เจินเมี่ยวท้องร้องโครกครากขึ้นมาทันใด
หลัวเทียนเฉิงคลายโทสะแล้วจึงนั่งหลังตรงขึ้น เขาดึงชายชุดคลุมตัวยาวของตนลงเพื่อปิดบังที่ตรงนั้นที่ชูชันขึ้นมาแล้วไว้ ทั้งพยายามทำสีหน้าท่าทางให้ดูจริงจังมากที่สุดแล้วเอ่ยว่า “ไปกินข้าวเถิด กินข้าวเสร็จข้ายังต้องไปศาลาว่าการอีก”
เจินเมี่ยวลุกขึ้นเดินไปนั่งลงหน้าโต๊ะสี่เหลี่ยมที่จัดวางอาหารไว้ แล้วเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “อันใดกันต้องไปศาลาว่าการด้วยหรือ เปิดทำการอีกทีมิใช่วันที่สิบห้าไปแล้วหรอกหรือ?”
หลัวเทียนเฉิงเดินตามมานั่งลงข้างๆ แล้วยื่นมือไปจัดปอยผมที่ร่วงตกขึ้นทัดไว้ที่ใบหูให้เจินเมี่ยว เอ่ยด้วยรอยยิ้มขืนว่า “เจ้าลืมเรื่องนั้นที่เกิดขึ้นในวันตรุษแล้วหรือไร หน่วยองครักษ์จิ่นหลินย่อมต้องมีเรื่องให้สะสาง เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว กินข้าวก่อนเถิด ไม่งั้นจะเย็นเสียก่อน”
อากาศหนาวเช่นนี้อาหารย่อมหายร้อนเร็วยิ่ง แค่ชั่วเวลาเพียงประเดี๋ยวเดียวที่คนทั้งสองกอดเกี่ยวกันอยู่นั้น อาหารก็เย็นชืดไปแล้ว เจินเมี่ยวคีบเนื้อปลาขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วส่ายหน้า สุดท้ายก็เรียกชิงเกอเข้ามาหา
“เอาเนื้อวัวที่ก่อนหน้านี้ข้าให้เจ้าเอาไปแช่แข็งไว้มาหั่นเป็นแผ่นบางแล้วทำน้ำแกงเนื้อวัวหมาล่ามา” เจินเมี่ยวสั่งเสร็จก็มองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า “ช่างเถิด ข้าทำเองดีกว่า”
หัวเทียนเฉิงดึงมือนางไว้ “อากาศหนาวเพียงนี้ ทั้งยังเป็นเนื้อวัวที่แช่แข็งไว้อีก ไยเจ้าต้องลงมือทำเองเล่า น้ำแกงเนื้อวัวหมาล่าที่ชิงเกอทำก็รสชาติไม่เลวมิใช่หรือ?”
เจินเมี่ยวส่ายหน้า “ท่านยุ่งเพียงนี้ ควรงดกินหมาล่าจะได้ไม่เป็นร้อนใน ข้าจะไปทำน้ำแกงเนื้อวัวรสเปรี้ยวซึ่งช่วยให้อุ่นท้อง แต่ข้ายังไม่เคยสอนชิงเกอทำเลย”
ชิงเกอได้ยินว่ามีอาหารแบบใหม่ก็ตื่นเต้นยิ่ง “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวจะหั่นเนื้อวัวเอง ท่านแค่คอยบอกอยู่ข้างๆ ว่าต้องทำอย่างไรบ้างก็พอเจ้าค่ะ”
เพราะวาจานี้ของเจินเมี่ยวทำให้หัวใจของหลัวเทียนเฉิงชุ่มชื่นขึ้นมา จู่ๆ เขาก็อยากจะลองกินน้ำแกงเนื้อวัวรสเปรี้ยวร้อนๆ สักคำเหลือเกิน
เจินเมี่ยวทำอาหารเร็วยิ่ง ไม่นานนางก็กลับมา ชิงเกอยกถ้วยกระเบื้องลายครามใบใหญ่ตามหลังมา น้ำแกงในถ้วยนั้นเป็นสีขาวแต่รสชาติเข้มข้นยิ่ง เนื้อวัวนั้นก็บางราวกระดาษ เห็ดเข็มทองฉีกเป็นเส้นเล็กๆ ด้านบนโรยด้วยผักดองและต้นหอมซอยละเอียด กลิ่นเปรี้ยวๆ นั้นลอยเข้ามาประทะจมูก แค่ได้กลิ่นก็หิวแล้ว
เจินเมี่ยวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มท่ามกลางควันที่ฟุ้งนั้นว่า “กับข้าวพวกนี้เย็นแล้ว ไม่ต้องกินแล้ว เรากินแค่ถ้วยนี้ก็พอ กินคู่กับหมานโถวพวกนั้นก็ได้”
เมื่อน้ำแกงรสเปรี้ยวตกลงสู่กระเพาะ หลัวเทียนเฉิงก็รู้สึกอุ่นวาบไปทั่วกาย หัวใจก็อบอุ่นอิ่มเอมยิ่งจนไม่อยากขยับไปไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกไปทำงานที่ต้องอยู่ห่างจากภรรยาผู้น่ารักเลย
ครั้นกินข้าวเสร็จก็ตัดสินใจดื่มชาอีกจอกแล้วหักใจจากไปทันที
เจินเมี่ยวเอ่ยถามขณะกำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่มว่า “จิ่นหมิง พิษที่องค์ชายรองได้รับนั้นไม่มีวิธีรักษาแล้วจริงๆหรือ?”
“ได้ยินว่าพิษบุรุษไร้ใจนี้ไม่มียารักษาได้ หรืออาจจะมีวิธีสลายพิษอยู่แต่ก็ไม่ค่อยมีผู้ใดทราบกระมัง อย่างไรเสียมันก็เป็นพิษของชนเผ่าอื่น”
“แล้วมือสังหารในคืนนั้นเป็นใครหรือ?”
หลัวเทียนเฉิงลังเลครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นเจินเมี่ยวมองเขาด้วยสายตาเช่นนั้นก็มิกล้าพูดคำว่า ‘เรื่องนี้เจ้ามิจำเป็นต้องใส่ใจ’ ออกมา เพียงเอ่ยเสียงต่ำแผ่วว่า “เป็นคนของเผ่าเย่ว์อี๋”
“เผ่าเย่ว์อี๋? ก็คือเผ่าที่สูญสิ้นไปหลังจากที่เจาอวิ๋นจั่งกงจู่หนีการอภิเษกน่ะหรือ?”
“ใช่” หลัวเทียนเฉิงมีท่าทีนิ่งขรึม เขาเคาะเริ่มเคาะโต๊ะโดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่ที่เขาหายตัวไปในเป่ยเหอจนต่อมาได้พบกับอาสี่ ก็คล้ายว่าเผ่าเย่ว์อี๋นี้ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งกระนั้น เรื่องมือสังหารที่เข้าไปทำก่อเหตุถึงในวังนั้นก็ตรวจสอบจนพบว่าเป็นคนของเผ่าเย่ว์อี๋ หากค่อยๆ สืบให้ลึกลงไปเรื่อยๆ แม้นยามนี้เขาจะมีอำนาจเป็นผู้ควบคุมหน่วยองครักษ์จิ่นหลินก็จริง แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็เลือนรางดุจชมบุปผาท่ามกลางหมอกควันกระนั้น
เรื่องนี้จักรพรรดิทรงกริ้วมาก เพราะเกี่ยวพันกับคนไม่น้อย ทั้งขุนนางฝ่ายใน กองพิธีการ กระทั่งขุนนางในศาลกวงหลี่ว์ก็ยังเกี่ยวพันกับเรื่องนี้แต่หลังจากสืบความทราบว่ามือสังหารชุดแดงนั้นเข้ามาเป็นนางระดับในวังตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว ทุกอย่างก็เริ่มยากขึ้น
“เจี๋ยวเจี่ยว ข้าไปทำงานก่อน พรุ่งนี้เช้าจะกลับมาพาเจ้ากลับไปเยี่ยมจวนเจี้ยนอานปั๋ว”
ปกติแล้วสตรีที่แต่งงานแล้วจะกลับไปเยี่ยมบ้านในวันที่สองและสาม แต่น่าเสียดายที่เจินเมี่ยวถูกกักตัวอยู่ในวังจึงมิได้ไป ทำให้ต้องยื่นเวลาออกมาอีก
“อืม เช่นนั้นท่านก็รีบไปรีบกลับแล้วกัน”
หลัวเทียนเฉิงดึงเจินเมี่ยวเข้ามาก่อนแล้วเอ่ยกำชับว่า “พระนัดดานั้นอยู่ที่นี่ คิดว่าไม่นานองค์ชายสามคงส่งคนมาที่นี่แน่ ไม่ว่าผู้ที่มาจะเป็นใคร เจ้าก็อย่าได้ทำให้ตนต้องลำบากเด็ดขาด”
เจินเมี่ยวพยักหน้ารับ
“อีกอย่าง…หากพระนัดดายังเรียกเจ้าว่าท่านแม่อีก เจ้าก็อย่าได้ไปตามใจเขาอีก เรามิควรตามใจเด็กจนเสียนิสัย!” หลัวเทียนเฉิงพูดในสิ่งที่เขาคิดไว้มานานแล้วออกมาในที่สุด
เจินเมี่ยวส่งเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้เขาพลางโต้แย้งว่า “พระนัดดาเพิ่งเสียแม่ไป เหตุใดท่านต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กด้วยเล่า”
หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึมมากว่าปกติที่เคยเป็น แล้วเอ่ยโต้กลับ “นี่เรียกว่าเป็นการคิดเล็กคิดน้อยงั้นหรือ?”
เจินเมี่ยวอยากจะคุกเข่าให้เขาเสียจริง
พี่ชาย หน้าท่านบึ้งตึงถึงเพียงนี้แล้ว หากไม่เรียกว่าคิดเล็กคิดน้อยจะเรียกอันใดเล่า!
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าคงไม่อยากให้พระนัดดาพักอยู่ที่จวนเราไปตลอดกระมัง เจ้าก็รู้ว่าเด็กคนนี้มีฐานะสูงส่ง ภายหน้าเกรงว่าจะมีแต่ความยุ่งยากแล้ว”
ความจริงเขามิได้กลัวเรื่องนี้เลย อย่างน้อยต่อหน้าองค์ชายสามก็ไม่กล้าทำอันใดกับขุนนางที่มีตำแหน่งในหน่วยงานพิเศษเช่นเขาแน่ และต่อให้ฉวยโอกาสวางแผนบางอย่างในขณะที่พระนัดดาอยู่ที่นี่ เขาเองก็สามารถป้องกันได้ทุกทาง แต่ที่สำคัญคือเด็กน้อยนั้นทำให้คนไม่ชอบหน้ายิ่งนัก
เวลาอันแสนสั้นที่เขากับเจี๋ยวเจี่ยวจะได้อยู่ร่วมกันกับถูกเจ้าเด็กนั้นแย่งไปเกือบทั้งหมด ดูท่าแล้วต่อไปคงเอาใหญ่กว่านี้แน่!
มีสิทธิ์ใดกัน นี่มันภรรยาเขา เขาอยากกอดก็กอด บิดาของเจ้าเด็กนั้นมาเกี่ยวอันใดด้วย!
เจินเมี่ยวถูกหลัวเทียนเฉิงขู่ไว้เสียอยู่หมัด
นางเองก็ได้ยินข่าวลือมาไม่น้อย ต่างเล่ากันว่าไท่จื่อมิได้รับความโปรดปรานแล้ว องค์ชายรองก็มากลายเป็นคนพิการ เช่นนี้แล้วก็เหลือแต่องค์ชายสามที่มีอายุมากที่สุดในบรรดาองค์ชาย ตระกูลพระมารดาก็สูงส่งมากอำนาจ นี่มิใช่นับเป็นตัวเลือกที่ดีในตอนนี้หรอกหรือ?
กล่าวเช่นนี้แล้ว พระนัดดาผู้นี้อาจจะได้เป็นรัชทายาทตัวน้อยก็ได้?
หลัวเทียนเฉิงยังเอ่ยขู่ขวัญนางอีกว่า “แค่กๆ เจ้าว่าหากท่านผู้นั้นได้รับตำแหน่ง พระนัดดาตัวน้อยก็ยอมรับเพียงเจ้า ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะต้องเข้าไปอยู่ในวังตลอดชีวิตก็เป็นได้”
เจินเมี่ยวถึงกับอึ้งไป “เข้าวัง? ไปเป็นแม่นมให้องค์ชายน้อยงั้นหรือ? แต่ แต่นางยังไม่มีน้ำนม…”
นางไร้ฝีมือยิ่ง โปรดละเว้นนางเถิด!
สายตาหลัวเทียนเฉิงทอดตกไปยังดอกบัวที่เพิ่งแย้มบานคู่นั้นแล้วพยักหน้า “ใช่ เจ้าคงไม่มีคุณสมบัติไปเป็นแม่นมแน่ แต่หากให้เจ้าไปเป็นสนม เป็นพระมารดาอีกคนของพระนัดดาเล่า?
เจินเมี่ยวคล้ายถูกอัสนีฟาดใส่กระนั้น “ท่านพูดอันใดกัน?”
หลัวเทียนเฉิงเดิมคิดจะขู่ขวัญเจินเมี่ยว แต่เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกไปแล้วตนเองกลับรู้สึกเจ็บปวดก่อนนางเสียอีก ทั้งยังลอบด่าองค์ชายหกว่าเพ้อฝันเกินไป คิดว่าจะได้เป็นจักรพรรดิจริงๆ แล้วจะมาเอาตัวเจี๋ยวเจี่ยวของเขาเข้าไปอยู่ในวังให้ได้งั้นหรือ?
ช่างน่าโมโหจริงๆ!
เสียงแกร่กพลันดังขึ้น ขอบโต๊ะถูกใครบางคนที่โกรธจนถึงขีดสุดบีบจนหักออกมาเสียแล้ว
เจินเมี่ยวยังคงอยู่ในความตระหนกจึงมิได้สังเกตความผิดปรกติของคนบางคน นางยกนิ้วมือขาวนั่นชี้ไปที่ตัวเอง “ข้ามิใช่แต่งให้ท่านแล้วหรือ เหตุใดจึงยังเข้าวังไปเป็น…เป็นสนมอันใดนั้นได้อีก?”
“เหตุใดจึงจะทำไม่ได้?” หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเย็น “ที่แห่งนั้นมีประวัติอันโสมมซ่อนอยู่มากมาย อย่าว่าแต่ภรรยาของขุนนางใหญ่เลย แต่ให้เป็นหลานสะใภ้ พี่สะใภ้ กระทั่งน้องสาวแท้ๆ ก็…”
เจินเมี่ยวรีบปิดปากเขาไว้ “โอ๊ย ท่านไม่ต้องพูดแล้ว”
ช่างน่ากลัวจริงๆ!
ครั้นคิดถึงเสียงออดอ้อนตอนเรียกนางว่าท่านแม่ของจิ่งเกอ เจินเมี่ยวก็รู้สึกย่ำแย่ยิ่ง
หลัวเทียนเฉิงจึงสรุปถึงสิ่งที่นางควรทำว่า “ดังนั้นต่อไปเจ้าต้องไม่ให้พระนัดดาเรียกเจ้าว่าท่านแม่อีก รู้หรือไม่?”
“รู้แล้ว” เจินเมี่ยวตอบด้วยน้ำตาคลอเบ้า
แม้นหลัวเทียนเฉิงจะพอใจในคำตอบของเจินเมี่ยว แต่กลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่านี่เป็นเพียงเรื่องที่ตนยกมาขู่เจินเมี่ยวเท่านั้น
หลัวเทียนเฉิงจากไปด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
เจินเมี่ยวลูบหน้าอกตนคราหนึ่ง แล้วร้องเรียกเขาไว้อย่างมิอาจอดกลั้น
หลัวเทียนเฉิงหยุดฝีเท้าลง
เจินเมี่ยวครุ่นคิดอยู่นาน อึกอักไม่ยอมพูดจาออกมาเสียที
“มีอันใดหรือ?” หลัวเทียนเฉิงยื่นมาลูบศีรษะนาง
“ทำผมหลุดลุ่ยหมดแล้ว” เจินเมี่ยวตีมือเขาดังเพี๊ยะ กระทั่งลืมความกระดากอายเมื่อครู่ไป จึงพูดวาจาที่คิดไว้ออกมา “จิ่นหมิง ครั้งก่อนที่ท่านพูดเรื่องคนผู้นั้นที่อยู่ในความฝัน เขาคือ…”
นางพูดไม่ได้ จึงยื่นมือออกไปวาดเลขสามบนอากาศแทน
หลัวเทียนเฉิงเบิกตาอ้าปากค้างไปทันใดแล้ว ตามติดด้วยเสียงคำรามลั่นอย่างมีโทสะ “เจ้าคิดได้อย่างไร!” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความโมโห
กระทั่งเดินไปถึงถนนใหญ่จึงมีสติขึ้นมา เขายิ้มเยาะตนคราหนึ่งแต่ภายใต้ดวงตานั้นกลับมีความโหดเ**้ยมปรากฏวูบขึ้น
หากคนผู้นั้นไม่ปรากฏตัวขึ้นก็แล้วไป แต่หากปรากฏตัวขึ้นเมื่อใดเขาจักต้องเอาชีวิตมันก่อนแน่ ใครจะยอมให้มันได้พบกับเจี๋ยวเจี่ยวเล่า!
หลัวเทียนเฉิงกระทุ้งท้องม้า แล้วฟาดแส้ลงไปอย่างแรงคราหนึ่ง ม้าก็ทะยานผ่านถนนที่เต็มไปด้วยหมอกควันนั้น พริบตาก็หายไปจากมุมถนนนั้นแล้ว
เจินเมี่ยวคิดถึงท่าทีก่อนจากไปของหลัวเทียนเฉิงแล้วรู้สึกแปลกแปร่งอยู่ในใจ
ท่าทีเขานั้นเห็นชัดว่าทั้งโกรธทั้งเคือง แต่เหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนเม่นที่สลัดขนตัวหนึ่ง ขนของมันทิ่มเข้ามาในใจนางจนชาไปหมด ทั้งยังดูน่าขบขันอีกด้วย แต่หลังจากความขบขันนั้นผ่านไปกลับเหลือความเจ็บปวดใจทิ้งไว้อีกหลายส่วน
“ต้าไหน่ไหน่ คนที่องค์ชายสามส่งมา มาถึงแล้วเจ้าค่ะ กำลังรอพบท่านอยู่ด้านนอก” ไป่หลิงเดินเข้ามารายงาน
เจินเมี่ยวจึงตื่นจากภวังค์ “ให้พวกเขาเข้ามา”
ไม่นานสตรีหกคนก็เดินเข้ามา ผู้ที่อยู่หน้าสุดคือแม่นมวัยกลางคน นางเกล้าผมขึ้นสูง ทั้งเรียบร้อยไม่มีหลุดสักเส้น ด้านข้างเป็นสตรีอายุไม่มากนักแต่งกายอย่างคนแต่งงานแล้ว ส่วนอีกสี่คนที่อยู่ด้านหลังคือสาวใช้
แม่นมวัยกลางคนนั้นก้มหน้าลงเล็กน้อยแสดงความเคารพ “คารวะเซี่ยนจู่”
เจินเมี่ยวมองด้วยท่าทีนิ่งเฉย แม้นจะทำตามธรรมเนียมทุกอย่างแต่กลับยากจะกลบท่าทีจองหองนั้นเอาไว้ได้
“มิจำเป็นต้องมากพิธี” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงเรียบ
แม่นมผู้นั้นคล้ายแปลกใจในท่าทีของเจินเมี่ยว นางจึงเหลือบตาขึ้น แล้วกวาดตามองอย่างแนบเนียนจึงเห็นสตรีรูปโฉมงดงามผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เหมยกุย ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สองแก้มแดงปลั่งคล้ายแสงอาทิตย์อัสดงที่เส้นขอบฟ้า กระโปรงสีเขียวอ่อนที่กระจายซ่อนกันอยู่บนพื้นนั้นช่างดูสวยงามโดดเด่นนัก แต่กลับถูกความงามของผู้สวมใส่กลบความสวยของมันไปหลายส่วนทีเดียว
เจินเมี่ยวยังคงครุ่นคิดอยู่กับวาจาเหล่านั้นของหลัวเทียนเฉิงอยู่ เมื่อคนขององค์ชายสามมาถึง นางไหนเลยจะมีความรู้สึกดีๆ ด้วยได้ จึงเม้มริมฝีปากพลางพิจารณาคนทั้งหก
แม่นมผู้นั้นตกใจไม่น้อย
ต่างพูดกันว่าเซี่ยนจู่ท่านนี้มีชาติกำเนิดธรรมดายิ่ง แม้นจะได้แต่งเข้ามาในจวนกั๋วกงทั้งถูกแต่งตั้งเป็นเซี่ยนจู่ แต่ลักษณะท่าทางที่มีมาแต่กำเนิดนั้นมิอาจเปลี่ยนได้ในเวลาสั้นๆ ทว่าเมื่อมองดูตอนนี้กลับพบว่านางมีความสง่างามอยู่ไม่น้อยเลย
แม้แต่แม่นมเองก็ไม่รู้สึกตัวว่า การเอ่ยพูดอีกครั้งของนางจะเต็มไปด้วยท่าทีเคารพนบน้อมมากขึ้นอีกหลายส่วน “เซี่ยนจู่ บ่าวคือแม่นมผู้ดูแลพระนัดดาเจ้าค่ะ ส่วนหรงเหนียงจื่อคือแม่นมของพระนัดดา ส่วนคนที่เหลือคือสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติพระนัดดาเจ้าค่ะ พวกบ่าวได้รับคำสั่งจากองค์ชายสามให้มาที่นี่เพื่อดูแลพระนัดดาเจ้าค่ะ”
เมื่อฟังจบแล้วเจินเมี่ยวก็เชยคางตนขึ้นคราหนึ่ง “จื่อซู พาทุกคนไปหาพระนัดดา”