ตอนที่เจินเจี้ยนเหวินไปหากนายท่านรองนั้น เขากำลังสอนบุตรสาวสองคนวาดภาพอยู่ในห้องตำราพอดี
หน้าต่างในห้องตำราเปิดเสียกว้างทำให้ภายในห้องสว่างเป็นพิเศษ
หิมะด้านนอกนั้นหยุดแล้ว ต้นดอกเหมยเก่าแก่ที่แหย่ทะลุกำแพงออกมา ด้านข้างมีกิ่งเล็กๆ แตกออกมา ทั้งยังช่อตูมเล็กๆ สีชมพูอ่อนเกิดอยู่ตามกิ่งก้าน กิ่งของมันโน้มคดเคี้ยว สีอ่อนเข้มนั้นตัดกันกับหิมะสีขาว ช่างดูงดงามแต่โดดเดี่ยวยิ่ง
“ท่านพ่อ?” เจินปิงยืนหลังตรงดุจพู่กันอยู่หลังโต๊ะ ลำคอระหงค่อยๆ ก้มโค้งลงเล็กน้อย นางตวัดพู่กันเป็นดอกตูมดอกหนึ่ง แล้วหันไปมองบิดาอย่างขอคำชี้แนะ
เจินอวี้กลับมิได้ชมชอบการวาดภาพอย่างเจินปิง แน่นอนว่าตระกูลเช่นพวกนางแม้นมิชมชอบ อย่างมากก็เพียงเรียนแล้วมิโดดเด่น แต่อย่างไรก็ต้องทำได้อย่างไม่น้อยหน้าผู้ใด
เวลานี้ที่นางสนใจมิใช่การวาดภาพดอกเหมย แต่เป็นการชมดอกเหมยไปพลางวาดภาพไปพลางพร้อมกันกับบิดาและพี่สาว เมื่อนางเกิดความสนุกอย่างเด็กสายทั่วไปจึงโผล่หน้าไปดูดอกเหมยที ประเดี๋ยวก็กลับมามองบิดาผู้สง่างามของตนทีอย่างตามแต่อารมณ์ ทั้งท่าทีอันจริงจังเคร่งเครียดของพี่สาวนั้นทำให้นางรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่ง จึงเอาแต่ระบายยิ้มงดงามหวานล้ำอยู่ไม่คลาย
นายท่านรองมองบุตรสาวทั้งสองด้วยแววตาอ่อนโยน แล้วเอ่ยแนะว่า “ต้นเหมยนั้นมีจุดสำคัญอยู่สี่ประการ ที่ว่าสำคัญนั้นคือดอกเล็กแต่มิรก ต้นต้องแก่มิอ่อน กิ่งต้องเล็กไม่หนา ดอกนั้นตูมมิบาน ต้นเหมยแก่ที่นอกหน้าต่างนั้นแม้นจะมิใช่ต้นเหมยที่ดีที่สุด แต่หากวาดเป็นภาพแล้วกลับดียิ่ง ตอนที่วาดภาพต้องใส่ใจรายละเอียดมากสักหน่อย ”
พูดพลางรับพู่กันจากบุตรสาวมา พริบตาก็ตวัดพู่กันขึ้นกลายเป็นดอกตูมเล็กๆ ดอกหนึ่ง “พวกเจ้าดูเถิด ดอกตูมที่ยังมิบานนี้ ตอนที่จรดพู่กันจักต้องระวังมิให้ปลายพู่กันแตกจึงจะวาดความรู้สึกของภาพออกมาได้…”
เจินเจี้ยนเหวินเข้ามาในห้องก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น้องรอง เจ้าช่างมีอารมณ์สุนทรีย์นัก แต่ห้องนี้ออกจะเย็นเกินไป”
ภายในห้องไม่มีฟืนใต้พื้น มีเพียงเตาถ่านที่วางไว้ตามจุดต่างๆ แต่เขาต้องเปิดหน้าต่างเพื่อวาดภาพดอกเหมย อากาศภายในห้องจึงมิอบอุ่นเท่าห้องอื่นๆ
นายท่านรองวางพู่กันลงแล้วยิ้มน้อยๆ “หนาวสักหน่อย จักได้ไม่ง่วง พี่ใหญ่มาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”
เจินเจี้ยนเหวินมองหลานสาวสองคนคราหนึ่ง
เจินปิงและเจินอวี้ย่อกายคารวะ “ท่านลุง ข้ากับน้องหกจะไปหาท่านแม่ก่อน ท่านและท่านพ่อค่อยๆ คุยกันเถิด”
เมื่อประตูปิดลง ชั่วขณะนั้นก็เหลือเพียงสองพี่น้อง
เจินเจี้ยนเหวินเก็บสายตาตนไว้ แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “น้องรอง กิริยาท่าทางของเจ้าห้านับวันยิ่งงามสง่าแล้ว”
“อย่างไรก็โตขึ้นอีกปีกแล้ว” นายท่านรองเป็นขุนนางอยู่นอกเมืองหลายปี เมื่อนางหลี่มีอุปนิสัยเช่นนั้น เขาจึงบุตรสาวฝาแฝดสองคนนี้ที่สุด
ยามนี้ได้เห็นบุตรสาวสองคน ผู้หนึ่งฉลาดสุขุม ผู้หนึ่งร่าเริงเปิดเผย เขาก็รู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก
“น้องรอง ข้าได้ยินว่าตระกูลหวังอยากจะแต่งเจ้าหกหรือ?” เจินเจี้ยนเหวินเอ่ยปากขึ้น
หากน้องรองยังมิกลับมา งานมงคลของหลานสาว เขาผู้เป็นลุงใหญ่ยังสามารถมีส่วนช่วยจัดการได้ แต่ยามนี้ ตำแหน่งขุนนางของน้องรองสูงกว่าเขาเสียอีก แม้นเขาจะมีฐานะเป็นผู้สืบทอด แต่ในสายตาคนทั่วเมืองหลวง ผู้สืบทอดจวนปั๋วมินับเป็นอันใดได้ หากมิเอ่ยถามก่อน คงต้องรอให้งานมงคลของหลานสาวทั้งสองถูกกำหนดแน่นอนเสียก่อนเขาจึงค่อยมาบอกตนแน่
“ใช่แล้ว” นายท่านรองพยักหน้า
เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวตนจะมีวาสนาเพียงนี้
นายท่านตระกูลหวังแม้นอายุมากแล้วแต่ยังคงเป็นศูนย์กลางของคนในตระกูล ทั้งเคร่งครัดกฎระเบียบในเรือน บุตรชายหลานชายในตระกูลหากจะแต่งอนุได้ก็ต่อเมื่ออายุครบสี่สิบแต่ไร้บุตรชายสืบทอดสกุลเท่านั้น
“เช่นนั้นเรื่องงานมงคลของเจ้าห้าเล่า? หากมิกำหนดเสียที จะมิเป็นการขวางกั้นอนาคตของเจ้าหกหรือ?”
เจินเจี้ยนเหวินถามออกไปด้วยท่าทีร้อนรนเล็กน้อย นายท่านรองกลับระบายยิ้มเบาบาง “พี่น้องกันแท้ๆ ไหนเลยจะมีคำว่าขวางอนาคตเล่า งานมงคลของอวี้เอ๋อร์หากเป็นไปได้นับว่ามีวาสนาต่อกัน หากเป็นไปมิได้ก็เป็นลิขิตสวรรค์แล้ว คงมิอาจรีบร้อนกำหนดงานมงคลของปิงเอ๋อร์อย่างขอไปทีเพียงเพราะงานมงคลของอวี้เอ๋อร์กระมัง สตรีออกเรือนเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจทำอย่างสะเพร่า หนุ่มน้อยตระกูลหวังผู้นั้นอายุแค่สิบห้าสิบหก หากเวลาเพียงเท่านี้เขามิอาจรอได้ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด ”
“แม้นจะกล่าวเช่นนี้แต่หากคู่หมายที่ดีเช่นนี้หลุดมือไปคงน่าเสียดายยิ่ง” เจินเจี้ยนเหวินกลับไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ในเมืองหลวงนั้นไม่ทราบมีสตรีมากมายเท่าใดที่อยากจะแต่งเข้า แต่น้องรองของเขากลับมีท่าทีนิ่งเฉยเสียจนคนเห็นแล้วอดร้อนใจแทนมิได้!
แต่เขาผู้เป็นพี่กลับมิเคยคาดเดาความคิดของน้องชายคนนี้ได้เลยมาตั้งแต่เล็กจนโตแล้ว!
เจินเจี้ยนเหวินจึงรีบเอ่ยไปตามตรงว่า “น้องรอง ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินขุนนางตระกูลเมิ่งกับน้องสะใภ้ไปมาหาสู่กันอย่างชิดใกล้ เป็นเพราะปรารถนาจะร่วมเกี่ยวดองกันหรือไม่?”
นายท่านรองผลิยิ้มบางเบา “พี่ใหญ่มิต้องกังวล ข้าได้กำชับนางหลี่แล้ว ตระกูลเมิ่งกับเรามิเหมาะเกี่ยวดองกัน”
เจินเจี้ยนเหวินหงุดหงิดขึ้นมา
เขากังวลอันใดเล่า!
จิ้งเอ๋อร์เป็นเพียงบุตรอนุ ทั้งยังเป็นเพียงอนุ คงมิสละทิ้งอนาคตอันสวยงามของจวนเพื่อนางหรอกกระมัง ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นทุกคนในจวนอาจตำหนิเขาก็เป็นได้!
“ไม่มีอันใดไม่เหมาะสมเสียหน่อย ข้าว่าตระกูลเมิ่งก็ไม่เลว น้องรอง ข้าว่า…”
“คุณชายน้อยตระกูลเมิ่งเป็นเพียงบุตรของอนุ แต่มารดาเขาเสียชีวิตทันทีหลังจากคลอดเขา เมิ่งฮูหยินจึงเลี้ยงเขาดั่งเป็นบุตรภรรยาเอก แต่เพราะตอนนั้นขุนนางเมิ่งรับราชการอยู่นอกเมือง คนในเมืองหลวงจึงไม่มีผู้ใดทราบเท่านั้น ” มิรอให้เจินเจี้ยนเหวินกล่าวจบ นายท่านรองก็เอ่ยตัดบทขึ้นมาก่อน
เจินเจี้ยนเหวินเบิกตากว้าง “เจ้าทราบได้อย่างไร?”
นายท่านรองยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไหว้วานให้สามีเจ้าสี่ช่วยสอบถามให้”
เขารู้จักอุปนิสัยพี่ใหญ่ดี หากบอกว่าเขาว่าเราอาจตกเข้าสู่อันตรายจากวังวนการแย่งชิงบัลลังก์ เขาย่อมต้องกล่าวว่านั้นเป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับเกียรติอันสูงส่ง และต้องพูดวาจาอีกมากมายที่ทำให้คนปวดเศียรเวียนเกล้า
หากต้องเป็นเช่นนั้นก็มิสู้ยกถึงฐานะอันไม่คู่ควรของคุณชายผู้นั้นขึ้นมากล่าวเสีย หากพี่ใหญ่ยังคงเอ่ยอันใดอีกก็แสดงว่าเขาไม่ใส่ใจต่อความรักของผู้เป็นน้องที่มีต่อบุตรสาวเลยสักนิด
จังหวะ โอกาส และการยืมกำลังนั้นเป็นข้อสำคัญของการปกป้องตระกูลมิให้ล่มสลาย
แต่พี่ใหญ่กลับคิดไม่ตกเสียที ท่ามกลางการแย่งชิงบัลลังก์นั้น ตระกูลเช่นพวกเขาแค่เพียงต้องรักษาความมั่นคงของตระกูลเอาไว้ให้ได้เป็นพอ มิใช่เข้าไปร่วมแย่งชิงกับเหล่าองค์ชายด้วย
เจินเจี้ยนเหวินไม่มีวาจาใดจะกล่าวแล้ว
หลานเขยคนที่สี่นั้นเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการแห่งหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน หากหน่วยองครักษ์จิ่นหลินคิดจะสืบเสาะประวัติของตระกูลใดนั้นมิใช่เรื่องยากเลย
หากเขายังเอ่ยอันใดอีกต่อไป เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคงเกิดช่องว่างขึ้นเป็นแน่
หากพี่น้องมิปรองดอง นั้นเป็นรากเหง้าแห่งความล่มจมของตระกูล มีหลายตระกูลที่ล่มสลายไปเพราะเกิดสงครามภายในขึ้น เหตุผลนี้เขาเข้าใจดี
ช่างเถิด
เจินเจี้ยนเหวินลอยถอนหายใจเสียงหนึ่งแล้วถามว่า “งานมงคลของเจ้าห้า น้องรองมีแผนไว้แล้วหรือ?”
“ตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา ข้าก็ติดต่อสหายร่วมงานเก่าแก่หลายคน เพื่อสอบถามดูว่ามีผู้ที่เหมาะสมหรือไม่อย่างไร”
“น้องรองมีแผนการในใจแล้วก็ดี” เมื่อไม่อาจบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เจินเจี้ยนเหวินก็หมดความสำราญจะดื่มสุรา จึงเอ่ยเพียงประโยคแล้วหันกายจากไป
ในงานวันเฉลิมพระชนมพรรษานั้นเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเพียงนั้นทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงคล้ายปกคลุมไปด้วยเมฆดำทะมึน บรรยากาศทุกอย่างจึงดูเงียบขรึม
ไม่ว่าจะเป็นการชมหิมะ งานเลี้ยงต่อบทกวีอันใดเทือกนั้นต่างก็ต้องหยุดชะงักลง การไปมาหาสู่ของแต่ละจวนก็ดูจะน้อยลงไปมาก
หลังจากวันนั้น แม้นชูสยาจวิ้นจู่จะบอกว่าฉงสี่เซี่ยนจู่แสร้งป่วย แต่เจินเมี่ยวก็ยังคงเขียนจดหมายแสดงความห่วงใยไปถึงนาง ยามนี้จึงได้รับจดหมายตอบกลับมาแล้ว จึงลงมือฝนหมึกและเขียนตอบจดหมายด้วยตนเองอย่างอารมณ์ดี
ครั้นเขียนเสร็จก็วางจดหมายไว้ด้านข้างรอให้หมึกแห้ง แล้วหยิบเทียบอีกฉบับขึ้นมาอ่าน
เทียบนี้มาจากนางเจียงจากจวนแม่ทัพโอวหยาง เนื้อความเขียนว่าเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้พบหน้ากัน แล้วบอกว่ารอให้อากาศอบอุ่นขึ้นอีกหน่อยค่อยออกไปชมทัศนียภาพด้วยกัน
เมื่อครั้งอยู่ที่เป่ยเหอ เจินเมี่ยวกับนางเจียงพักอยู่เรือนข้างเคียงกัน ทั้งกินข้าวร่วมกันอยู่หลายครั้ง ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองนั้นไม่เลวเลย นางจึงยกพู่กันเขียนจดหมายตอบไปในทันที
ท่าทีของนางซุนก็แสดงออกต่อจวนต่างๆ อย่างชัดเจนว่า อย่างน้อยก็ให้ผ่านปีนี้ไปก่อน แต่ละจวนควรเก็บหางอยู่อย่างเรียบง่ายเพื่อมิไปเผลอยั่วโทสะให้โอรสสวรรค์ที่พระอารมณ์มิใคร่สู้ดีนักกริ้วขึ้นมาจนตนเองต้องกลายเป็นผีเคราะห์ร้าย
เมื่อไม่มีการไปมาหาสู่ระหว่างจวนต่างๆ จวนกั๋วกงที่มีสะใภ้สามคนและหลานสะใภ้อีกหนึ่งคนคอยดูแลจัดการจวนนั้นจึงมิใคร่ยุ่งนัก เมื่อเจินเมี่ยวทำหน้าที่ของตนเสร็จนางก็มักรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นพิเศษ
เมื่อว่างนางก็อดที่จะคิดถึงเรื่องกินมิได้
หิมะตกมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา อากาศเย็นเยียบ เหมาะจะล้อมวงกินหม้อไฟมากที่สุดเลย
การกินหม้อไฟนั้นคนยิ่งมากเท่าใดก็ยิ่งสนุก แต่น่าเสียดายที่หลัวเทียนเฉิงแทบจะไม่กลับจวนเลย ครั้นหากนางจะเชิญเจินเหยียนแต่ไม่เชิญเจินหนิงก็อาจเกิดข้อครหาได้ แต่หากเชิญเจินหนิง เจินเมี่ยวก็รู้สึกอึดอัดใจ จึงเรียกสาวใช้ตั้งแต่ขั้นสามขึ้นไปมาหาและเริ่มลงมือทำ
หม้อทองแดงมันวาว ตรงกลางมีแผ่นทองแดงกั้นไว้ ครึ่งหนึ่งเป็นน้ำแกงสีขาวรสชาติเข้มข้น อีกด้านเป็นน้ำแกงสีแดงมันวาว ทั้งสองฝั่งมีไอร้อนพวยพุ่งขึ้นไม่หยุด
เนื้อบางดุจปีกจักจั่นกำลังกลิ้งไปมาในน้ำแกงที่เดือดปุด มันเปลี่ยนสีไปในทันใด เจินเมี่ยวมิได้สาวใช้มาช่วย นางรีบตักขึ้นจุ่มน้ำจิ้มที่ผสมด้วยเต้าหู้ยี้ จือหมาเจี้ยง ถั่วลิสงทุบ ผักชีและกระเทียมดอง แล้วลงมือกิน
เมื่อเคี้ยวเสร็จก็ทอดถอนใจด้วยความพอใจ แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “กินหม้อไฟ ต้องทำด้วยตนเองจึงจะอร่อย อย่ามัวแต่ยืนอยู่เลย พวกเจ้าก็มากินด้วยกันเถิด”
หม้อทองแดงนั้น นางสั่งให้คนทำไว้สามใบ ตอนนี้ก็ได้ใช้ทุกใบแล้ว
สาวขั้นสามใช้หม้อหนึ่ง สาวใช้ขั้นสองใช้หม้อหนึ่ง จื่อซูและไป๋เสาเพียงสองคนที่เป็นสาวใช้ขั้นหนึ่ง นางจึงเรียกให้มากินด้วยกัน
แต่น่าเสียดายที่จื่อซูและไป๋เสากลับยกถ้วยวิ่งไปหาอาหลวนเสียแล้ว “ต้าไหน่ไหน่ เรากินที่นี้ดีกว่าเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็มิอยากบังคับ
ที่นางกินหม้อไฟก็เพื่อความสำราญใจ หากพวกนางต้องมากินหม้อเดียวกันตนแล้วรู้สึกอึดอัด เช่นนั้นไหนเลยจะรับรู้รสชาติอันโอชะของอาหารได้เล่า กลับกันคงไม่อร่อยยิ่งเป็นแน่
น่าเสียดายที่นางต้องกินคนเดียว มันออกจะเหงาไม่น้อย
เจินเมี่ยวชำเลืองมองแผ่นเนื้อที่วางทับกันเป็นกองพะเนินก็อดเอ่ยถามออกไปมิได้ว่า “วันนี้ซื่อจื่อก็มิกลับจวนอีกหรือ?”
ทำเสียอร่อย แต่คู่หูกลับไม่อยู่ร่วมกิน
นางกล่าวจบ ทั่วทั้งห้องก็พลันเงียบลงทันใด อากาศหนาวเย็นมุดเข้ามาภายในวูบหนึ่ง
บรรดาสาวใช้ที่กำลังกินกันอย่างครึกครื้นต่างลุกขึ้นทำความเคารพ “ซื่อจื่อ”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มอ่อนโยน แล้วชี้ไปที่หม้อทองแดงตรงหน้าเจินเมี่ยว “ย้ายหม้อนั้นไปในห้อง พวกเจ้ากินกันต่อเถิด”
จื่อซูคอยกำกับให้สาวใช้สองสามคนยกหม้อไฟและถาดเนื้อ ผักเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง แล้วกลับไปที่ห้องอาหาร
“”นี่คือหม้อไฟที่เจ้าเคยพูดถึง?
“ใช่ เดิมคิดว่าเมื่อถึงเหมันต์จะชวนให้พวกพี่ใหญ่มากินด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น จึงมิอาจไปไหนมาไหนได้ตามใจ”
“พี่ใหญ่?” หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้ว “และญาติผู้พี่ด้วยใช่หรือไม่?”
ครั้นเขาเลิกคิ้ว เจินเมี่ยวจึงเห็นว่ามีเกล็ดหิมะเกาะอยู่ตามคิ้วรูปดาบของเขาอยู่ นางรีบดึงผ้าเช็ดหน้าออกมา เขย่งเท้าขึ้นเช็ดให้เขา พลางทำปากยื่นเอ่ยว่า “ก็เคยพูดไว้เมื่อคราก่อน แต่วางใจได้ ญาติผู้พี่ข้าร่างกายอ่อนแอ กินได้ไม่มากนักหรอก”
หลัวเทียนเฉิงอดยกมุมปากขึ้นมิได้
ร่างกายอ่อนแอ?
ที่แท้อาซื่อก็มองญาติผู้พี่ของนางเช่นนี้นี่เองหรือ?
อืม คำบรรยายนี้นั้นดีไม่น้อย
เจินเมี่ยวพูดขึ้นอีกหนึ่งประโยคว่า “จิ่นหมิง ท่านวางใจเถิด อย่างมากข้าก็แค่เตรียมวัวสักตัวไว้ อย่างไรก็พอให้ท่านกินแน่”
หลัวเทียนเฉิง “…”