผู้นั้นเอ่ยเสียงต่ำว่า “กูไหน่ไหน่สี่พูดคุยอยู่กับคุณชายเจี่ยงในป่าไผ่แต่หลัวจื่อซื่อก็บังเอิญมาเห็นเข้าพอดีเจ้าค่ะ”

 

 

“ไม่มีใครเห็นเจ้าใช่หรือไม่?”

 

 

“ไม่เจ้าค่ะ บ่าวซ่อนตัวอยู่ไกลมาก ครั้นเห็นซื่อจื่อปรากฎตัวขึ้นก็รีบกลับมาทันทีเจ้าค่ะ”

 

 

เจินจิ้งหน้าบานขึ้นมาโดยพลัน

 

 

ยิ่งเป็นสามีภรรยาหนุ่มสาวที่รักกันมากก็ยิ่งทนไม่ได้กับเรื่องแทงใจเช่นนี้ ขอเพียงเมล็ดพันธุ์แห่งความแคลงใจนี้งอกเงยขึ้น เรื่องสนุกๆ ก็จะตามมาทันที

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset