ฮูหยินผู้เฒ่ากุมหน้าอกตนพลางมองคุณหนูใหญ่ที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางห้องโถงแล้วเอ่ยถามนางเถียนว่า “หยวนเหนียงทำลายข้าวของในห้องเยียนเหนียงหรือ?”
วันนี้เจินเมี่ยวทำขนมจึงนำมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าและพูดคุยเล่นกัน หากจะเดินหนีไปก็กระไรจะอยู่ก็ไม่ควร แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่าตนมิใช่คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คงไม่มีผู้ใดสนใจจึงค่อยๆ ขยับออกมาด้านข้าง ตาก็มองหลัวจือหยาตามสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าไป
หลัวจือหยาได้ยินคำถามของฮูหยินผู้เฒ่าก็เม้มริมฝีปากแน่นไม่เอ่ยสิ่งใด บนใบหน้ามิได้มีท่าทีประหม่าอย่างที่คุณหนูทั้งหลายมักเป็นเมื่อก่อเรื่องให้ผู้อาวุโสขุ่นเคืองแต่แทนที่ด้วยท่าทีสบายอกสบายใจที่ได้ระบายโทสะ
“เป็นความผิดของสะใภ้เอง…” นางเถียนรีบออกรับแทนทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าถามต่อว่า “เยียนเหนียงมิได้บาดเจ็บใช่หรือไม่?”
“ไม่เจ้าค่ะ แต่ไรมาหยวนเหนียงเป็นคนมีเหตุผล ครานี้ที่ทำลงไปก็เพราะสะใภ้แท้ๆ แต่นางมิได้ทำอันใดเยียนเหนียงเลย ฮูหยินผู้เฒ่าทุกอย่างเป็นความผิดของสะใภ้เอง…”
ครั้นได้ยินว่าเยียนเหนียงมิได้รับบาดเจ็บ แววตาของฮูหยินผู้เฒ่าก็ทอประกายวาบขึ้นคราหนึ่ง
เจินเมี่ยวเห็นแล้วต้องยกมุมปากขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่า…สายตาแสดงความเสียดายที่ผ่านวูบไปเมื่อท่านได้ยินว่านางทำลายแต่ข้าวของมิได้ทำร้ายเยียนเหนียงนั้นคือสิ่งใดกัน?
สีหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาปกติเช่นเดิมแล้ว นางเอ่ยเสียงเรียบว่า “คุณหนูใหญ่ลงมือทำลายข้าวของเช่นนี้มันสมควรแล้วหรือ? ของพวกนั้นมิใช่ใช้เงินซื้อมาแต่ลมหอบมางั้นหรือ? อีกอย่างสิ่งของมันไม่รู้ดอกว่าคนกำลังโกรธ เจ้าทำลายมันก็เปลืองแรงตนเองเปล่าๆ”
หลัวจือหยาได้ฟังวาจาอันเสียดแทงของฮูหยินผู้เฒ่าก็ถึงกับหน้าแดง ความอึดอัดคัดข้องจุกแน่นอยู่ในอกจนรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
ฮูหยินผู้เฒ่าดูเหมือนจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง นางเอ่ยกับนางเถียนว่า “นางเถียน อีกไม่นานหยวนเหนียงก็จะออกเรือนไปแล้ว งานมงคลของบุตรชายสองคนของเจ้าก็ต้องรีบกำหนดได้แล้ว ต่อไปก็ทุ่มเวลาในการอบรมบุตรชายและบุตรสาวให้มาก นั้นแลคือความสุขในภายหลัง”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ทราบแล้ว” นางเถียนกลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่บุตรสาวกระทำการวู่วามไร้กฎระเบียบเช่นนั้น แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับเพียงจับยกขึ้นที่สูงแล้วค่อยๆ วางลงพื้นอย่างแผ่วเบาเช่นนั้น ในใจก็เกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมาหลายส่วน
ไม่แน่ว่าแม้นหยวนเหนียงจะทำร้ายนางแพศยานั้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็อาจจะไม่ตำหนิเอาผิดสักคำก็เป็นได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางเถียนก็เกือบจะตบหน้าขาตนสักฉาดใหญ่เพราะนึกได้ขึ้นมา
ใช่แล้ว ตอนนั้นเหตุใดจึงเอาแต่ทุบทำลายข้าวของเล่า เหตุใดจึงมิสั่งสอนนางแพศยานั้นให้รู้สำนึก!
หยวนเหนียงในยามนี้มีฐานะไม่เหมือนเดิมแล้ว ต่อให้เป็นท่านพี่ก็คงไม่กล้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายก้อย เหตุใดตนจึงนึกไม่ถึงเล่า!
ไม่คิดก็รู้ว่านี้เป็นการกระทำอย่างไม่สนผลลัพธ์ แม้นการที่หยวนเหนียงไปอาละวาดกับนางแพศยานั้นจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าฟังนัก อย่างไรก็เป็นการทำเพราะกตัญญูต่อมารดาทั้งยังเป็นครั้งแรก แต่หากมีครั้งที่สองคงทำให้ผู้คนคิดว่านางช่างป่าเถื่อนนัก แม้แต่มารดาเช่นตนก็ต้องพลอยเสื่อมเสียถูกกล่าวว่ามิสั่งสอนบุตรเป็นแน่
ชั่วขณะนั้นนางเถียนถึงกลับเสียใจจนลำไส้ขมวดเกร็งไปหมด
ครั้นเห็นนางเถียนหน้าเปลี่ยนสีไป ฮูหยินก็ทราบว่านางคิดได้แล้วจึงอดลอบถอนหายใจออกมามิได้
นางเถียนมีชาติกำเนิดที่มิได้สูงส่งนัก แม้นปกติจะมีท่าทีสุขุมใจเย็น แต่เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาอย่างแท้จริงกลับมิอาจตั้งสติรับมือได้ ใจคิดอยากจะแสดงท่าทีใจกว้างอ่อนโยนแต่กลับมิอาจกดเก็บโทสะเอาไว้ได้ สุดท้ายสิ่งที่แสดงออกมาจึงแปลกพิกลยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าอดนึกถึงนางซ่งสะใภ้คนที่สามกับนางชีสะใภ้คนที่สี่มิได้
นางซ่งเกิดในตระกูลบัณฑิตเป็นคนเรียบง่ายถ่อมตนยิ่ง ทว่านางจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่เจ้าลูกเหลวไหลผู้นั้นไปตามติดคุณหนูน้อยผู้หนึ่งเพราะต้องการวาดภาพเหมือน สุดท้ายถูกซ้อมทั้งยังต้องจ่ายเงินให้ฝ่ายนั้น นายท่านสามจึงเผยฐานะตนแล้วพอคนพวกนั้นไปหานางซ่งที่กำลังเลือกเครื่องประดับอยู่ที่ร้านเป่าหวา
นางซ่งไม่ลังเลสักนิดที่จะตำหนิว่าคนพวกนี้เป็นนักต้มตุ๋นทั้งยังกล่าวหาว่าสามีตนก็เป็นพวกเดียวกันแต่อาศัยว่าหน้าตาคล้ายคลึงอยู่หลายส่วนจึงมาหลอกเอาเงินตน เมื่อกล่าวว่าเสร็จก็ให้บ่าวไพร่ไล่คนพวกนั้นไปแล้วกักเอาตัวสามีคนไว้บอกว่าจะนำตัวไปแจ้งความ
ครั้งนั้นเองที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับทอดถอนใจด้วยความนับถือในตัวสะใภ้สามที่เดิมตนคิดว่ามีอุปนิสัยอ่อนโยนยิ่งผู้นั้นและทำให้ตนต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาผู้นี้ไปในทันที
ส่วนนางชีนั้นหลังจากทราบว่าสามีตนหายสาบสูญนางก็หมดสติไป หลังจากฟื้นขึ้นก็ทราบว่าตนตั้งครรภ์ แม้นจิตใจตนเจ็บปวดจนแทบสลายแต่ก็ยังฝืนกินข้าว
กระทั่งยามนี้นางยังจำภาพที่นางชีกินข้าวไปแล้วก็อาเจียนออกมา อาเจียนเสร็จก็กินเข้าไปใหม่ได้ดี มันช่างเป็นภาพที่ทำให้รู้สึกขมขื่นจนต้องถอนหายใจออกมาเลยทีเดียว
ยังมีนางจั้งมารดาของหลัวเทียนเฉิงอีกคน ปีนั้นที่เสียสามีไป นางเอ่ยอย่างหนักแน่นด้วยดวงตาแดงก่ำกับตนว่า “ท่านแม่วางใจเถิด มีหมิงเกออยู่ ไม่ว่าอย่างไรสะใภ้ก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไป คอยเฝ้ามองเขาเติบใหญ่ แต่งงาน มีบุตร เช่นนี้จึงจะไม่ผิดต่อท่านพี่”
ต่อมากลับพบศพของนางหูในทะเลสาบ กระทั่งถึงตอนนี้นางยังไม่เชื่อว่านางจั้งจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
“ฮูหยินผู้เฒ่า…” นางเถียนร้องเรียกขึ้น ด้วยห่วงบุตรสาวที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น แม้นจะมีผ้าปูรองแต่อากาศที่เหน็บหนาวเข้ากระดูกเช่นนี้จะมีคุณหนูตระกูลใดทนได้บ้าง
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตื่นจากภวังค์ แล้วหันมองหลัวจือหยาที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
นางเชื่อว่าหยวนเหนียงที่มีฐานะเป็นคุณหนูใหญ่ทั้งยังเป็นบุตรของภรรยาเอกย่อมมิใช่คนโง่ แต่นางมองบางอย่างแคบไปเท่านั้น หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเพราะการถูกอบรมเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กทำให้นางมิเคยคิดว่าจะลงมือทำร้ายสาวใช้ทงฝังหรืออนุภรรยาของบิดาหรือเรื่องอันใดทำนองนี้เลย
“หยวนเหนียง เรื่องวันนี้จะถูกหรือผิด เจ้ารู้อยู่แก่ใจ ย่าไม่คิดจะพูดอันใดให้มากความ แต่อีกไม่นานเจ้าก็จะแต่งไปยังดินแดนหมานเว่ยแล้ว ต่อไปคงไม่มีผู้อาวุโสคอยชี้แนะ ย่าจึงขอพูดสิ่งที่ผู้อาวุโสมิควรสอนสักประโยค เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เถิด”
“ท่านย่า…” หลัวจือหยาอึ้งไปเล็กน้อย
นางเคยคิดว่าท่านย่าคงผิดหวัง รังเกียจตน แต่ก็มิได้ยี่หระสิ่งนั้น คาดไม่ถึงว่าท่านย่ากลับมองนางด้วยสายตาล้ำลึกเช่นนี้ มันมีทั้งความสงสาร ความจนใจ ยังมีอีกหลายความรู้สึกที่มองอย่างไรนางก็ไม่เข้าใจ
แม้แต่เจินเมี่ยวก็ยังอดนั่งตัวตรงตั้งใจฟังถ้อยคำที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะเอ่ยมิได้
“โลกใบนี้เดิมก็โหดร้ายกับสตรีเช่นเราๆ อยู่แล้ว ดังนั้นหากเจ้าจะทำเรื่องที่แหวกกฎเกณฑ์ จักต้องกระทำในสิ่งที่ได้มากกว่าเสีย หากทำไปเพียงเพื่อระบายโทสะนั้นเป็นเรื่องโง่เขลาสิ้นดี หากเจ้าทำไม่ได้เช่นนี้ก็พึงระวังรักษากฎเกณฑ์ที่ควรปฏิบัติต่อไปเถิด”
ระหว่างที่เอ่ยฮูหยินผู้เฒ่าก็มองหลัวจือหยาด้วยแววตาล้ำลึกคราหนึ่ง “หยวนเหนียง เจ้าลุกขึ้นเถิด ย่าหวังว่าเจ้าจะจดจำวาจานี้ไว้ มันอาจมีประโยชน์กับเจ้าในภายหน้าเมื่อต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง”
“เจ้าค่ะ” หลัวจือหยาก้มหน้ารับคำ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่าทีเช่นนี้ของฮูหยินผู้เฒ่า โทสะและความดุร้ายในใจนางกลับหาที่มาที่ไปไม่ได้เลย
ฮูหยินผู้เฒ่านวดคลึงขมับตนแล้วเอ่ยว่า “นางเถียน พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว”
นางเถียนย่อกายคราหนึ่งแล้วจูงมือหลัวจือหยาออกไป
กระทั่งคนจากไปแล้วครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยกชาขึ้นดื่ม
เจินเมี่ยวรีบรินน้ำชาส่งไปให้อีกถ้วยทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าดื่มชาร้อนๆ ไปอึกหนึ่ง จิตใจจึงสงบลงได้หลายส่วน เมื่อส่งสัญญาณให้คนรับใช้ภายในห้องออกไปหมดแล้วจึงเอ่ยถามว่า “หลานสะใภ้ หากเจ้าเป็นหยวนเหนียง เจ้าจะทำเช่นไร?”
“ข้า?” เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ นางเป็นแค่คนผ่านทางเท่านั้นเหตุใดจึงดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเล่า
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม “ให้เจ้าพูดเจ้าก็พูดเถิด ย่าจะได้แนะนำเจ้าถูกในตอนนี้ที่ยังมิทันสติเลอะเลือน หากผ่านไปอีกสักสองสามปี ไม่แน่ว่าย่าอาจจะเป็นเช่นท่านปู่แล้วก็ได้ ต่อให้คิดจะแก้ไขอันใดแทนพวกเจ้าก็คงทำไม่ได้แล้ว”
หลานสะใภ้ผู้นี้มิใช่คนจิตใจซับซ้อน ว่าไปแล้วก็คงมิอาจเป็นผู้ดูแลจวนที่โดดเด่นเก่งกาจ แต่ตอนตนยังอยู่ในวัยสาวก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่เก่งกาจและรู้ทันคนเช่นนี้เมื่อใดกัน?
สำหรับตระกูลสูงศักดิ์เช่นพวกเขาแล้ว การที่กระทำเรื่องใดๆ ใหญ่เล็กอย่างผู้มีสตินั้นกลับเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของฮูหยินผู้เฒ่า เจินเมี่ยวจึงมิกล้าตอบอย่างขอไปทีได้ นางตอบความคิดที่แท้จริงของตนออกไปว่า “หากหลานเป็นหยวนเหนียงก็อาจจะเข้าไปทุบตีเยียนเหนียงแทนกระมัง อย่างไรเสีย…อย่างไรจะทุบทำลายของหรือทุบทำร้ายคนก็คือการทุบทำลายเช่นเดียวกัน…”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมา “หลานสะใภ้ นี่คือความหมายของประโยคที่ย่าบอกแก่หยวนเหนียงไปเมื่อครู่อย่างไรเล่า ในเมื่อคิดจะแหกกฎแล้วก็ต้องได้รับผลประโยชน์มากที่สุด มิเช่นนั้นการกระทำอันแหกกฎนี้ก็ไร้ความหมายมิใช่หรือ?”
เจินเมี่ยวพยักหน้าโดยแรง
ในที่สุดนางก็ทราบแล้วว่าความเสียดายในดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อครู่นี้คืออันใด
คิดไม่ถึงว่าประโยคต่อมาของฮูหยินผู้เฒ่ากลับทำให้นางตกใจจนคางแทบร่วงตกพื้นยิ่งกว่าเสียอีก
“หลานสะใภ้ ย่าอยากจะบอกเจ้าอีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องใดต้องคิดให้ดีก่อนจะลงมือทำ หากไม่แน่ใจก็มิสู้อยู่เฉยๆ ท่านอารองเจ้ากลับมาจักต้องโกรธมากแน่ หยวนเหนียงจะออกเรือนแล้วคงมิได้รับการลงโทษอันใดดอก แต่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงอาการพาลพาโลไปถึงอาสะใภ้รองได้ แต่นั่นกลับมิใช่เรื่องสำคัญที่สุด”
“แล้วสิ่งใดสำคัญที่สุดเล่าเจ้าคะ?” เจินเมี่ยวเอ่ยถาม
“ที่สำคัญที่สุดน่ะหรือ…” เอ่ยถึงตรงนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ “ที่สำคัญที่สุดคือสาวใช้สองคนที่คอยดูแลเรือนคงถูกอารองเจ้าไล่ออกมาเพราะดูแลเยียนเหนียงไม่ดีพอ”
“เรื่องนี้…” เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เทพเซียนวิวาทภูตผีเดือดร้อนก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากระแอมไอคราหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อว่า “สาวใช้สองคนในเรือนนั้น มีผู้หนึ่งที่เป็นคนของย่า ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจให้เยียนเหนียงมีบุตรเด็ดขาด”
เจินเมี่ยวซูดปากคราหนึ่ง
“เป็นอันใด ตกใจหรือ?”
เจินเมี่ยวส่ายหน้า
“ไม่ว่าเจ้าจะตกใจหรือหวาดกลัว แต่ต่อไปจวนกั๋วกงอันใหญ่โตนี้ก็ต้องส่งมอบให้เจ้าดูแล เรื่องบางเรื่องย่าก็ไม่อยากปิดบังเจ้า”
“หลานสะใภ้เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “แต่นางเสียดายที่หยวนเหนียงก่อเรื่องนี้ขึ้นมา ต่อไปแม้นย่าอยากช่วยก็ไร้หนทางแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงพูดต่อว่า “หลานสะใภ้ เรื่องนี้เจ้าได้พูดไปเชียว หากอาสะใภ้รองเจ้ารู้เข้าคงกินข้าวไม่ลงแน่”
เจินเมี่ยวเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา นางได้แต่ฝืนรับคำไป แต่ในใจกลับลอบจุดเทียนอวยชัยให้สองแม่ลูกนั้น
มิใช่ว่านางรู้สึกสุขใจเมื่อเห็นผู้อื่นมีทุกข์ แต่การมีคนโง่เขลาเป็นสหายนั้นน่ากลัวกว่าการเป็นศัตรูกับเทพเซียนเสียอีก!
ฮูหยินผู้เฒ่าพูดไม่มีผิด หากเรื่องใดไม่แน่ใจว่าทำได้ก็มิสู้อยู่นิ่งๆ จะดีกว่า
แหะๆ นางถึงมิเคยกระทำการใดเลยอย่างไรเล่า!
หลังจากที่นายท่านรองสกุลหลัวกลับมาและทราบเรื่องที่หลัวจือหยาทำก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแต่ก็ทำอันใดบุตรสาวตนมิได้ สุดท้ายจึงเอาโทสะไปลงที่บ่าวไพร่และขายหญิงรับใช้สองคนนั้นไปอย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่าคาดการไว้ไม่มีผิด แล้วซื้อสาวใช้คนใหม่เข้ามาปรนนิบัติเยียนเหนียง
มิทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือความตั้งใจ นางเถียนที่เป็นผู้ดูแลหลักในจวนกลับไปทราบมาว่าหญิงรับใช้สกุลซุนมักลอบไปเอายาคุมกำเนิดจากห้องยาผสมใส่กับน้ำแกงที่เยียนเหนียงดื่มทุกวัน และเมื่อหันไปมองเรือนฝั่งตะวันตกที่แน่นหนาประหนึ่งถังเหล็ก ความคับแค้นใจนั้นจุกแน่นอยู่ในอก ผ่านไปเพียงสองวันก็ล้มป่วย
วันนี้คุณชายรองมีธุระจึงมีเพียงคุณชายสามที่มาเยี่ยมมารดา เขากินข้าวเย็นด้วยแล้วค่อยเดินกลับเรือนตน แต่กลับบังเอิญชนเข้ากับคนผู้หนึ่งที่มุมเลี้ยวหลังหุบเขาจำลอง