วาสนาบันดาลรัก 228

ตอนที่ 228

“สาวใช้คนใด?” เจินเหยียนรู้สึกแปลกใจขึ้นมา

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากำเนิดมาจากตระกูลยากจน เมื่อมาอยู่ในตำแหน่งเช่นทุกวันนี้จึงเคร่งครัดในเรื่องกฎระเบียบยิ่ง ด้วยกลัวว่าหากทำอันไม่เหมาะสมจะถูกผู้คนครหา

 

 

สาวใช้ในห้องของนางยังระมัดระวังกริยา แม้กล้าแม้แต่จะหายใจแรงมากกว่าสาวใช้ของท่านย่าเสียอีก

 

 

เจินเหยียนหมายถึงย่าแท้ๆ ของนาง…ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนเจี้ยนอานปั๋ว

 

 

ย่าของนางกำเนิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง เมื่ออายุมากขึ้นก็ยิ่งมีเมตตา ต่างเห็นสาวใช้ในเรือนเป็นหลังหลานสาวก็มิปาน

 

 

เจินเมี่ยวครุ่นคิดคราหนึ่งจึงเอ่ยบรรยายลักษณะว่า “อายุราวสิบหกสิบเจ็ด ดวงตาเม็ดซิ่งฉ่ำวาว ดูมีน้ำมีนวลยิ่ง”

 

 

เจินเหยียนมีสีหน้าประหลาดใจ “น้องสี่ เจ้าตกรางวัลให้นางหรือ?”

 

 

“ใช่ นางยกชาให้ข้า ท่าทีขันแข็ง ข้าคิดว่ามิควรมากวางท่าใหญ่โตจึงมอบปิ่นให้นางเป็นรางวัล”

 

 

เจินเหยียนจ้องมองเจินเมี่ยวอย่างตกตะลึงอยู่นาน จู่ๆก็ หัวเราะออกมา “น้องสี่ เจ้าช่างเป็นน้องที่ดีเหลือเกิน”

 

 

เจินเมี่ยวงุนงงกับเสียงหัวเราะนั้นยิ่ง

 

 

เจินเหยียนจึงอธิบายว่า “นั้นเป็นญาติผู้น้องของพี่เขยเจ้าต่างหาก”

 

 

“อันใดกัน?” เจินเมี่ยวเบิกตาอย่างตกตะลึง “มิใช่กระมัง ตอนที่ข้าเข้าห้องไปก็เห็นนางกำลังนวดขาให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ ทั้งยังนวดอย่างชำนิชำนาญอีกด้วย”

 

 

มุมปากของเจินเหยียนแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน “นวดอยู่ทุกวัน จะมิให้ชำนาญได้อย่างไร หากมิทำเช่นนี้ นางจะได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไรเล่า”

 

 

เจินเมี่ยวจึงเริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา “พี่รอง ท่านไม่ชอบนางหรือ? นางเป็นญาติผู้น้องฝั่งมารดาหรือฝั่งบิดา?”

 

 

เจินเหยียนเบ้ริมฝีปาก “ฝั่งไหนก็มิอาจนับได้ ย่าของนางเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฮูหยินผู้เฒ่า ครั้นตกมาถึงรุ่นของนางก็นับว่าเป็นญาติที่ห่างไกลกับจวนรองเสนาบดีนับสามพันลี้แล้ว”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากำเนิดจากตระกูลยากจน ญาติพี่น้องล้วนแต่งให้กับชาวนา กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่ามีฐานะขึ้นมาก็คิดถึงบรรดาพี่น้องจึงคอยช่วยเหลือญาติพี่น้องมาตลอด

 

 

นานวันเข้า ญาติพี่น้องเหล่านั้นก็เริ่มมีที่ทางเป็นของตนขึ้นมาบ้าง

 

 

สตรีผู้นั้นเป็นบุตรสาวคนโตของบุตรชายคนเล็กซึ่งเป็นญาติผู้พี่ของฮูหยินผู้เฒ่า

 

 

เมื่อได้ฟังเจินเหยียนอธิบาย เจินเมี่ยวก็ยิ่งแปลกใจ “เป็นญาติที่ห่างกันถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดจึงมาพำนักที่จวนรองเสนาบดีได้เล่า?”

 

 

เจินเหยียนยิ้มเยาะ “ญาติผู้น้องผู้นี้ไร้มารดาตั้งแต่แบเบาะ ย่าของนางเป็นผู้เลี้ยงดู ต่อมาทราบว่าตนไม่ไหวแล้วจึงห่วงว่าหลานสาวจะถูกแม่เลี้ยงรังแกจึงวางแผนอนาคตให้กับนางโดยการฝากฮูหยินผู้เฒ่ามาเลี้ยงดู โบราณกล่าวกันว่าร่ำรวยมั่งคั่งมิตอบแทนบ้านเกิดนั้นเปรียบดั่งการสวมใส่ผ้าแพรพรรณเดินเล่นในยามค่ำคืน (ไม่มีผู้ใดเห็น) ฮูหยินผู้เฒ่าชมชอบกระทำเรื่องเช่นนี้เป็นที่สุด”

 

 

เจินเหยียนพูดพลางยกน้ำผสมน้ำผึ้งขึ้นมาดื่ม แล้วเอ่ยด้วยความแค้นเคืองว่า “น้องสี่ทราบหรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงตกเลือด? ตอนที่พวกเจ้าเกิดเรื่อง ทุกคนต่างปิดข้าไว้ แต่สตรีชั่วช้าผู้นั้นก็มาพูดคุย แสร้งทำเป็นเผลอพูดออกมา ข้ารู้ว่านางเจตนาแต่อดร้อนใจไม่ได้”

 

 

เดิมสตรีมีครรภ์ก็อ่อนไหวและกังวลง่าย ไหนเลยจะทนรับการกระทบกระเทือนจิตใจเช่นนี้ได้

 

 

เดิมเจินเหยียนไม่คิดจะพูดเรื่องนี้กับเจินเมี่ยว แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่ายามนี้น้องสาวเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอด เรื่องวุ่นวายในเรือนหลังย่อมมิน้อยไม่กว่านางแน่ การแสร้งว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้นมิสู้ให้นางรับรู้มาสักหน่อย ต่อไปจะได้รู้ทันแผนการคนมากขึ้น

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” เจินเมี่ยวได้ยินก็กัดริมฝีปากแน่น “หากรู้เช่นนี้แต่แรกข้าคงมิให้ปิ่นนางเป็นรางวัลแน่ สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ”

 

 

เจินเหยียนหัวเราะพรวดออกมา “ไม่ น้องสาวเจ้าทำได้ดีแล้ว ตอนนี้นางคงรู้สึกเสียหน้ายิ่ง คงต้องสงบเสงี่ยมไปอีกหลายวันเลยทีเดียว”

 

 

“พี่รอง เหตุใดนางจึงต้องทำร้ายพี่ด้วย หรือ…นางชอบพี่เขย?”

 

 

เจินเมี่ยวมิได้โง่เขลา เมื่อพิจารณาสักหน่อยก็เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นเช่นใดแล้ว

 

 

สตรีที่อาศัยพึ่งพิงผู้อื่นเช่นนี้ เหตุใดจึงกล้าทำร้ายผู้อื่นและทำเรื่องที่ไม่ผลดีต่อตนเองเล่า!

 

 

“หรือ…หรือนางคิดจะเป็นอนุของพี่เขย?”

 

 

เจินเหยียนแค่นยิ้มเย็น “เป็นอนุ? เจ้าดูเบานางเกินไปแล้ว หากข้าเป็นอันใดไป นางมีฮูหยินผู้เฒ่าคอยค้ำจุน ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นภรรยาใหม่ก็ได้ แต่หากมิเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยหากข้าสุขภาพไม่ดีมิอาจปรนนิบัติพี่เขยเจ้าได้ จนนางต้องลดตัวมาเป็นอนุก็คงยินยอมได้ ”

 

 

เจินเมี่ยวฟังแล้วก็มีโทสะขึ้นมา

 

 

นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจวนรองเสนาบดีจะมีเรื่องเลวร้ายที่ทำให้จิตใจย่ำแย่มากมายเพียงนี้

 

 

ญาติผู้น้องที่แทบไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันเลยกลับกล้าทำร้ายพี่สาวนาง!

 

 

เจินเหยียนกระตุกแขนเสื้อเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “นั่งลงเถิด ต่างออกเรือนกันหมดแล้วยังมิรู้จักเก็บอาการอีก ข้าถามเจ้าบ้าง สาวใช้ทงฝังพวกนั้น เจ้าปฏิบัติต่อพวกนางอย่างไรบ้าง คงมิตบตีด่าว่าตามอารมณ์กระมัง? แม้นสาวใช้ทงฝังจะมินับเป็นอันใดได้ แต่การทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาเพราะของพวกนางก็มิคุ้มค่าเลยสักนิด”

 

 

“ไม่มีอันใด” เจินเมี่ยวส่ายศีรษะ “ข้าไม่พูดกับพวกนางด้วยซ้ำ”

 

 

“ไม่พูด? เช่นนั้นมิได้ ให้พวกนางคิดว่าเจ้าเป็นคนโง่เขลามิรู้จักพูดจา เช่นนั้นก็ยิ่งต่อปากต่อคำกับเจ้า”

 

 

“มิใช่ เป็นซื่อจื่อเองที่ให้พวกนางคอยอยู่แต่ในเรือนฝั่งตะวันตกอย่างเงียบๆ อย่าได้ออกมาเพ่นพ่านให้รำคาญสายตา”

 

 

เจินเหยียนที่กำลังเตรียมจะอบรมน้องสาวอีกคำรบก็ได้แต่ลอบกล้ำกลืนโลหิตลงคอไป

 

 

น้องสาวผู้นี้…คนโง่งมก็มีโชควาสนาของคนโง่งมเช่นกัน

 

 

“พี่รอง หรือท่านจะปล่อยให้นางกลั่นแกล้งท่านฝ่ายเดียว?”

 

 

เจินเหยียนลูบท้องตน “ข้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าบอกกับพี่เขยเจ้าแล้วว่า เมื่อใดที่เห็นญาติผู้น้องก็นึกถึงวาจาของนาง ครั้นคิดถึงคำพูดพวกนั้นก็จะปวดท้องขึ้นมา ให้นางอยู่ห่างๆ ข้าสักหน่อย รอจนคลอดแล้วค่อยหาเหตุผลไล่นางออกไป”

 

 

“จริงอย่างท่านว่า ตอนนี้การดูแลสุขภาพนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”

 

 

เจินเหยียนจึงเปลี่ยนมาสอบถามเรื่องราวที่ผ่านมาของเจินเมี่ยวอย่างละเอียดแทน

 

 

สองพี่น้องกำลังพูดคุยกันอยู่เมิ่งเหยียนเหนียนก็แหวกม่านเดินเข้ามา “อาเหยียน ข้าซื้อขนมจากร้านอู่เว่ยไจมาให้เจ้าด้วย”

 

 

เมื่อพบว่าเจินเมี่ยวอยู่ด้วยก็อดอึ้งงันไปไม่ได้

 

 

เจินเมี่ยวย่อกายคารวะเขาคราหนึ่ง “พี่เขย”

 

 

เมิ่งเหยียนเหนียนมิใช่บุตรคนโต อุปนิสัยจึงมิได้นุ่มลึกอันใด เขาหน้าแดงขึ้นมาอย่างอดมิได้ “น้องสี่ก็อยู่ด้วยหรือ อาเหยียน เจ้ากับน้องสี่กินขนมก่อนเถิด ข้าจะไปห้องตำรา”

 

 

“พี่เขย ท่านอยู่เป็นเพื่อนพี่รองเถิด ข้ามานานแล้วควรกลับเสียที”

 

 

เมื่อเข้าไปในห้องครานี้กลับไม่เห็นญาติผู้น้องคนนั้นแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากยิ้ม “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ ข้าช่างไร้มารยาทนักถึงกับเห็นญาติผู้น้องของพี่เขยเป็นสาวใช้ พี่รองอบรมข้ายกใหญ่ไปคราหนึ่งแล้ว ขอท่านโปรดเรียกนางออกมาสักหน่อยเถิด ข้าอยากจะขอโทษนางเจ้าค่ะ”

 

 

“เพราะนางกระทำตัวไม่เหมาะสมจึงทำให้ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดเข้าใจผิด จะให้เจ้าขอโทษนางได้อย่างไร”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

 

 

“ข้าทำไม่ถูกเอง หากมิพูดกับนางสักหน่อย กลับไปถึงจวนท่านย่าต้องตำหนิข้าเช่นกัน”

 

 

นางจะพูดเรื่องนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงฟังด้วยหรือ!

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่ตะลึงงันไป แล้วรีบหันไปบอกสาวใช้ว่า “รีบไปเชิญคุณหนูมาเร็ว”

 

 

แล้วฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “เด็กสาวผู้นั้นอุปนิสัยดียิ่ง ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดอย่าได้ถือสา ทั้งมิจำเป็นต้องเล่าเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องตกใจให้กับฮูหยินผู้เฒ่าเลย”

 

 

หลังจากนั้นไม่นานเสียงม่านมุกกระทบกันก็ดังขึ้น หญิงสาวที่เปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่แล้วเดินออกมา

 

 

เจินเมี่ยวหยักยกมุมปากขึ้นด้วยความภาคภูมิ

 

 

จักต้องร้องไห้อย่างหนักจนอาภรณ์เปียกปอนเป็นแน่

 

 

“คารวะฮูหยินคุณชายผู้สืบทอด” หญิงสาวย่อกายคารวะนาง

 

 

สายตาเจินเมี่ยวมองไปที่ปิ่นปักผมบนศีรษะนาง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วก็อดยิ้มออกมามิได้

 

 

เหย่าเหนียงเป็นคนฉลาดหัวไว การใส่เครื่องประดับที่ผู้อื่นมอบให้เป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติ ผู้ที่มอบให้เห็นแล้วจะไม่เบิกบานใจได้อย่างไร

 

 

เหย่าเหนียงทำได้ดียิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าคิดในใจ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจินเมี่ยวผู้มิเคยปฏิบัติอย่างคนทั่วไป เวลานี้เองนางก็ขมวดคิ้วขึ้นแล้วรีบถอดกำไลหยกออกจากข้อมือส่งให้อย่างรวดเร็ว “คุณหนู ปิ่นนั้นข้ามอบให้เป็นรางวัลแก่สาวใช้ เจ้าประดับมาเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจในความผิดพลาดของตนเองยิ่ง รีบถอดออกมาเถิด กำไลนี้เป็นความจริงใจของข้า หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ”

 

 

วาจานี้ดูเกรงอกเกรงใจไม่มีเศษเสี้ยวแห่งโทสะสักน้อยนิด แต่ใบหน้าของเหย่าเหนียงกลับแดงก่ำขึ้นมาทันใด นางต้องกัดริมฝีปากไว้แน่นจึงสามารถข่มน้ำตามิให้ไหลออกมา

 

 

“ยังไม่รีบขอบคุณฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดอีก!” ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าเครียดเกร็งขึ้นมาทันใด

 

 

“ขอบ…ขอบพระคุณฮูหยินคุณชายผู้สืบทอด” เหย่าเหนียงกัดริมฝีปากไว้แล้วส่งปิ่นคืนให้เจินเมี่ยว พร้อมทั้งรับกำไลหยกนั้นมา

 

 

เจินเมี่ยวจึงรับปิ่นนั้นส่งต่อให้สาวใช้ที่นำทางนางมาที่ห้องนี้

 

 

สาวใช้ผู้นั้นรีบเอ่ยขอบพระคุณอย่างร่าเริงในทันใด

 

 

นี้เป็นปิ่นทองเชียวนา สมแล้วที่เป็นถึงฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง แม้แต่รางวัลที่ตกให้บ่าวไพร่ยังเป็นถึงปิ่นทอง

 

 

จวนรองเสนาบดีนั้นให้ความสำคัญกับความเรียบง่ายอันงามสง่า บ่าวไพร่เช่นพวกนางหรือ อย่าว่าแต่ปิ่นทองเลย แม้แต่เครื่องประดับเงินยังน้อยนักได้จะได้เห็น

 

 

หางตาเจินเมี่ยวเหลือบไปมองท่าทีดีอกดีใจของสาวใช้ผู้นั้นแล้วก็ต้องพยักหน้าอย่างพอใจ

 

 

ดีมาก คิดว่าที่มาของปิ่นทองนี้คงมากพอให้สาวใช้ผู้นี้บอกเล่าต่อออกไปอย่างไม่ตระหนี่

 

 

ไม่ว่าผู้ใดหากได้รับของล้ำค่าล้วนปรารถนาจะอวดอ้างบ้างทั้งสิ้น

 

 

ฮึ รังแกพี่สาวข้า ข้าก็จะให้บ่าวไพร่ทั่วจวนรองเสนาบดีต่างขบขันเจ้า!

 

 

เจินเมี่ยวคิดอย่างชั่วร้าย แล้วกล่าวอำลาไปด้วยความพอใจอย่างยิ่ง

 

 

คนเพิ่งไปได้ไม่นาน ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยปากด่าทอรวดเร็วดุจฟ้าผ่าแล้ว “ตัวโง่งม เอาของที่ผู้อื่นมอบให้เป็นรางวัลแก่บ่าวไพร่มาใส่ได้อย่างไร เจ้ามีหัวคิดหรือไม่!”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าลืมความคิดชื่นชมที่มีในคราแรกไปเสียสิ้น

 

 

เหย่าเหนียงทั้งอับอายทั้งโกรธเคืองทั้งกลัวว่าหากร้องไห้ออกมาจะยิ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเคือง จึงข่มกลั้นไว้สุดชีวิต กระทั่งถึงห้องจึงร้องไห้ออกมายกใหญ่ ตกเย็นก็มิยอมกินข้าว

