วาสนาบันดาลรัก 275 เพราะน่องไก่ช่วยไว้แท้ๆ

ตอนที่ 275 เพราะน่องไก่ช่วยไว้แท้ๆ

เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายก็มีสตรีแต่งกายสีสันสดใสกลุ่มหนึ่งเดินออกมา สตรีสวมชุดสีแดงมีผ้าโปร่งบางปิดใบหน้าไว้กระโดดขึ้นมา กลองก็เริ่มดังขึ้น

 

 

ตึงๆๆ เมื่อนางก้าวเท้าเดิน เสียงกลองก็ดังขึ้น สตรีสีสันสดในทั้งหลายต่างเดินเข้าไปล้อมกลองอันใหญ่นั้นไว้ ในมือของพวกนางมีกระดิ่งอันเล็กๆ อยู่ ท่านกลางเสียงกลองอันกระหึ่มนั้นก็มีเสียงกังวานใสของกระดิ่งแทรกอยู่

 

 

รอบกลองใบใหญ่นั้นมีกลองวางล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน สตรีชุดแดงสะบัดผ้าในมือออกไปกระทบกับหน้ากลองดังตึง ตามด้วยกลองตัวอื่นๆ อีก เสียงของกลองที่แตกต่างกันดังขึ้นติดๆ กันเกิดเป็นทำนองอันไพเราะและระทึกใจ เมื่อผสมผสานกับกลองที่บรรเลงอยู่ด้านล่าง ดนตรีบรรเลงภายในตำหนักจึงเปลี่ยนเป็นความสวยงามที่แฝงไว้ด้วยความคึกคัก

 

 

การเต้นรำอันแปลกใหม่ ดนตรีอันน่าหลงใหล ทั้งสาวงามแปลกถิ่นที่มิอาจมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงนั้นได้ดึงดูดสายตาผู้คนจำนวนมากไว้นานแล้ว

 

 

เจาเฟิงตี้เองก็หยุดการสนทนากับอู๋กุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ด้านข้าง สายตาทอดมองไปยังการเต้นระบำนั้น

 

 

อู๋กุ้ยเฟยลอบกัดฟันกรอด จึงยกแขนเสื้อขึ้นบังก่อนดื่มสุราเพื่อปกปิดความขุ่นเคืองในดวงตา

 

 

นางเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาจึงไม่มีที่ใดให้พึ่งพิง ที่พึ่งพิงเดียวของนางก็คือเจาเฟิงตี้ ยิ่งเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งกลัวว่าสตรีอื่นจะมาแย่งชิงความรักนี้ไปจากตน

 

 

คนภายนอกคงไม่ทราบว่าตั้งแต่ฝ่าบาทได้รับไก่ฟ้าปลอมที่ไท่จื่อนำมาถวาย สุขภาพและจิตใจของพระองค์ก็ถดถอยลงมาก แต่ก่อนที่รับสั่งหานางก็ล้วนได้รับความโปรดปรานอย่างดีเสมอ แต่ยามนี้หรือ ส่วนมากก็เพียงให้นางไปพูดคุยเป็นเพื่อนเท่านั้น

 

 

สุขภาพของเจาเฟิงตี้นั้นไม่มีผู้ใดรู้ดีเท่านางอีกแล้ว

 

 

หากมีหญิงงามสักคนโผล่เข้ามาดึงความสนใจของพระองค์ ด้วยพละกำลังที่มีจำกัดของพระองค์ ไหนเลยจะจดจำนางได้อีกเล่า!

 

 

อู๋กุ้ยเฟยดื่มสุราไปพลางสายตาก็กวาดมองลงไปยังที่นั่งขององค์ชายทั้งหลายคราหนึ่ง

 

 

องค์ชายทั้งหลายต่างมีรูปโฉมสิริงดงาม ท่าทีองอาจ แต่น่าเสียดายที่นางได้พบกับฝ่าบาทเสียก่อน หากรอไปอีกสองปี ไม่แน่ว่า…

 

 

เมื่อกดข่มความเสียดายที่มิอาจเอ่ยออกมาได้นั้นแล้วอู๋กุ้ยเฟยก็ยกสุราขึ้นดื่มทันที

 

 

จ้าวหวงโฮ่วเก็บสายตาที่เหลือบไปมองอู๋กุ้ยเฟยด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก แล้วหันไปชมการเต้นระบำอย่างสบายใจ

 

 

เหอะๆ เป็นสนมที่ทรงโปรดปรานแล้วอย่างไร แค่สตรีเต้นระบำชั้นต่ำที่มองไม่เห็นแม้แต่หน้าก็ยังทำให้เจ้าสะกดโทสะเอาไว้ไม่ได้ ช่างเป็นสตรีใจแคบนัก

 

 

นางชอบเหลือเกิน!

 

 

ไม่เลวเลย ไม่มีใครรู้เลยว่าความจริงแล้วหวงโฮ่วทรงชอบอู๋กุ้ยเฟยผู้นี้ยิ่ง กระทั่งหวังให้ฝ่าบาททรงโปรดปรานนางให้นานไปกว่านี้อีก

 

 

หากพูดเหตุผลหรือ ก็เพราะเจี่ยงกุ้ยเฟยที่ทั้งงดงามและมีฐานะสูงส่งนั้นกดทับนางไว้นานเกินไปแล้วอย่างไรเล่า ยามนี้เปลี่ยนเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา จ้าวหวงโฮ่วที่มิเคยได้ยืนยืดอกอยู่ตลอดมาจึงได้สัมผัสกับความงดงามที่ได้อยู่เหนือผู้อื่นเสียที

 

 

เจาเฟิงตี้จ้องมองสตรีที่กำลังเต้นระบำอยู่นั้นอย่างไม่ละสายตาเลย กระทั่งมีคนมากมายลอบพึมพำในใจว่า หลังจากวันนี้ไปเกรงว่าในวังคงต้องมีสตรีงามเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้ว

 

 

แต่ไม่มีผู้ใดรู้ถึงความทุกข์ของเจาเฟิงตี้เลย ยามนี้นั้นเขารู้สึกคันในคอยิ่ง อยากจะไอออกมา แต่กลัวว่าจะเกิดข่าวลือไม่ดีแพร่ออกไป จึงได้แต่อดกลั้นไว้แล้วใช้การชมหญิงงามมากลบเกลื่อนอาการทั้งหมดนี้

 

 

อย่างไรเสียการที่บุรุษผู้หนึ่งจะยังมีแก่ใจชื่นชมหญิงงามอยู่ได้นั้นก็ย่อมพิสูจน์ได้ว่าสุขภาพของเขาไม่เลวเลย

 

 

เพียงแต่อาการคันในลำคอนั้นช่างยากจะอดกลั้นได้ เมื่อเห็นนางกำนัลเดินมารินสุรา เขาจึงยกสุราขึ้นจิบแล้วพ่นมันออกมา พลันฉวยโอกาสนี้ไอออกมา แล้วเอ่ยตำหนิว่า “ต้มสุราอย่างไรให้ร้อนถึงเพียงนี้!”

 

 

นางกำนัลผู้นั้นตกใจจนหน้าถอดสี นางคุกเข่าโขกศีรษะลงกับพื้น “ฝ่าบาทโปรดทรงอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”

 

 

ขันทีผู้ดูแลจึงร้องขึ้นว่า “ลากตัวสาวใช้ผู้นี้ออกไปเดี๋ยวนี้!”

 

 

เมื่อเห็นนางกำนัลที่โขกศีรษะดุจตำข้าว เจาเฟิงตี้ก็รู้สึกผิดขึ้นมา จึงยกมือขึ้น “ช่างเถิด วันมงคลเช่นนี้แท้ๆ แค่ปรับเบี้ยหวัดประจำเดือนสามเดือนก็พอ”

 

 

เขามิใช่จักรพรรดิผู้ชอบทารุณอันใด แค่เพียงฉวยโอกาสนี้ไอออกมาเท่านั้น จะให้ปลิดชีวิตคนผู้หนึ่งจริงๆ เลยหรือไร

 

 

“ฝ่าบาท…” ขันทีผู้นั้นรู้สึกสงสัยอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นเจาเฟิงตี้ขมวดคิ้วเช่นนั้นก็ไม่กล้าพูดอันใดอีก

 

 

เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ความสนใจของผู้คนจึงเบนมาที่เจาเฟิงตี้ ไม่มีผู้ใดสนใจผ้าผืนยาวในมือสตรีปิดหน้าผู้นั้นที่พุ่งออกไปเกี่ยวกระหวัดรัดอยู่บนคานด้วยความรวดเร็วนั้นเลย นางใช้เท้าอันเปลือยเปล่านั้นเหยียบไปบนหน้ากลองจนเกิดเป็นเสียงดังตึงอย่างยาวนาน แล้วอาศัยผ้าสีผืนยาวนั้นทะยานโบยบินไป

 

 

มีบางคนที่ละความสนใจไปชั่วขณะพลันเหลือบไปเห็นสตรีผู้สวมชุดสีแดงทั้งร่างลอยไปบนอากาศ เห็นเท้าเปล่าเปลือยสองข้างที่ผูกกระพรวนไว้โผล่พ้นอาภรณ์ออกมารำไรคล้ายเทพธิดาร่วงตกลงมาจากฟ้าก็อดมองอย่างเหม่อลอยมิได้ บางคนถึงกลับอดร้องขึ้นมามิได้

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ก็มองดูภาพอันงดงามนี้เช่นกัน นางยกจอกสุราขึ้นแล้วยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายพลางเอ่ยว่า “การเต้นระบำวันนี้ ดูน่าสนใจไม่น้อย…”

 

 

วาจานี้ยังไม่ทันกล่าวจบนางก็เบิกตากลมโตขึ้นมาก่อน เพราะเห็นน่องไก่ชิ้นหนึ่งลอยผ่านหน้าสตรีชุดแดงนั้นไป

 

 

คนที่เห็นน่องไก่ชิ้นนั้นลอยขึ้นไปต่างมองด้วยความอึ้งงัน แล้วอดขยี้ตาตนมิได้ด้วยคิดว่าตนตาฝาด

 

 

สตรีชุดแดงที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นจึงเบี่ยงกายหลบไปตามสัญชาตญาณ แล้วเปลี่ยนทิศทางไปอีกฝั่งหนึ่งของเวที นางล้วงกริชเล่มหนึ่งออกมาแล้วพุ่งกริชคมวาวนั้นเข้าใส่เจาเฟิงตี้

 

 

เสียงกรีดร้องดังขึ้น พระสนมที่อยู่บนเวลานั้นต่างตกใจกันยกใหญ่ บ้างก็หวาดกลัวจนผลักโต๊ะล้มคว่ำอย่างไร้สติทำให้คนที่จะเข้าไปคุ้มกันฝ่าบาทยากจะเข้าไปได้ในทันที

 

 

องค์ชายที่นั่งใกล้กับตำแหน่งของเจาเฟิงตี้

 

 

 เงาสีม่วงและเงาสีน้ำเงินพุ่งเข้ามาขวางอยู่หน้าเจาเฟิงตี้พร้อมกัน

 

 

แต่พวกเขานั้นพุ่งออกมาอยู่คนละฝั่ง หากสตรีชุดแดงนั้นมิได้เปลี่ยนทิศทาง นางก็คงจะแทงเข้าใส่บุรุษชุดม่วงก่อน แต่เพราะน่องไก่นั้นทำให้ต้องเปลี่ยนทิศทาง ผู้ที่เข้ามาขวางคมกริชไว้จึงเป็นบุรุษชุดสีน้ำเงินแทน

 

 

เสียงของมีคมที่แทงทะลุเนื้อเข้าไปดังฉึก โลหิตสาดกระจายไปทั่ว เสียงกรีดร้องดังไปทั่วสารทิศ คมกริชนั้นแทงเข้าไปที่แขนข้างขวาของบุรุษชุดน้ำเงิน

 

 

“องค์ชายรอง…” พระชายาขององค์ชายรองร้องเรียกขึ้น ร่างที่อิงโต๊ะอยู่นั้นพลันโงนเงนล้มลง

 

 

สตรีชุดแดงชักกริชออกมาแล้วพุ่งเข้าไปหาเจาเฟิงตี้อีก องค์ชายหกผู้สวมชุดสีม่วงจึงฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้าไปถีบนางตกลงจากเวที

 

 

เสียงร้องตกใจดังขึ้น คนที่นั่งอยู่ในโต๊ะข้างล่างเวทีต่างวิ่งหนีด้วยความตกใจ

 

 

พวกเจินเมี่ยวนั่งอยู่ไม่ไกลจากเวทีนักจึงพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ในสามคนนี้มีเพียงเจินเมี่ยวที่ฝึกซ้อมวิชาหมัดมวยอยู่เป็นประจำ มือเท้านับว่าว่องไวอยู่บ้าง นางจึงคุ้มกันคนทั้งสองให้ไปหลบอยู่ในมุมหนึ่ง

 

 

ตั้งแต่ถีบสตรีชุดแดงตกเวทีไป องค์ชายหกก็หันมากวาดตามองที่ตรงนั้นอย่างไม่รู้ตัวแล้วถอนหายใจโล่งออกมา สักพักก็ต้องส่ายหน้าอย่างทอดถอนใจ

 

 

การลอบสังหารในวันนี้ เขาพอจะได้ข่าวมาบ้างแล้ว แม้นจะไม่ทราบว่ามือสังหารจะโผล่มาเมื่อใด แต่เขาก็เตรียมตัวไว้นานแล้วที่จะเข้าไปขวางดาบแทนเสด็จพ่อ

 

 

คนเราเมื่ออายุมากขึ้นก็ย่อมหวั่นไหวง่ายเป็นธรรมดา สำหรับบุตรที่เข้ามาขวางดาบแทนตน เจาเฟิงตี้ก็ต้องรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นธรรมดา อย่างไรเขาก็เป็นคน

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าน่องไก่ชิ้นนั้นของเจินเมี่ยวจะทำทุกอย่างพังไม่เป็นท่า องค์ชายรองจึงได้ออกมารับหน้าแทน

 

 

แม้นหลังจากนั้นเขาจะเข้ามาขวางไว้ได้ทัน แต่หากเปรียบกันแล้วย่อมมิอาจเปรียบได้กับความจริงใจขององค์ชายรองผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นแน่

 

 

องค์ชายหกทั้งจนใจทั้งรู้สึกขบขัน กระทั่งอยากจะจับเจินเมี่ยวมาฟาดสักครา

 

 

งานเลี้ยงฉลองใกล้จะจบลงแล้วแท้ๆ นางกลับยังคงกินน่องไก่อยู่อีก ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!

 

 

ความคิดนี้ขององค์ชายหกนั้นเกิดขึ้นในชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้น เหล่าองครักษ์หลวงทั้งหลายต่างก็เข้ามาฆ่าฟันสตรีชุดแดงแล้ว ทำให้นางรีบผลักสตรีที่วิ่งไปมาเหล่านั้นเข้ามาบังกระบี่แทนตน

 

 

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น สตรีไม่น้อยต่างยกมือปิดปากตนไว้ มีเด็กน้อยผู้หนึ่งวิ่งร้องไห้เข้าไปตรงนั้น “ท่านแม่…”

 

 

คิดไม่ถึงว่าผู้ที่ต้องสังเวยชีวิตแทนสตรีชุดแดงนั้นคือพระชายาขององค์ชายสาม

 

 

องครักษ์ผู้หนึ่งรีบอุ้มเด็กชายตัวน้อยไปอีกมุมหนึ่งเขาจึงรอดพ้นจากฝีมืออันร้ายกาจของสตรีชุดแดง แต่องครักษ์ผู้นั้นกลับถูกแทงจนเลือดสาดกระจายออกมาเปื้อนเต็มร่างเด็กน้อย

 

 

เจินเมี่ยวจึงไปดึงตัวเด็กน้อยที่ร่างเต็มไปด้วยโลหิตนั้นเข้าหาตัว

 

 

องครักษ์ทั้งหลายต่างบุกเข้าจับตัวสตรีชุดแดง แม้นนางจะเก่งกาจ แต่กำปั้นสองข้างย่อมมิอาจสู้ศัตรูที่มีสี่มือ ชั่วพริบตานางก็ถูกจับกุมได้

 

 

“จับตัวไว้สอบปากคำก่อน!” เจาเฟิงตี้ร้องขึ้นด้วยโทสะ

 

 

แต่ในขณะที่สตรีชุดแดงถูกจับกุมไว้แล้วนั้นนางก็กัดยาพิษที่อยู่ในปากปลิดชีพตนทันที

 

 

ความวุ่นวายต่างๆ ยังมิทันสงบลงก็ได้ยินเสียงเพล้งพล้างดังขึ้น พระชายาองค์ชายรองร้องขึ้นอย่างน่าเวทนา “องค์ชายรอง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านฟื้นสิ!”

 

 

คนทั้งหลายต่างหันไปมององค์ชายรองที่จู่ๆ ก็ล้มลงกองกับพื้น คนที่อยู่ไม่ไกลนักจะเห็นได้ว่าใบหน้าเขาเริ่มเขียวคล้ำขึ้นมาเล็กน้อย โลหิตที่แขนก็เปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งออกมาด้วย

 

 

“มีพิษ” คนไม่น้อยต่างหลุดปากออกมา

 

 

ชั่วขณะนั้นเองที่องค์ชายหกถึงกับสะดุ้งตกใจจึงอดหันไปมองที่มุมหนึ่งมิได้ แต่ยามนี้ทุกคนยังคงตื่นตระหนกกันอยู่จึงมิได้สังเกตว่าองค์ชายหกมองไปที่ผู้ใด

 

 

“รีบไปเชิญหมอหลวงมา” เจาเฟิงตี้ร้องตะโกนขึ้น

 

 

ไม่มีผู้ใดกล้าย้ายร่างองค์ชายรองโดยพลการ ครู่หนึ่งหมอหลวงที่องครักษ์สองคนไปเชิญและแบกวิ่งมาก็มาถึง

 

 

ผู้ที่เข้าเวรวันนี้เป็นจังจ้งหัน หมอผู้เชี่ยวชาญการวินิจฉัยโรคแห่งสำนักแพทย์หลวงพอดี เมื่อเห็นเขามาผู้คนทั้งหลายต่างก็ถอนหายใจโล่งอก

 

 

รอกระทั่งองครักษ์สองคนปล่อยมือลง จังจ้งหันก็รีบเข้าไปตรวจอาการให้องค์ชายรองโดยมิสนอาการหอบหายใจของตนด้วยซ้ำ

 

 

เขาใช้เข็มแตะเอาเลือดนั้นมาดม นอกจากกลิ่นคาวของเลือดแล้วยังมีกลิ่นแปลกประหลาดบางอย่างอยู่ด้วย สถานการณ์เช่นนี้มันดูคุ้นๆ อยู่ แต่ในเวลาสั้นๆ กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ใด

 

 

จังจ้งหันขมวดคิ้วครุ่นคิด สายตาสอดส่ายไร้จุดหมาย พลันเห็นสองเท้าเปล่าเปลือยของสตรีชุดแดงที่บัดนี้กลายเป็นศพไปแล้วเข้าพอดี

 

 

บนข้อเท้าเกลี้ยงเกลานั้นผูกกระพรวนทองไว้เส้นหนึ่ง เชือกที่ผูกกระพรวนนั้นมิใช่สีแดงที่พบเห็นได้ทั่วไปแต่เป็นสีแดงเหลือบเขียว

 

 

ชั่วขณะนั้นเองจังจ้งหันก็พลันคิดขึ้นมาได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ทันที “ฝ่าบาท องค์ชายรองถูกพิษ ‘บุรุษไร้ใจ’ พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“บุรุษไร้ใจ? เป็นพิษแบบใดกัน มีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?” เจาเฟิงตีหน้าเผือดไปทันที

 

 

จังจ้งหันส่ายศีรษะแต่ใบหน้าก็ยังคงย่ำแย่อยู่เช่นเดิม “ ‘บุรุษไร้ใจ’เป็นพิษประหลาดของชนต่างเผ่า มันมิอันตรายถึงชีวิต แต่บุรุษที่ถูกพิษชนิดนี้จะมิอาจขยับตัวได้ ไม่ว่าจะทุกข์สุขเศร้ายินดีก็มิอาจแสดงอารมณ์ออกมาทางใบหน้าได้ ไร้ความรู้สึกไม่ต่างอันใดกับคนตายแล้ว ทั้งมันยังร้ายกาจนัก หากมันได้ซึมเข้ากระแสเลือดแล้ว ต่อให้กรีดผิวหนังก็มิอาจขจัดมันไปได้”

 

 

เมื่อวาจานี้เอ่ยออกมา คนทั้งหลายต่างก็สูดปากพร้อมกัน

 

 

ความตระหนกตกใจก่อตัวขึ้นในใจองค์ชายหกทันที กระทั่งเหงื่อแตกพลั่กจนแผ่นหลังเปียกชื้นไปหมด

 

 

เขารู้ว่าวันนี้คงมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นแต่คิดไม่ถึงว่ามือสังหารจะใช้พิษประหลาดเช่นนี้เคลือบไว้ที่กริช

 

 

หากเมื่อครู่เขาใช้ร่างตนเข้าไปขวางเพื่อเป็นการแสดงความกตัญญู…

 

 

หัวใจขององค์ชายหกเต้นระรัวขึ้นมาอย่างหนัก แล้วหันไปมองที่มุมหนึ่งอีกครา

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset