หวังเฟยผลิยิ้มเบาบาง ตามด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย
บุตรสาวผู้นี้ของนางแต่งออกไปยังดินแดนหมานเว่ย ชีวิตนี้ยากจะได้พบเจออีก
“หวังเฟย เห็นพวกเจ้าสนุกสนานกลมเกลียวประหนึ่งเป็นคนครอบครัวเดียวกันก็มิปาน”
หวังเฟยได้ยินก็หันไปมองตามเสียงจึงเห็นจ้าวหวงโฮ่วที่สวมอาภรณ์สีแดงทั้งร่างเดินเข้ามา
ด้านหลังของนางยังมีพระสนมและพระชายาขอองค์ชายทั้งหลายตามมารวมถึงองค์หญิงน้อยๆ ด้วย
หวังเฟยลุกขึ้นถวายพระพร
คนภายในตำหนักต่างก็ลุกขึ้นถวายพระพรกันถ้วนหน้า
หวงโฮ่วแม้นไร้มิได้รับความโปรดปรานทั้งไร้ทายาท แต่ยังสามารถอยู่ในตำแหน่งหวงโฮ่วอย่างมั่นคงได้ ผู้ที่อยู่ในนี้ต่างมิใช่คนโง่แล้วจะมิแสดงความเคารพได้อย่างไร
จ้าวหวงโฮ่วยกมือขึ้นแสดงเป็นนัยว่ามิต้องมากพิธี นางเพียงเอ่ยสองสามประโยคก็ชวนให้หวังเฟยมานั่งด้วย
หย่งอ๋องเป็นน้องชายแท้ๆ ของเจาเฟิงตี้ ฐานะจึงแตกต่างจากอ๋องทั่วไป หวงโฮ่วให้ความสนิทสนมกับพระชายาของหย่งอ๋องย่อมเป็นเรื่องปกติ
บรรยากาศภายในตำหนักกลับมาครึกครื้นอีกครา คนทั้งหลายต่างจับกลุ่มสนทนากัน แต่จิตใจยังคงแบ่งมาคอยสังเกตจ้าวหวงโฮ่วและหวังเฟยอยู่
“เมื่อครู่พูดจาเย้าหยอกอันใดกันหรือ หวังเฟยถึงได้เบิกบานเพียงนั้น?” นัยน์ตางดงามของจ้าวหวงโฮ่วมองไปยังเจินเมี่ยวแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เจินเมี่ยวลอบพิจารณาจ้าวหวงโฮ่วคราหนึ่ง
จ้าวหวงโฮ่วในความทรงจำของนางนั้นเป็นผู้มีอุปนิสัยตรงไปตรงมา อดีตเคยถูกเจี่ยงกุ้ยเฟยกดข่มไว้จนมิอาจเงยหน้าขึ้นได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเวลาเพียงปีกว่า กลับเปลี่ยนไปไม่น้อย โดยเฉพาะวันนี้ อาภรณ์หรูหราสีแดงนี้ยิ่งขับให้ผิวพรรณผุดผ่องราวหิมะก็มิปาน ไม่ดูแก่ชราลงเลยสักนิด
เมื่อคิดได้เช่นนี้สายตาก็ร่วงตกไปยังร่างของอู๋กุ้ยเฟยที่กำลังเป็นที่โปรดปรานอยู่ในขณะนี้
อู๋กุ้ยเฟยอยู่ในวัยสาวสะพรั่งแต่เมื่อดูลักษณะท่าทางแล้วกลับไม่มีราศีเท่าจ้าวหวงโฮ่วด้วยซ้ำ ไม่ทราบว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่
เจินเมี่ยวย่อมไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว นางจึงลอบเบนสายตาไปทางอื่น
เวลานี้เองที่หวังเฟยได้เล่าเรื่องที่พูดหยอกล้อกันจบพอดี เพราะสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างให้ความสนใจเรื่องที่นางพูดจึงได้ยินเรื่องราวทั้งหมดเช่นกัน พลันเสียงหัวเราะอันสดใสก็ดังขึ้นพร้อมกันในทันใด
พวกนางมิได้ชมชอบอุปนิสัยอันตรงไปตรงมาทั้งซุกซนอยู่บ้างของชูสยาจวิ้นจู่จริงๆ แต่เพราะอีกฝ่ายมีฐานะเป็นองค์หญิง ทั้งยังต้องอภิเษกเพื่อความสมานฉันท์ นับเป็นบุคคลที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับต้าโจว ในพระทัยจักรพรรดิจักต้องรักเอ็นดูนางมากแน่ จึงไม่มีผู้ใดกล้าต่อว่าต่อขานก็เท่านั้น
จ้าวหวงโฮ่วเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างเบิกบานแล้วเอ่ยอย่างนึกสนุกว่า “น่าเสียดายที่เป็นสตรีจึงมิอาจแต่งกับชูสยาได้”
สายตาหวังเฟยกวาดมองไปยังเจินเมี่ยวและชูสยาจวิ้นจู่ แล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันกลับคิดว่า พวกนางสองคนมีวาสนาเช่นนี้ต่อกันนั้นไม่ง่ายเลย หากสามารถเป็นพี่น้องกันได้ หม่อมฉันก็จะมีบุตรสาวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน กลับเป็นเรื่องที่ดียิ่งเพคะ”
เมื่อวาจานี้กล่าวออกไป ผู้คนที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสทั้งหลายกลับพลันชะงักงันไป แม้นเข็มตกร่วงลงพื้นก็ยังได้ยิน ผู้คนทั้งหลายต่างคิดกันไปต่างๆ นานา
อันใดกัน พระชายาของหย่งอ๋องคิดจะรับฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นบุตรบุญธรรมหรือ?
นี่เป็นวาจาที่เอ่ยตอบออกมาจริงๆ หรือ?
มีเพียงคนจำนวนน้อยที่มิใคร่ฉลาดนักเท่านั้นที่เข้าใจเช่นนี้ แต่คนส่วนมากต่างก็ส่ายหน้ากันอยู่ในใจ
เชื้อพระวงศ์คิดจะรับบุตรบุญธรรม…เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ไม่มีทางที่จะเอ่ยออกไปตามใจอยากแน่
ควรต้องทราบว่าหากพระชายาหย่งอ๋องรับฮูหยินผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นบุตรบุญธรรม เช่นนั้นแม้นนางจะมิได้ถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ แต่ก็อาจได้รับแต่งตั้งให้เป็นเซี่ยนจู่ ตั้งแต่นี้ต่อไปหากเข้าวังก็มิจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนอันใดมากมายแล้ว
สตรีสูงศักดิ์ทั่วไปแม้นจะมีขั้นบรรดาศักดิ์สูงส่งเท่าใด หากมิใช่ไท่โฮ่ว หวงโฮ่วรับสั่งให้เข้าเฝ้าก็มิอาจเข้าวังได้
ภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบและแปลกประหลาดนี้ จ้าวหวงโฮ่วกลับเอ่ยขึ้นว่า “หวังเฟย วาจานี้ของท่านไม่ถูกนัก ยามนี้ชูสยาเป็นองค์หญิง หากพวกนางผูกสัมพันธ์เป็นพี่น้องกันจริง เช่นนั้นย่อมเป็นข้าที่จะมีบุตรสาวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน”
วาจานี้กลับยิ่งทำให้คนทั้งหลายแตกตื่นขึ้นไปอีก
เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นอย่างน่ารักน่าเอ็นดู แล้วกะพริบตาปริบๆ
เกิดอันใดกันขึ้นกันแน่?
เหตุใดนางจึงรู้สึกคล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้องกระนั้น
หวังเฟยพลันระบายยิ้มออกมา “หวงโฮ่วช่างรู้จักเย้าเล่นนัก หลังจากชูสยาแต่งออกไปแดนไกล หม่อมฉันก็คงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว พระองค์ยังจะมาแย่งบุตรสาวของหม่อมฉันไปอีกหรือเพคะ?”
“ท่านเห็นเป็นจริงเช่นนั้นหรือ?” จ้าวหวงโฮ่วเอ่ยขึ้น
คนทั้งหลายต่างแทบล้มคว่ำ
หวงโฮ่ว..เรื่องเช่นนี้นำมาล้อเล่นได้หรือ?
จ้าวหวงโฮ่วกลับซ่อนกลบความหมายอันล้ำลึกในดวงตาตนไว้
แม้นนางจะมีอุปนิสัยตรงไปตรงมา แต่อย่างไรก็เป็นหวงโฮ่วมานานแล้ว ไหนเลยจะไม่ทราบพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ
ฝ่าบาททรงคิดจะปูนบำเหน็จแก่นางเจินนานแล้ว แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใด ไท่โฮ่วกลับคล้ายมิใคร่พอพระทัยนัก
ฝ่าบาททรงกตัญญูจึงมิคิดขัดพระทัยไท่โฮ่ว แต่คิดจะตอบแทนนางในด้านอื่นแทน พระองค์ทรงเอ่ยกับนางอยู่หลายคราว่าชูและนางเจินมีความผูกพันลึกซึ้งไม่เหมือนสหายทั่วไปแต่กลับคล้ายพี่น้องกันมากกว่า
ตำแหน่งหวงโฮ่วของนางมิใช่ได้มาเพราะโชคช่วย ไหนเลยจะมิเข้าใจพระประสงค์ของฝ่าบาทเล่า
พระชายาหย่งอ๋องมีบุตรสาวเพียงคนเดียวแต่กลับต้องแต่งไปอยู่ดินแดนหมานเว่ย นางย่อมว้าเหว่ยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นฝ่าบาทหรือไท่โฮ่วล้วนรู้สึกผิดอยู่ในใจไม่น้อย
นางเจินมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตชูสยา หากหวังเฟยรับนางเป็นบุตรบุญธรรม ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจกลั่นแกล้งนางได้ ต่อให้เป็นไท่โฮ่วก็ยากที่จะคัดค้าน
นางเจตนาเอ่ยเย้าว่าคนทั้งสามคล้ายเป็นครอบครัวเดียวกัน หวังเฟยกลับตอบรับอย่างรู้เจตนา เอ่ยตามคำนางว่าจะรับบุตรบุญธรรม
“ชูสยา เจ้ายินดีหรือไม่?” หวังเฟยมองชูสยาด้วยความรักใคร่
ชูสยาจวิ้นจู่รู้สึกได้ถึงสายตาทุกคู่ที่มองมายังนาง จึงเสไปมองอีกทางแล้วเอ่ยว่า “ดีก็ดีอยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่คุณหนูสี่อายุมากกว่าข้า ช่างน่าโมโหนัก”
หวังเฟยจึงหันไปหาเจินเมี่ยว “คุณหนูสี่ เจ้ายินดีมีแม่เพิ่มขึ้นมาอีกคนหรือไม่?”
เจินเมี่ยวยังคงตกอยู่ในความตกใจ นางใช้สติปัญญาที่มีอันน้อยนิดครุ่นคิดอย่างเร็วรี่ ในที่สุดก็เข้าใจความหมายทุกอย่าง
นางยังมิเคยลงเล่นแผนการแย่งชิงภายในจวนด้วยซ้ำ แต่กลับต้องยกระดับไปต่อสู้ภายในวังแทนแล้วหรือ?
หากนางยอมรับหวังเฟยเป็นมารดาบุญธรรม นางก็จะกลายเป็นบุตรสาวของหย่งอ๋อง
หย่งอ๋องเป็นน้องชายแท้ๆ ของจักรพรรดิ เป็นบุตรชายแท้ๆ ของไท่โฮ่ว
ฐานันดรของหย่งอ๋องนั้นสูงส่งยิ่ง ทั้งยังเป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวยยิ่ง!
ผู้มั่งคั่งทั้งยังมีฐานันดรศักดิ์สูงส่งอีกและไม่มีจิตใจทะเยอทะยานคิดแย่งชิงอำนาจ ผู้ได้มิอยากพบเจอบ้าง
หากได้เป็นบุตรสาวของผู้มั่งคั่งทั้งมีฐานันดรศักดิ์สูงส่งอีกก็ดูเหมือนจะดีไม่น้อย
เช่นว่าเมื่อบุตรสาวถูกบ้านสามีรังแก หรือสามีรักใคร่อนุ หากเป็นบิดาที่เคร่งครัดในธรรมเนียม ก็อาจจะสั่งสอนบุตรสาวเป็นการใหญ่ แต่หากบิดาเป็นผู้มั่งคั่งทั้งมีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง หึๆ เกรงว่าคงได้ยกเกี้ยวไปรับถึงหน้าประตู ทั้งผู้อื่นยังมิอาจทำอันใดเขาได้อีก!
บิดามารดาบุญธรรมเช่นนี้ นางยินดียิ่ง
เจินเมี่ยวเข้าใจในจุดนี้แล้วก็พยักหน้าทันที
คนบางคนที่อยู่ในตำหนักหลวงกลับหนังตากระตุกขึ้นมา จึงได้แต่ลูบคลำคางตน
เขามีความรู้สึกว่ามีสัญญาณไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น มันคืออันใดกันแน่?
ความครึกครื้นภายในตำหนักในเริ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากเจินเมี่ยวพยักหน้ารับ เสียงแสดงความยินดีดังขึ้นเป็นระลอกคลื่น
หวังเฟยจูงมือบุตรสาวที่งดงามประหนึ่งบุปผา แล้วมองเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ที่มาช้าไปเพียงหนึ่งก้าว พลันเกิดความรู้สึกชอบขึ้นมาจริงๆ
นางยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยไปเป็นแขกที่วังองค์หญิง เจาอวิ๋นจั่งกงจู่รับรองนางอย่างดีด้วยบะหมี่ที่มีสีถึงห้าสี เรียกว่าบะหมี่สีรุ้ง
มิต้องเอ่ยถึงรสชาติเพียงเห็นแค่สีก็ทำให้คนรู้สึกเบิกบานใจแล้ว
เมื่อสอบถามดูจึงรู้ว่าเป็นฝีมือของฉงสี่เซี่ยนจู่ที่ทำให้มารดาด้วยใจกตัญญู ได้ยินมาว่าคุณหนูสี่สกุลเจินเป็นผู้สอนให้
ตอนนั้นนางยังจำได้ดีถึงความภาคภูมิใจที่มิอาจปิดบังเอาไว้ได้ของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ แต่ยามนี้อาจารย์ผู้สอนฉงสี่ทำบะหมี่ได้กลายมาเป็นบุตรสาวของนางแล้ว ต่อไปอยากจะกินสีอันใดเมื่อไหร่ก็ได้ ดูเอาเถิดว่าผู้ใดควรจะภาคภูมิใจกว่า
“เสด็จพี่ เหตุใดจึงมิเห็นฉงสี่เล่า?” จ้าวหวงโฮ่วเอ่ยถาม
“ฉงสี่มิใคร่สบายนัก จึงมิให้นางออกมาด้วย” เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ผลิยิ้มจางๆ แต่บนใบหน้ากลับมีเค้าของความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบุตรสาวผู้นี้จะคิดหนีงานแต่งงานจริงๆ!
บุตรสาวผู้นี้ของนางมีอุปนิสัยฉลาดเฉียบแหลมแต่สงบนิ่งเฉยชา ที่ผ่านนางรู้สึกภูมิใจมาตลอด แต่ยามนี้ถึงได้รู้ว่าน่าปวดหัวเพียงใด
หากโง่เขลาสักนิดนางก็แค่กักบริเวณไว้ แต่ฉงสี่เป็นเช่นนี้ แม้แต่นางผู้เป็นมารดายังไม่ทราบว่านางคิดจะทำอันใดที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมาโดยที่หน้าไม่แม้จะเปลี่ยนสีด้วยซ้ำ
เมื่อมิให้เกิดเหตุการณ์อันยากจะแก้ไข มารดาและบุตรต่างพูดคุยกันอย่างเปิดเผย สุดท้ายจึงรับปากกับนางว่าจะมิจัดแจงงานมงคลให้นางในตอนนี้ชั่วคราว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว งานวันนี้จึงมิพาฉงสี่มาด้วย คนทั้งหลายจะได้มิคิดไปไกลถึงเรื่องหมั้นหมาย เกี่ยวดองอันใดนั้นอีก
เมื่อผู้อาวุโสทั้งหลายมารวมตัวพูดคุยกัน ชูสยาจวิ้นจู่จึงจูงมือเจินเมี่ยวไปนั่งอีกมุมหนึ่ง คนทั้งสองกินขนมด้วยกัน
“เซี่ยนจู่ป่วยหรือ?” เจินเมี่ยวกินขนมไปคำหนึ่งก็ชะงักไป
แหะๆๆ ฉงสี่เซี่ยนจู่คงมิหลบหนีไปแล้วกระมัง?
“มิได้ป่วย” ชูสยาจวิ้นจู่ยัดขนมเข้าปากอย่างไม่อินังขังขอบ
“ห๊ะ?”
ชูสยาจวิ้นจู่เอ่ยท่าทีมีลับลมว่า “ความคิดนั้นของนาง เจ้ารู้แล้วกระมัง?”
“ท่านก็ทราบหรือ?”
“นางยังคิดว่าภายหน้าจะมาขอพึ่งข้าด้วยซ้ำ ” ชูสยาจวิ้นจู่กินขนมไปอีกคำหนึ่งอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
เจินเมี่ยวกุมขมับ “เช่นนั้นเรื่องของท่าน นางก็ทราบหรือ?”
“ไม่” ชูสยาจวิ้นจู่ส่ายหน้า
เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจโล่งอก
ทุกคราที่คิดว่าท่านลุงรองของนางคือพระเองก็รู้สึกแปลกๆ ทุกที
“ยังมิทันได้บอก”
เจินเมี่ยว “…”
“พี่ชูสยา ท่านยังอยู่ที่นี่อีก” เสียงอันสดใสดังขึ้น
คนทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองก็พบองค์หญิงฟังโหรวที่มิได้พบกันเสียนานยืนกอดอกอยู่พลางก้มลงมองพวกนาง
ตั้งแต่ที่องค์หญิงฟังโหรวก่อเรื่องไปเมื่อปีที่แล้วก็มิได้เปลี่ยนแปลงอันใดเลย แต่ถูกกักบริเวณให้เรียนรู้กฎระเบียบอยู่ภายในวังและมิให้ออกจากวังอีก
เจินเมี่ยวย่อมไม่มีโอกาสได้พบเลย ยามนี้จึงรู้สึกว่าองค์หญิงพระองค์นี้สูงขึ้นอีกสักหน่อยแล้ว ท่าทีปั้นปึ่งที่มีก็ลดลงไปมาก แต่ความเกลียดชังที่มีขณะมองนางกลับยังคงมากมายเช่นเดิม
“ไปเถิด เสด็จพี่ทั้งหลายเรียกท่านไปเพื่อปรึกษาเรื่องงานเลี้ยงฉลองในคืนนี้สักหน่อย”
งานเฉลิมฉลองพระชนมพรรษานี้ จักรพรรดิทรงเชิญขุนนางมาร่วมยินดี ไม่ว่าจะเป็นสนมหรือองค์หญิงก็ไม่มีโอกาสได้เห็น แต่ก็มีงานภายในต่างหากอีกที่พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหมดต้องเข้าร่วม
หากเจินเมี่ยวเป็นบุตรบุญธรรมของหย่งอ๋องอย่างเป็นทางการเมื่อใดก็มีสิทธิ์ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้เช่นกัน แต่ตอนนี้ยังคงเป็นกล่าวกันเพียงปากเปล่า ย่อมไม่มีทางได้ปรากฏตัวในงานแน่
ชูสยาจวิ้นจู่ทราบเรื่องนี้ดี จึงอดมองมาที่เจินเมี่ยวมิได้
เจินเมี่ยวกลับผลักนางคราหนึ่ง “องค์หญิงทรงไปเถิดเพคะ” แล้วกะพริบตาปริบๆ ให้นางช้าๆ
หากนางกลายเป็นบุตรของหย่งอ๋องอย่างเป็นทางการเมื่อใด ต่อไปหากอยากพบชูสยาก็สะดวกยิ่ง
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ชูสยาผู้มีฐานะเป็นองค์หญิง ย่อมมิอาจแยกตัวมาคลุกคลีกับนางเพียงลำพังโดยไม่สนใจคำเชิญของบรรดาองค์หญิงเหล่านั้นมิได้
องค์หญิงฟังโหรวยิ้มอย่างภูมิใจ แล้วจูงมือชูสยาจากไป
เจินเมี่ยวจึงมีโอกาสไปหานางเจี่ยง ป้าสะใภ้ใหญ่ของนาง
นางเจี่ยงที่นิ่งขรึมเสมอมากลับปรี่เข้าไปกุมมือเจินเมี่ยวไว้อย่างมิอาจข่มกลั้นอาการตื่นเต้น
สตรีที่สามารถเข้าวังในครานี้นอกจากฮูหยินของผู้มีบรรดาศักดิ์ กง โหว ปั๋วแล้วก็มีภรรยาของขุนนางขั้นสี่ขึ้นไป ดังนั้นการที่นางหลี่จะนั่งอยู่ด้านข้างของนางเจี่ยงก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด
นางหลี่เห็นเจินเมี่ยว ใบหน้าก็เปลี่ยนไปหลากสียิ่ แต่สุดท้ายก็ยังคงส่งยิ้มให้นาง
เวลานี้จึงมีฮูหยินผู้หนึ่งเดินเข้ามาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น้องหลี่ ข้ากำลังหาเจ้าอยู่พอดี เอ๊ะ ครั้นได้มามองใกล้ๆ จึงเห็นว่าฮูหยินของนายท่านผู้สืบทอดงดงามยิ่งแล้ว”