 

 

วันต่อมาก็ได้ยินเรื่องราวอันเหลวไหลของบรรดาสาวใช้ นางรู้สึกว่าทุกคนในจวนต่างกำลังขบขันนาง กระทั่งกลัดกลุ้มจนล้มป่วย นางรักษาตัวอยู่หลายวันจึงดีขึ้น

 

 

เรื่องหลังจากนี้จึงมิขอกล่าวถึงอีก

 

 

เจินเมี่ยวจากจวนรองเสนาบดีไปแล้วแต่ชิงเกอยังคงอาวรณ์กำไลหยกนั้น “ต้าไหน่ไหน่ กำไลหยกเนื้อดีเพียงนั้น ยกให้แม่นางผู้นั้นไปทำไมเล่าเจ้าคะ ทั้งนางทำไม่ดีต่อคุณหนูรองด้วย!”

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ให้นางแต่นางก็มิอาจสวมใส่ นางอายุมากกว่าข้า กระดูกใหญ่กว่า ข้อมือก็ใหญ่เพียงนั้น คาดว่าคงทำได้แค่เอาไปขายเท่านั้น”

 

 

“นางย่อมมิกล้าขายเจ้าค่ะ กำไลท่านให้หากขายไปแล้วถูกผู้คนทราบเข้า นางคงไม่เหลือศักดิ์ศรีใดๆ แล้ว” อาหลวนกล่าว

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า “ข้ารู้”

 

 

ดังนั้นนางถึงได้เบิกบานใจอย่างไรเล่า

 

 

วันที่สอง เจินเมี่ยวก็ไปที่วังเจาอวิ๋นจั่งกงจู่

 

 

คราก่อนนางขี้ม้าที่ตื่นตกใจทำให้เกิดหวาดกลัวอยู่จึงเรียกอาหู่ควบรถม้าให้

 

 

ชิงเกอรู้สึกสงสัยในตัวบุคคลที่เจินเมี่ยวพากลับมายิ่ง นางจ้องอยู่นานจึงเอ่ยพึมพำออกมาว่า “แรงไม่เยอะเท่าข้าเสียหน่อย”

 

 

อาหู่ก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็แลบลิ้น “มิได้อ้วนเช่นท่านสักหน่อย!”

 

 

เจินเมี่ยวดึงคนทั้งสองที่มิใช่เด็กน้อยแล้วออกจากกัน ก่อนที่จะเริ่มทะเลาะกันจริงๆ ขึ้นมา ในที่สุดก็เดินทางถึงวังจั่งกงจู่โดยสวัสดิภาพ

 

 

“นางเจิน นั่งเถิด” ท่าทีของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ดูเรียบเฉยแต่กลับมิได้ห่างเหิน

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกว่าจั่งกงจู่ยังคงดูน่าชิดใกล้อย่างที่ผ่านมามิเปลี่ยน

 

 

มีเพียงฉงสี่เซี่ยนจู่ที่หลุบม่านตาลงปิดบังความแคลงใจในดวงตาตนไว้

 

 

แววผิดหวังที่พาดผ่านไปในดวงตาของมารดาเมื่อครู่คืออันใดกัน?

 

 

เป็นเพราะ…คุณชายผู้สืบทอดหลัวมิได้มาพร้อมกับเจินเมี่ยวหรือไม่?

 

 

มารดานางดูจะให้ความสนใจกับคุณชายผู้สืบทอดหลัวเป็นพิเศษ ที่แท้แล้วเพราะเหตุใดกัน?

 

 

เมื่อออกมาจากห้องจั่งกงจู่ ฉงสี่เซี่ยนจู่ก็เป็นผู้พานางไปหาเจินหนิง

 

 

เจินหนิงกำลังอุ้มหยอกล้อบุตรสาวอายุสามเดือนอยู่

 

 

เจินเมี่ยวรับมาอุ้มต่ออย่างระมัดระวัง พลันได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องขึ้นจึงก้มลงมองก็เห็นว่าเด็กน้อยยิ้มร่าอยู่แท้ๆ

 

 

“พี่ใหญ่ เสียงเด็กร้องไห้มาจากที่ใดหรือ?”

 

 

“อ้อ สิบกว่าวันก่อนสาวใช้ทงฝังของพี่เขยเจ้าคลอดบุตรสาวมาคนหนึ่ง แต่นางคลอดยากจึงสิ้นใจ ไปก่อน ข้าจึงเอาเด็กผู้นั้นมาเลี้ยงดู” เจินหนิงเอ่ยเสียงเรียบ

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset