“ผู้ใดไร้ตาเช่นนี้?” คุณชายสามเพิ่งกลับมาจากเรือนนางเถียน ครั้นเห็นสีหน้าซูบซีดยามเจ็บไข้ของนางแล้วก็พาลคิดถึงการกระทำอันเลอะเลือนของบิดา แต่เขาเป็นบุตรมิอาจพูดสิ่งใดได้ เดิมก็มิใคร่อารมณ์ดีนักเมื่อเดินชนกับคนผู้หนึ่งเข้าโทสะจึงระเบิดออกมา
แต่เมื่อเขาหันไปมองว่าเป็นผู้ใด ร่างทั้งร่างก็พลันแข็งค้างขึ้นมา
สตรีผู้นั้นสวมเสื้อเอ่าเข้าชุดกับกระโปรงหม่าเมี่ยนสีเขียวเรียบง่ายอย่างที่สุด มีเพียงต่างหูไข่มุกชมพูเม็ดเล็กที่แกว่งกระทบเข้ากับข้างแก้มอันขาวผ่องดุจหยกงามอย่างซุกซน ทำให้ความงามดุจธิดาสวรรค์ของคนตรงหน้าดูคล้ายภาพฝันก็มิปาน
เวลานี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว พระอาทิตย์คล้อยต่ำมีเพียงลำแสงสีแดงสายหนึ่งที่ยังทาบทับท้องฟ้าไว้ครึ่งหนึ่งคล้ายอาลัยอาวรณ์ยิ่งทำให้ท้องฟ้าในยามเหมันต์นี้มีแสงสว่างอันขมุกขมัวเหลืออยู่บ้าง
อาภรณ์เขียวผมดำขลับ ผิวขาวราวหิมะ เมื่อมาอยู่ท่ามกลางอาทิตย์อัสดงนี้แล้วก็คล้ายมีแสงเรืองรองรายล้อมอยู่รอบตัวก็มิปาน
คุณชายสามรู้สึกดั่งตนฝันไป เขาอ้าปากเอ่ยถามขึ้นประโยคหนึ่ง “เจ้า เจ้าเป็นคนหรือปีศาจ?”
หลังจากสบตากันในเวลาอันสั้นนั้นแล้ว สตรีชุดเขียวก็ไม่มองคุณชายสามอีก นางเพียงก้มหน้าวิ่งตรงไปข้างหน้า
คุณชายสามชมชอบศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เล็ก มือเท้าย่อมว่องไว แต่เวลานี้เขาจึงเผลอยื่นมือออกไปคว้าข้อมือขาวผ่องของสตรีผู้นั้นไว้ แล้วถามซ้ำอีกครั้ง “เจ้าเป็นคนหรือปีศาจ?”
สตรีชุดเขียวมองคุณชายสาม ขอบตาที่แดงก่ำแต่เดิมนั้นยิ่งแดงก่ำขึ้นไปอีก หากขนตาอันงอนยาวนั้นกะพริบลงเมื่อใด หยาดน้ำตาใสคงร่วงตกลงมาเป็นแน่ แต่มันกลับดึงดูดสายตาได้มากกว่าไข่มุกสีชมพูที่ซุกซนนั้นเสียอีก
คุณชายสามจ้องมองหยาดน้ำตาใสนั้นนิ่งคล้ายคนถูกกระแสไฟพุ่งเข้าโจมตีก็มิปาน
ในขณะที่เขากำลังอึ้งงันอยู่นั้น สตรีชุดเขียวก็สะบัดมือเขาออกแล้ววิ่งหนีไปแสนไกล
กระทั่งไม่เห็นแม้แต่เงาคนเหลือเพียงแต่กลิ่นหอมและอากาศหนาวเย็นลอยวนอยู่รอบกาย คุณชายสามจึงตื่นจากภวังค์ เขารีบวิ่งตามไปแต่กลับไม่พบแม้เพียงร่องรอย
ไม่ทราบด้วยเหตุใดคุณชายสามมิเคยสนใจเรื่องระหว่างบุรุษสตรี กระทั่งสาวใช้ทงฝังก็ไม่มีแม้เพียงสักคนกลับรู้สึกใจคอโหวงเหวงขึ้นมาเป็นครั้งแรก เขาเดินกลับไปที่ที่คนทั้งสองเดินชนกัน
คุณชายสามยืนนิ่งอยู่ที่นั่นเป็นนาน ท้องฟ้ากำลังจะมืดสนิทลงแล้ว ลมหนาวลอดมุดเข้าไปในคอเสื้อ แม้นจะสวมเสื้อผ้าหนาแต่ก็ยังรู้สึกทนไม่ไหว
“นางเป็นคนหรือปีศาจกันแน่?” คุณชายสามพึมพำกับตนเอง “จักต้องเป็นปีศาจแปลงตัวมาแน่ มิเช่นนั้นจะงดงามถึงเพียงนี้ได้อย่างไร”
คุณชายสามยกเท้าเตรียมจากไปแต่สายตากลับเหลือบไปเห็นวัตถุสีขาวที่ขยับไปมาอยู่บนพื้นจึงอดก้มลงเก็บมันขึ้นมามิได้ เพราะแสงจันทราช่างกระจ่างนักทำให้มองเห็นว่ามันเป็นผ้าเช็ดหน้าทรงสี่เหลี่ยมขาวสะอาดผืนหนึ่ง ตรงมุมผ้าปักลายดอกเหมยไว้ครึ่งดอก
คุณชายสามสูดดมมันคล้ายต้องมนต์ก็มิปาน แล้วพับมันอย่างดียัดเก็บไว้ในอกเสื้อจึงเดินกลับเรือนตนไป
ผ่านไปอีกหลายวันก็ยังคงมีท่าทีเหม่อลอยครุ่นคิด คุณชายรองซึ่งเป็นพี่ชายฝาแฝดย่อมต้องสัมผัสได้เป็นธรรมดา เขาจึงหาโอกาสเหมาะๆ เอ่ยปากถาม “น้องสาม หลายวันมานี่เจ้าเป็นอันใดหรือ?”
คุณชายสามมีอุปนิสัยตรงไปตรงมามาตั้งแต่เยาว์วัย ไม่มีเรื่องใดที่เขาจะปิดบังพี่ชายฝาแฝดผู้นี้เลย แต่เมื่อได้ยินพี่ชายเอ่ยถามเขาก็ลังเลครู่หนึ่งแล้วลองหยั่งเชิงไปว่า “พี่รอง ท่านเชื่อว่าโลกนี้มีปีศาจหรือไม่?”
คุณชายรองเลิกคิ้วขึ้น “น้องสาม แม้นขงจื่อยังไม่พูดเรื่องภูตผี แล้วเจ้าคิดเหลวไหลอันใดอยู่หรือ?”
พี่น้องที่เติบโตด้วยกันมาย่อมมิจำเป็นต้องปิดบังอันใด เมื่อคุณชายสามได้ยินคุณชายรองเอ่ยเช่นนั้นก็พลันร้อนใจขึ้นมา “พี่รอง ข้าเห็นจริงๆ นะ!”
คุณชายรองเห็นท่าทีร้อนใจที่เขาไม่เชื่อถือของคุณชายรองก็อดถอนหายใจออกมามิได้ “น้องสาม เจ้าเล่ามาทีว่าปีศาจนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร?”
เมื่อถูกถามเช่นนี้คุณชายสามกลับชะงักไป ไม่ทราบเหตุเขาจึงไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่านางมีหน้าตาเช่นไร
ครั้นเห็นคุณชายสามไม่พูด คุณชายรองก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “น้องสาม ข้าคิดว่าเจ้าคงว่างเกินไปจึงได้คิดฟุ้งซ่าน ระยะนี้ท่านแม่ล้มป่วยอยู่ หากเจ้าไม่มีเรื่องใดก็ไปเยี่ยมพูดคุยกับท่านแม่บ้างจะดีกว่า”
คุณชายสามเอ่ยอย่างไม่อ่อนข้อว่า “ระยะนี้ข้าไปเยี่ยมท่านแม่ทุกวัน ท่านต่างหากที่ไม่เคยเห็นแม้เพียงเงา”
ตั้งแต่ที่เขาชนเข้ากับสตรีผู้นั้นเพราะกลับมาจากเยี่ยมนางเถียนก็ไปเยี่ยมมารดาทุกวัน เขาอยากไปเยี่ยมมารดาจริงๆ แต่ก็อยากพบนางอีกสักครั้งด้วยเช่นกันทำให้มีความกระตือรือร้นเพิ่มขึ้นมาอีกสักหน่อย แม้แต่นางเถียนที่อารมณ์ไม่ค่อยจะดีนักมาตลอดเห็นบุตรชายกตัญญูเช่นนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย
คุณชายรองถูกคุณชายสามตอกหน้ากลับมาเช่นนั้น แต่แม้นเขาไปจะเยี่ยมนางเถียนทุกเช้าเย็นก็ไม่มีทางเทียบได้กับน้องสามที่ไปเฝ้าอยู่ที่นั่นอยู่ครึ่งค่อนวันเป็นแน่
“พี่รอง ข้ายังมิได้ถามท่านเลย หลายวันมานี่ท่านยุ่งอันใดหรือ?”
“ก็แค่นัดพบพูดคุยกับสหายนักกวีทั้งหลายเท่านั้นเอง” คุณชายรองมิคิดพูดอันใดมาก เพียงตอบอย่างขอไปทีเท่านั้น
คุณชายสามก็มิได้สนใจไต่ถามอันใดต่อไปอีก
แม้นเขากับพี่รองจะผูกพันกันอย่างลึกซึ้งแต่อุปนิสัยนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกเขามีสหายกลุ่มเดียวกันก็จริงแต่ก็มีสหายอีกกลุ่มของตนด้วยเช่นกัน
ยากนักที่สองพี่น้องจะได้มีโอกาสพูดคุยกันเช่นนี้ คุณชายสามเพียงรู้สึกว่าสองสามวันมานี่ตนมีบางอย่างที่แปลกไปคล้ายไม่เป็นตัวของตัวเองจึงอดถามพี่ชายมิได้ว่า “พี่รอง ท่านมีสตรีในดวงใจหรือไม่?”
ครานี้คุณชายรองจึงเริ่มสนใจขึ้นมาทันที เขาเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยถามคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “น้องสาม หรือเจ้ากำลังมีความรัก? บอกพี่รองมา เจ้าชมชอบคุณหนูตระกูลใด?”
คุณชายสามรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย “พี่รอง ข้าถามท่านอยู่ เหตุใดท่านจึงมาถามข้าแทนเล่า”
คุณชายรองหัวเราะหึๆ “ข้ามีสตรีในดวงใจที่ใดกันเล่า ออกจวนไปก็พบแต่บุรุษ ในจวนก็มีแต่ญาติพี่น้องทั้งสิ้น”
สายตาคุณชายสามเป็นประกายขึ้นมาทันที
ญาติหรือ?
หากสตรีผู้นั้นมิใช่ปีศาจ นางก็อาจจะอยู่ในจวนแห่งนี้?
คุณชายสามอุปนิสัยตรงไปตรงมา ยามนี้ในหัวกลับกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที
สตรีผู้นั้นสวมอาภรณ์เรียบง่ายธรรมดายิ่ง อายุมิได้มากอันใด เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นสาวใช้ของเรือนใดเรือนหนึ่งในจวน!
ควรต้องทราบว่าคุณชายเช่นพวกเขาหากอายุครบสิบปีก็ต้องย้ายมาพักอยู่เพียงลำพังที่เรือนหน้า นอกจากต้องไปเยี่ยมคารวะท่านย่าและมารดาแล้วก็น้อยนักที่จะไปเรือนหลัง การที่เขาไม่รู้จักสาวใช้ในเรือนก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง
ครั้นคิดได้เช่นนี้หัวใจของคุณชายสามก็ลอยละลิ่วขึ้นมาทันที เขาลูบหน้าอกตนในตำแหน่งที่เก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้แล้วผลิยิ้มโง่งมออกมา
“น้องสาม…” คุณชายรองยื่นมือไปสะกิดคุณชายสาม “เสียสติไปแล้วหรือ?”
“แหะๆๆ” คุณชายสามยิ้มแห้งๆ ออกมา แม้นคุณชายรองจะเอ่ยถามอันใดเขาก็มิพูดตอบอีก
เมื่อนางเถียนเริ่มมีอาการดีขึ้น คุณชายสามที่คอยดูแลรินน้ำชาให้นางเถียนก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป “ท่านแม่ ลูก ลูกอยากจะ…”
“อยากทำอันใดหรือ?” นางเถียนมีบุตรชายสามคนบุตรสาวอีกหนึ่ง เดิมก็มิได้รักใคร่บุตรชายคนที่สามเท่าใดนักอยู่แล้ว พูดกันตามตรงแล้วนางย่อมต้องให้ความสำคัญกับบุตรชายคนโตที่สุด หากจะเอ็นดูก็คงไม่พ้นบุตรชายคนเล็กที่อายุไม่ถึงหกปีผู้นั้น และที่นางรักถนอมที่สุดก็คือหลัวจือหยาบุตรสาวเพียงคนเดียวของนางเอง บุตรคนที่สามซึ่งแทรกอยู่ระหว่างกลางมิได้รับความรักที่มากเป็นพิเศษนั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นอยู่ทั่วไป
เพียงแต่ระยะหลังมานี่หากนับดูแล้วคุณชายสามเป็นคนที่มาหานางบ่อยที่สุด ดูแลนางไม่ขาดตกบกพร่องที่สุด หัวใจของผู้เป็นมารดาจึงเริ่มเอนเอียงมาหาเขาอย่างช้าๆ ครั้นเห็นบุตรชายพูดจาอึกอักก็มิได้แสดงท่าทีรำคาญแต่กลับเผยรอยยิ้มที่ยากนักจะพบเห็นในหลายวันมานี่
คุณชายสามเองก็รับรู้ได้ว่ามารดาอารมณ์ดีไม่น้อย แม้นจะเขินอายยิ่งแต่หลังจากที่ได้ผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเหมยครึ่งดอกนั้นมาครอบครอง ทุกคราที่หยิบขึ้นมาสูดดมภาพของสตรีชุดเขียวนั้นก็ประทับลงในหัวใจเขามากขึ้นทุกขณะ กระทั่งนอนไม่หลับอยู่ทุกค่ำคืนโดยไม่รู้ตัว
ถึงเวลานี้แล้ว ความเขินอายเหล่านั้นมีหรือจะสู้ความปรารถนาในใจตนได้ คุณชายสามจึงแข็งใจเอ่ยไปว่า “ท่านแม่ ลูกอยากได้คนมาอยู่ในเรือนเพิ่ม…”
นางเถียนอึ้งงันไป รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายทันที
ในปีที่พวกเขาอายุครบสิบสี่ นางก็ได้จัดแจงเลือกสาวใช้ทงฝังให้บุตรชายทั้งสองไว้คนหนึ่ง บุตรชายคนรองรับไว้โดยมิเอ่ยปฏิเสธใดๆ แต่บุตรชายคนที่สามกลับไม่ต้องการ บอกว่ายุ่งยากเปล่าๆ
คุณชายที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์เช่นพวกเขานั้นมิอาจแต่งอนุได้ แต่จะจัดสรรสาวใช้ทงฝังที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีให้ไว้หนึ่งคน เพราะกลัวว่าคุณชายทั้งหลายมิเคยลิ้มลองแล้วจะทนสิ่งยั่วยุเหล่านี้ไม่ไหวจนไปเรียนรู้สิ่งผิดๆ มาจากข้างนอก
แต่หากบุตรชายยังมิพร้อมผู้เป็นมารดาก็ย่อมมิบังคับฝืนใจ อย่างไรเสียการที่บุรุษเอาใจไปทุ่มเทกับเรื่องพวกนี้เร็วเกินไปก็มิใช่เรื่องดีนัก
แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้บุตรชายจะเอ่ยกับนางด้วยตนเอง
นางรู้สึกกังวลใจอยู่บ้างเพราะเกรงว่าบุตรชายจะเอาใจไปมอบให้แก่สาวใช้ทงฝังชั้นต่ำจริงๆ
อย่างไรเสียการคัดเลือกสาวใช้ทงฝังให้บุตรกับการที่บุตรชมชอบและเลือกสรรด้วยตนเองนั้นย่อมเป็นคนละเรื่องกัน
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่นางเถียนทนไม่ได้
แม้นยามนี้ท่านพี่จะถูกนางปีศาจจิ้งจอกนั้นทำให้ลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำแต่สมัยที่ยังหนุ่มแน่นกลับประพฤติตนในกฎระเบียบทุกอย่าง
แต่นางเถียนก็เริ่มเข้าใจเรื่องนี้ขึ้นมาอยู่บ้าง ตอนนั้นพวกเขาสองสามีภรรยามีความปรารถนาบางอย่างร่วมกัน ท่านพี่ย่อมต้องสำรวมกิริยา แต่ยามนี้ต้าหลังกลับมีตำแหน่งใหญ่โตเป็นคนหนุ่มที่มีอนาคตไกล ความหวังในแผนการทุกอย่างที่พวกเขาวางไว้ก็ค่อยๆ มอดดับลง ท่านพี่จึงได้เอาจิตใจทุกอย่างไปวางไว้กับอิสตรีงาม
แต่บุตรชายของนางกำลังเติบโตอย่างสง่างาม นางจะไม่ยอมให้เขาทำตัวเหลวไหลเด็ดขาด
“เจ้าถูกใจคนใดเล่า?” นางเถียนเอ่ยถามอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ต้องเผชิญกับเรื่องที่ตนปรารถนามากที่สุดก็ย่อมต้องรู้จักสังเกตไปโดยปริยาย แม้แต่คุณชายสามเองก็รับรู้ได้ว่านางเถียนมิใคร่พอใจนัก จึงพลิกลิ้นกลืนวาจาที่เดิมคิดพูดออกไปลงคอทันที “ท่านแม่ ลูกมิได้ถูกใจผู้ใดแต่ลูกอายุสิบเจ็ดแล้ว สหายทุกคนต่างก็มีเช่นเดียวกัน ยามพูดคุยเล่นกันลูกกลับมิอาจร่วมสนทนาด้วยได้ทั้งยังถูกหัวเราะเยาะอีก”
นางเถียนพลันอึ้งไป
เป็นนางเองที่ละเลย เวลาล่วงมาถึงสามปี จากเด็กหนุ่มก็กลายเป็นหนุ่มน้อยเสียแล้ว เขาย่อมต้องรู้สึกใคร่รู้เรื่องระหว่างชายหญิงเป็นธรรมดา
ครั้นเห็นทราบว่าบุตรชายมิได้ถูกตัวอัปรีย์คนใดทำให้ลุ่มหลง นางเถียนก็ผ่อนคลายลง นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ประเดี๋ยวแม่จะเลือกที่ดีๆ สักคนให้เจ้า แต่ขออย่างเดียว อย่าทำให้เสียการเรียนเด็ดขาด”
“ท่านแม่ ท่านพูดอันใดกัน!” คุณชายสามหน้าแดงขึ้นมา ตามด้วยรอยยิ้ม “ลูกเชื่อในสายตาของท่านแม่ว่าท่านจักต้องเลือกคนที่งามที่สุดให้กับลูก”
นางเถียนยกนิ้วขึ้นจิ้มหน้าผากคุณชายสาม “เจ้านี่เอาใหญ่แล้วนะ!”
“ท่านแม่ ลูกจะมิเอาก็ได้ แต่หากจะเอาต้องเอาที่สวยที่สุดในจวนขอรับ ต่อไปหากพวกเขาหัวเราะเยาะอีก ลูกก็จะได้โต้ตอบกลับทันที ท่านคงไม่ทราบ…มีครั้งหนึ่งเราไปฟังดนตรีที่โรงน้ำชา มีแม่นางน้อยผู้หนึ่งขึ้นมาเล่นพิณ สหายผู้หนึ่งมองอย่างตกตะลึงกระทั่งชาหกรดตนก็มิรู้ตัวจนถูกล้อเรื่องนี้อยู่นานเลยทีเดียว”
ความจริงนี้เป็นเรื่องที่คุณชายสามหลอกนางเถียน ผู้ที่ไปฟังดนตรีที่โรงน้ำชานั้นคือพี่รองมิใช่เขา เขาแค่ฟังพี่รองเล่าถึงสหายผู้นี้ด้วยความขบขันจึงนำมาเล่าให้นางเถียนฟังเท่านั้น
“เอาล่ะ สวยที่สุดอันใดกัน อายุยังน้อยแท้ๆ อย่าได้ไปเรียนอันใดผิดๆ มา ประเดี๋ยวแม่จะช่วยดูให้ก็แล้วกัน”
คุณชายสามได้ยินเช่นนี้ก็ทราบทันทีว่านางเถียนรับปากตนแล้ว
กระทั่งคุณชายสามจากไป นางเถียนมานั่งคิดดูแล้วก็ถึงกับปวดศีรษะ
สาวใช้ที่รูปโฉมงดงามที่สุดในจวน มิใช่อาหลวนสาวใช้ข้างกายนางเจินผู้นั้นหรอกหรือ?