วาสนาบันดาลรัก 277 ขายหน้าอีกแล้ว

ตอนที่ 277 ขายหน้าอีกแล้ว

หลังจากองค์ชายหกกับเจินเมี่ยวกับองค์ชายหกออกไปแล้ว เจาเฟิงตี้ใช้ไม้เท้าสลักมังกรพยุงตัวขึ้นแต่กลับลุกไม่ขึ้น

 

 

หวังเต๋อไฮ่ขันทีผู้ใกล้ชิดก็ตกใจจนหน้าซีด แต่เพราะเป็นผู้รู้จักระแวดระวัง จึงมิได้เผลอร้องออกมา แต่รีบเข้าไปประคองเจ้าเฟิงตี้แทน พลางเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “ฝ่าบาท?”

 

 

เจาเฟิงตี้ชำเลืองมองหวังเต๋อไฮ่คราหนึ่ง รู้สึกพอใจในท่าทีตอบสนองของเขายิ่ง จึงเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยล้าว่า “ไปเรียกจังจ้งหันมา จำไว้ว่าห้ามให้หวงโฮ่วและไท่โฮ่วรู้เด็ดขาด!”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันทราบแล้ว” หวังเต๋อไฮ่ออกไปตามหมอหลวงจังอย่างเงียบๆ แต่ในใจกลับคล้ายกำลังก้าวเดินอยู่ในธารน้ำแข็งก็มิปาน

 

 

สุขภาพของฝ่าบาทตอนนี้ดูท่าจะแย่แล้ว หากเกิดเหตุ….

 

 

เขาพลันขนลุกขึ้นมา มิกล้าคิดอันใดให้ลึกไปกว่านี้

 

 

คลื่นลมซัดสาดไปทั่ววังหลวง แต่เจินเมี่ยวที่อยู่ในวังเป็นคอยปลอบจิ่งเกอกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิด ในใจก็เอาแต่คิดถึงจวนกั๋วกง

 

 

วันนั้นนางมิได้ทำตามที่หลัวเทียนเฉิงกำชับ ภายหลังถึงได้มีเรื่องยุ่งยากมากมายเกิดขึ้นกับตน ยามนี้ก็ถูกกักอยู่ในวังมิอาจกลับจวนได้ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

 

 

“ท่านแม่…” เสียงเล็กอ่อนแรงดังขึ้น มือเล็กๆ นั้นยื่นออกมากำแขนเสื้อนางไว้แน่น

 

 

เจินเมี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกถึงสามารถบังคับตนมิให้กระโจนวิ่งชนกำแพงเอาไว้ได้ นางค่อยๆ พลิกกายไป เผยรอยยิ้มอันอบอุ่นออกมา “จิ่งเกอ เจ้าเรียกข้าว่าท่านอาเจียหมิงก็ได้”

 

 

“ท่านแม่…” จิ่งเกอเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

 

เจินเมี่ยวกุมขมับตน กลัดกลุ้มจนไม่รู้จะเอ่ยอันใดดีแล้ว

 

 

นางเอาน่องไก่โยนใส่มือสังหาร องค์ชายหกหัวเราะเยาะนางว่าโง่เง่าไม่พอ ยังทำให้เจาเฟิงตี้แคลงใจในตัวนางอีก

 

 

เจินเมี่ยวมิได้โง่ แค่เรื่องของจิ่งเกอก็มิจำเป็นต้องให้นางอยู่ที่นี่ก็ได้ นี่เป็นการกักบริเวณอีกแบบหนึ่งต่างหากเล่า

 

 

เรื่องนี้นางยังพอทนได้ แต่จู่ๆ กลับมีบุตรชายเพิ่มมาอีกคน นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่

 

 

เมื่อเห็นท่าทีขลาดกลัวของจิ่งเกอ เจินเมี่ยวก็ไม่กล้าพูดอันใดอีก เพียงใช้มือลูบใบหน้าเขาแผ่วเบา แล้วเอ่ยถามหมอหลวงสิงที่มาตรวจอาการว่า “หมอหลวงสิง เหตุใดพระนัดดาจึงจำไม่ได้เล่า?”

 

 

หมอหลวงสิงมองจิ่งเกอคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงทอดถอนใจว่า “คิดว่าพระนัดดาคงเห็นพระมารดาสิ้นชีพอย่างน่าอนาถไปต่อหน้า เพราะอายุยังน้อยจึงมิอาจทานรับความเสียใจนี้ได้จึงเปลี่ยนความทรงจำของตนเองโดยยึดเอาท่านเป็นพระชายาแทน”

 

 

เจินเมี่ยวใจอ่อนยวบขึ้นมา เมื่อหมอหลวงสิงไปแล้วจึงอุ้มจิ่งเกอไปนอนลงบนเก้าอี้ตัวยาว แล้วกล่อมเขานอน

 

 

“ท่านแม่ ข้าอยากฟังเพลงกล่อมเด็ก”

 

 

มุมปากเจินเมี่ยวแข็งค้างไปทันที

 

 

เรื่องนี้นางทนไม่ได้จริงๆ นางแค่อ้าปากร้องทำนองก็วิ่งหนีเสียแล้ว หากทำให้เด็กน้อยตกใจจนเสียสติไปผู้ใดจะรับผิดชอบเล่า!

 

 

“ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ท่านก็ร้องกล่อมข้าทุกคืน” เด็กน้อยค่อนข้างอ่อนไหวง่าย ขณะที่เจินเมี่ยวกำลังลังเลอยู่นั้น หยาดน้ำตาก็พลันร่วงหล่นลง

 

 

น้ำตาขนาดเท่าเมล็ดถั่วร่วงตกลงบนหลังมือเจินเมี่ยวทำให้นางมิอาจทนได้อีกต่อไป

 

 

ร้องก็ร้อง อย่างไรเขาก็ยังเด็ก คงไม่รู้ดอกว่าร้องผิดทำนองเป็นเช่นไรกระมัง อย่างมากที่สุดก็คงคิดว่าวิธีการร้องของนางนั้นพิเศษไม่เหมือนใครเท่านั้น

 

 

เจินเมี่ยวตบหลังจิ่งเกอพร้อมทั้งเปิดปากร้องเพลงแผ่วเบา “จันทราส่องแสง สายลมพัดเงียบ ใบไม้บดบังหน้าต่างไว้ แมลงแข่งกันร้อง…”

 

 

จิ่งเกอร้องไห้แงขึ้นมา เอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “ท่านแม่ จิ่งเกอกลัว…”

 

 

เจินเมี่ยวกัดฟันแน่นแล้วเปลี่ยนเพลง “เปลน้อยแกว่งไกวช้าๆ ดาราดวงเล็กๆ ห้อยแขวนบนท้องนภา…”

 

 

จิ่งเกอยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม

 

 

เจินเมี่ยวจึงลองร้องในแบบที่ตรงกันข้ามดู “พ่อไก่ มีหางยาว แต่งภรรยาแล้วลืมมารดา มันแบกเอาภรรยาขึ้นหลังไปยังเตียงตั่ง แบกมารดาไปอยู่หลังเขา ขนมม้วนน้ำตาล ภรรยา ภรรยาเจ้าลองทาน ข้าจะขึ้นเขาไปเยี่ยมมารดาเรา มารดาเรากลายเป็นตัวด้วงไปแล้ว…”

 

 

“ฮะๆ..”จิ่งเกอหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกๆ จึงหันหลังกลับไปมอง หลัวเทียนเฉิงยืนอึ้งงันอยู่หน้าประตู ขันทีที่นำทางเขามานั้นคอยก้มหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายแต่มิกล้าหัวเราะออกมา

 

 

จบกัน ทำตัวขายหน้าอีกแล้ว!

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาอีกครา โชคดีที่มิใช่ผู้อื่น!

 

 

ครั้นคิดได้เช่นนี้ก็ ความประหม่าที่มีก็ถูกความยินดีที่ได้พบหลัวเทียนเฉิงกลบทับไป เจินเมี่ยวเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าเบิกบาน นางยิ้มตาหยีพลางเอ่ยถามว่า “จิ่นหมิง ท่านมาได้อย่างไร?”

 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าขันที หลัวเทียนเฉิงจึงไม่พูดให้มากความ เพียงบอกว่า “ข้ามารับเจ้ากลับจวน”

 

 

หัวใจเจินเมี่ยวพลันโบยบินขึ้นมาทันใด ทว่าเมื่อคิดถึงเจาเฟิงตี้ สีหน้าก็เจื่อนไปเล็กน้อย

 

 

หลัวเทียนเฉิงคล้ายเดาได้ว่านางคิดสิ่งใดจึงเอ่ยว่า “ข้าทูลฝ่าบาทเรียบร้อยแล้ว”

 

 

“อืม เช่นนั้นเราไปกันเถิด” เจินเมี่ยวระบายยิ้มเต็มหน้า แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง

 

 

“ท่านแม่…”

 

 

หลัวเทียนเฉิงหน้าบึ้งขึ้นมาทันที

 

 

เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยท่าทีลำบากใจเช่นกัน “พระนัดดาเล่า….”

 

 

“ฝ่าบาทตรัสว่าให้พระนัดดาไปอยู่ที่จวนกับเราสักระยะก่อน” หลัวเทียนเฉิงกัดฟันพูด

 

 

เจินเมี่ยวโล่งอกทันที เช่นนี้ก็ดี นางกลัวจริงๆ ว่าจะกลับจวนไม่ได้เพราะพระนัดดาตัวน้อย การอยู่ในวังอันน่ากลัวนี้ทำให้นางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง แม้นจะให้สงสารเด็กน้อยเพียงใดนางก็ไม่อยากเอาอิสระของตนมาแลกนัก

 

 

“ต้องบอกกล่าวกับองค์ชายสามก่อนหรือไม่?”

 

 

“อืม องค์ชายสามอยู่ด้านนอกนี่แล้ว” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีสักนิด

 

 

“หา?” เจินเมี่ยวขาอ่อนลงทันที

 

 

เช่นนั้นเพลงที่นาเพิ่งร้องไปเมื่อครู่นี้ก็…

 

 

“วางใจเถิด” หลัวเทียนเฉิงตบบ่านางคราหนึ่ง “พระองค์ต้องทรงได้ยินแน่”

 

 

เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ นี่…นี่เป็นการโยนหินซ้ำเติม เทเกลือใส่บาดแผลผู้อื่นใช่หรือไม่?

 

 

ไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าสามีของนางจะทำเช่นนี้กับนางได้!

 

 

เจินเมี่ยวเดินออกไปด้วยความอายจนหน้าชา เมื่อเห็นสายตาอันแปลกประหลาดนั้นขององค์ชายสาม นางก็เจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ

 

 

อยากจะให้ฟ้าผ่าองค์ชายสามให้ตายไปเสีย

 

 

นางร้องเพลงผิดทำนองไม่พอ ยังร้องว่า ‘มารดาเรากลายเป็นตัวด้วงไปแล้ว…’

 

 

ภรรยาผู้อื่นเพิ่งตายไปแท้ๆ…

 

 

เจินเมี่ยวยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ นางไม่มีแรงแม้จะพูดกับองค์ชายสามแล้วจึงออกจากวังมาอย่างคนไร้วิญญาณ

 

 

“อุ้มพระนัดดาไปนั่งที่รถม้าคันข้างหน้า” เมื่อเห็นจิ่งเกอซบอยู่บนอกภรรยาไม่ห่าง หลัวเทียนเฉิงรู้สึกไม่ยินยอมยิ่ง

 

 

ปั้นซย่าที่ติดตามมาด้วย ได้ยินเช่นนั้นก็รีบยื่นมือรับจิ่งเกอทันที

 

 

จิ่งเกอมองเจินเมี่ยวตาละห้อยแล้วร้องไห้เสียงดัง

 

 

เจินเมี่ยวรีบเอ่ยปราม “ช่างเถิด นั่งด้วยกันสามคนก็ได้”

 

 

“จะได้อย่างไร” หลัวเทียนเฉิงกวาดตามองปั้นซย่า “มือไม้ให้มันคล่องแคล่วหน่อย พระนัดดาคงหนาวยิ่งแล้ว”

 

 

ปั้นซย่าเป็นคนจงรักภักดียิ่ง แม้นตรงหน้าจะเป็นพระนัดดา แต่เขาก็เชื่อฟังเพียงหลัวเทียนเฉิงจึงรีบเข้าไปอุ้มเอาจิ่งเกอทันที

 

 

พลันได้ยินเสียงแควกดังขึ้น เสื้อตรงหน้าอกองเจินเมี่ยวแหวกเปิดออกทันที

 

 

ความสนใจของหลัวเทียนเฉิงและปั้นซย่าจึงร่วงตกไปที่นั่นทันที จึงเห็นเสื้อตัวในสีเขียวอ่อนปักลายนกเป็ดน้ำอยู่รำไร

 

 

เจินเมี่ยวพลันรู้สึกถึงลางร้ายภายใต้ลมหนาวที่พัดดังซู่ๆ นี้ นางคำรามลั่น “ข้าคิดไว้แล้วว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น!”

 

 

วันนั้นที่เจาเฟิงตี้เรียกให้ไปเข้าเฝ้า เด็กน้อยผู้โชคร้ายนี้ก็ทำกระโปรงนางเกือบจะหลุด นางเอาแต่ครุ่นคิดว่าหากกระโปรงนางหลุดลงไปควรจะทำเช่นไรดี!

 

 

หลัวเทียนเฉิงถลึงตาให้ปั้นซย่าโดยแรงคราหนึ่ง แล้วยกเท้าถีบเขากระเด็นไปไกลพลางเอ่ยอย่างมีโทสะว่า “ยังไปรีบไปบังคับรถม้าอีก!”

 

 

ปั้นซย่ารู้สึกน้อยใจยิ่ง เขาเองก็มิได้อยากจะดูเสียหน่อย มันเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น อีกอย่าง เขาก็เป็นบ่าวรับใช้มิใช่คนขับรถม้าเสียหน่อย!

 

 

เอ๊ะ ตรงนั้นของต้าไหน่ไหน่ก็มินับว่าใหญ่อันใดนัก…ถุยๆ เข้าคิดอันใดกัน! ผิดมหันต์ๆ

 

 

มิพูดถึงความน้อยใจของปั้นซยาแล้ว

 

 

หลัวเทียนเฉิงอุ้มเจินเมี่ยวยัดเข้าไปในรถม้า แล้วมุดตามเข้าไป พลางเอ่ยด้วยความโมโหว่า “คนโง่ เวลาเช่นนั้น เจ้าตะโกนอันใด ควรต้องปิดกระชับเสื้อก่อนมิใช่หรือไร!”

 

 

เจินเมี่ยวถูกหลัวเทียนเฉิงตะโกนใส่จนอึ้งงันไป และในเวลานี้เองจิ่งเกอก็ร้องเรียกนางว่าท่านแม่ขึ้นมาอีก แล้วจับแขนเสื้อนางไว้แน่ไม่ยอมปล่อย

 

 

ชั่วขณะนั้นเองความน้อยใจก็เอ่อล้นขึ้นเต็มหัวใจดุจน้ำหลาก ความน้อยใจนั้นแปรผันกลายเป็นน้ำวิ่งไปจ่อที่ดวงตาทันที

 

 

ขอบตาเจินเมี่ยวแดงก่ำขึ้นมา น้ำตาร่วงหยดลงทันใด

 

 

หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป คิดสิ่งใดไม่ออกไปชั่วครู่

 

 

เจินเมี่ยวหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดขอบตา นางร้องไห้พลางเอ่ยว่า “วันนั้น พระชายาขององค์ชายสามและสตรีชุดแดงต่างตายไปอย่างน่าอนาถ พวกนาง พวกนางล้วนงดงาม…”

 

 

หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไปอีกครา ตายกับงดงามมีอันใดเกี่ยวข้องกันหรือ?

 

 

ความคิดของบุรุษกับสตรีนั้นช่างต่างกันมากนัก

 

 

เจินเมี่ยวยังคงร้องไห้ต่อ “ข้าแค่ยื่นมือเข้าแทรกเพียงนิดเดียว สุดท้ายกลับถูกกักตัวอยู่ในวังออกมาไม่ได้ ทั้งยังมีเด็กน้อยมาเรียกข้าว่าแม่อีก ท่านว่า หากท่านรู้เรื่องนี้แล้ว โมโหแล้วพาลหาเรื่องข้าจะทำอย่างไรเล่า?”

 

 

หลัวเทียนเฉิง “…”

 

 

เจินเมี่ยวยิ่งร้องไห้ก็ยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้าร้องเพลงครั้งใดก็เพี้ยนทุกครา หากมีแค่ท่านได้ยินคนเดียวก็แล้วไปเถิด แต่ผู้อื่นกลับมาได้ยินด้วย ช่างน่าขายหน้านัก”

 

 

หลัวเทียนเฉิงยกมุมปากตนขึ้น

 

 

ร้องเพี้ยนนั้นมิใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือเนื้อเพลงที่เจ้าร้องต่างหากเล่า!

 

 

“ตอนนี้ ตอนนี้ก็ยังเกิดเรื่องนี้อีก หากต่อไปพระนัดดาทำเช่นนี้ตลอด เสื้อ กระโปรงข้าต้องคอยถูกกระชากหลุดอยู่ร่ำไปแล้วข้าจะทำเช่นใดเล่า? ”

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาบ้างแล้ว เด็กน้อยผู้นี้ฐานะสูงส่ง แต่เรื่องที่เขาพบเจอก็ช่างน่าสงสาร จะดีก็มิได้ จะด่าก็มิได้ หากเห็นนางเป็นพระชายาไปตลอด นางคงต้องจุดเทียนไว้อาลัยให้ตนเป็นแน่

 

 

ช่างดีเหลือเกิน ผู้อื่นเข้าวังต่างได้รับของพระราชทานกลับมา แต่นางเข้าวังไปกลับได้บุตรผู้อื่นกลับจวนมาด้วย

 

 

เจินเมี่ยวมุดเข้าไปในอกหลัวเทียนเฉิงโดยไม่แม้จะสนใจว่าจิ่งเกอจะอยู่ที่นี่ด้วย

 

 

หลัวเทียนเฉิงร่างแข็งทื่อไป ไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ที่ใดดี จึงตบหลังนางพลางปลอบใจว่า “เอาล่ะๆ เหตุใดไม่เจอเจ้าแค่เพียงไม่กี่วัน เจ้าถึงได้กลายเป็นน้ำเสียแล้วเล่า?”

 

 

“ท่าน ท่านไม่ตำหนิข้าแล้วหรือ?” เจินเมี่ยวเอ่ยถามงึมงำ

 

 

“ไม่ ไม่ตำหนิ…” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยคำที่มิตรงใจออกไป

 

 

เดิมคิดว่ากลับไปถึงจักต้องจัดการสั่งสอนนางสักครา ผู้ใดจะทราบว่าจะเสียใจจนกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว ดูท่าคงกังวลหวาดกลัวและได้รับความลำบากไม่น้อยตอนที่อยู่ในวัง

 

 

คิดถึงตรงนี้แล้ว หลัวเทียนเฉิงก็รู้สึกเป็นห่วงนางขึ้นมา

 

 

หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้คงมิให้นางรับตำแหน่งเซี่ยนจู่นั้นแน่

 

 

เขาคิดว่าอีกไม่นานตนก็ต้องไปรบแล้ว เมื่อเกิดสงครามขึ้น เขาก็ต้องจากไปไกลนับพันลี้ ทิ้งนางให้อยู่ในเมืองหลวงคนเดียว หากนางมีบรรดาศักดิ์เซี่ยนจู่นี้ไว้คงมีชีวิตที่ดีสักหน่อย มิเช่นนั้นเขาแค่ใช่เล่ห์กลเล็กน้อยเรื่องการรับเป็นบุตรบุญธรรมนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จแน่

 

 

ชาติก่อน นางเจินมิได้มีโอกาสเข้าวังเลยสักครั้ง

 

 

หลัวเทียนเฉิงพลันสะดุ้งเฮือกอยู่ในใจ

 

 

ชาติก่อน องค์ชายรองถวายไก่ฟ้าปลอมจึงทำให้สูญเสียคุณสมบัติในการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท แต่ชาตินี้กลับเป็นไท่จื่อที่ทำพลาด องค์ชายรองจึงรอดไปได้ ทว่าผ่านไปไม่นานเขากลับถูกผิด ต่อไปก็ไม่ต่างอันใดกับคนตายจึงไม่มีคุณสมบัติในการแย่งชิงรัชทายาทเช่นเดิม

 

 

นี้มิใช่ว่าทุกอย่างทุกกำหนดแล้วหรอกหรือ?

 

 

เช่นนั้นบุรุษที่เจินเมี่ยวยอมตายแทนได้ผู้นั้นก็คงต้องปรากฏตัวขึ้นมาเช่นกันกระมัง?

 

 

ครั้งนี้เจี๋ยวเจี่ยวจะหวั่นไหวกับเขาอีกครั้งหรือไม่?

 

 

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ หลัวเทียนเฉิงก็รู้สึกเจ็บที่หัวใจดุจถูกเข็มตำ เมื่อได้กลิ่นหอมจางๆจากร่างอ่อนนุ่มทั้งหอมหวานนั้นแล้วเขาจึงรู้สึกสงบใจลงได้อีกหลายส่วน

 

 

เวลานี้เองกลับได้ยินเสียงเด็กน้อยเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านแม่ เหตุใดท่านคนที่กอดท่านมิใช่ท่านพ่อเล่า?”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset