บุรุษที่มีหนวดเคราเต็มหน้าผู้หนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน แล้วหยุดยืนอยู่ด้านหน้าฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าก้าวออกมาข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว มือไม้เริ่มสั่นระริก
บุรุษที่เดินเข้ามาหานางนั้น แม้นจะมีหนวดเคราหนาปิดบังใบหน้าไว้ ทว่าดวงตาคู่นั้น…ดวงตาคู่นั้น ช่างคุ้นนัก!
เมื่อคนผู้หนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ หากเป็นสามีภรรยากันก็อาจจะจำหน้ากันมิได้ ทว่ามารดาที่รักบุตรของตนอย่างลึกซึ้งมีหรือจะจำบุตรตนไม่ได้
แต่แม้นจะเป็นเช่นนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากลับยังมิกล้าเชื่อ
นางรู้สึกว่านี้เป็นเพียงความฝันฉากหนึ่ง หากบุตรชายเดินเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ภาพฝันนี้ก็คงมลายหายไป เหมือนภาพฝันของนางที่เคยเกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อบุตรชายเดินมาถึงตรงหน้าตน นางยังไม่ทันได้ถามสักคำด้วยซ้ำก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นทั้งเหงื่อเปียกชื้น แล้วทุกอย่างก็จะถูกกลืนหายไปพร้อมกับความเจ็บปวดที่ประดังเข้ามา
เวลานี้เองฮูหยินผู้เฒ่าได้ทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายของคนทั้งหลายออกมา
นางโยนไม้เท้าทิ้ง แล้วหมุนกายวิ่งหนีทันที
ไม้เท้านั้นกลับลอยกระเด็นตกใส่หลังของนายท่านรองสกุลหลัวที่บ่าวไพร่สองคนกำลังพยุงเขาลุกขึ้นยืนพอดี
นายท่านรองสกุลหลัวอยู่ในฐานะที่สูงส่ง มีเกียรติมาโดยตลอด การล้มลงเช่นนี้ก็แย่พอแล้ว ไหนเลยจะทนรับเรื่องนี้ได้อีก ยามนั้นจึงร้องโหยหวนขึ้นมาคราหนึ่ง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้คนทั้งหลายต่างรู้สึกว่าตนมีตาไม่มากพอ ด้านหนึ่งอยากดูฮูหยินผู้เฒ่าที่ทิ้งไม้เท้าวิ่งหนีไป อีกด้านก็อยากมองนายท่านรองที่หลงลืมท่าทีสง่างามของตนจนร้องลั่นดั่งสุกรถูกเชือดทั้งยังอยากจะมองบุรุษผู้มีหนวดเคราเต็มหน้าที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจจนวิ่งหนีด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ามีบุตรทั้งหมดสี่คน และนางก็เป็นเช่นตระกูลอื่นทั่วไปที่ให้ความสำคัญกับบุตรคนโตและเอ็นดูบุตรคนเล็ก
แม้นนายท่านสี่สกุลหลัวมิได้ถูกตามใจจนเสียคน ทว่าหากเปรียบเทียบกับท่านอาวัยกลางคนที่เจ้าเล่ห์สุขุม หรืออ่อนโยนดุจหยกแล้วก็ยังออกจะดูมิปกติอยู่บ้าง
คนทั้งหลายต่างรู้สึกตาลายไปหมด บุรุษหนวดเคราเต็มหน้าพุ่งเข้าไปกอดขาฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้โฮ
“ท่านแม่…”
อันใดกัน?
ผู้คนทั้งหลายต่างตกตะลึง
ช่างน่าตกใจจริงๆ ไม่เสียทีที่คุณชายทั้งสองเป็นคนของจวนกั๋วกง คุณชายผู้หนึ่งพาคุณชายผู้สืบทอดและ ‘ศพ’ ของคุณชายผู้สืบทอดกลับมาพร้อมกัน ส่วนคุณชายอีกท่าน…หรือที่พากลับมาคือบุตรลับๆ ของฮูหยินผู้เฒ่า?
ถุยๆ คุณชายสองท่านนี้ ช่างกล้านำทุกอย่างกลับสู่เรือนตนจริงๆ เลยเชียว!
นายท่านรองสกุลหลัวเดินประคองเอวตนเข้าไปหาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “ต้าหลัง เจ้าพาผู้ใดมากัน เข้ามากอดขาฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้เหมาะสมที่ไหน!”
“ผู้ที่หลานพากลับมา…ย่อมต้องเป็นบุตรชายของท่านย่าอย่างแน่นอน” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยพลางยิ้ม
“เหลวไหล!” นายท่านรองสกุลหลัวหนวดกระตุกขึ้นมาทันใด เขายกเท้าขึ้นจะถีบนายท่านสี่สกุลหลัว ปากก็เอ่ยไปว่า “บ่าวไพร่ รีบจับตัวเจ้าคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้านี้ไว้เร็ว!”
นายท่านสี่สกุลหลัวนั่งคุกเข่าอยู่จึงทำเพียงเบี่ยงตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว “ท่านแม่ ท่านดู พี่รองรังแกข้าอีกแล้ว…” นัยน์ตาฮูหยินผู้เฒ่าหมุนกลอกไปมา สติค่อยๆ ฟื้นคืน นางวางมือลงลูบศีรษะนายท่านสี่สกุลหลัวแผ่วเบา “เจ้าสี่?”
“ท่านแม่ เจ้าสี่ บุตรชายของท่านแม่กลับมาแล้ว ลูกช่างอกตัญญูนัก ทำให้ท่านต้องเสียใจ”
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างโกลาหลขึ้นมาทันใด
บ่าวไพร่ที่เข้ามาอยู่ในจวนทีหลังต่างถามกันว่า “เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
ผู้ที่ทราบเรื่องราวทั้งหมดมาก่อนก็เอ่ยว่า “นายท่านสี่ นายท่านสี่ที่หายสาบสูญไปถึงหกปีกลับมาแล้วอย่างไรเล่า!”
“เอ๊ะ มิใช่บอกว่านายท่านสี่ได้…”
“เฮอะ นี่นับเป็นอันใดได้ ศพของคุณชายผู้สืบทอดเคลื่อนมาถึงจวนแล้วแท้ๆ คนกลับยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงนายท่านสี่ที่มิเคยพบแม้แต่ศพด้วยซ้ำ”
“สมเป็นจวนกั๋วกงจริงๆ วาสนาโชคลาภช่างมากมีนัก”
คนผู้หนึ่งกลับเอ่ยเสียงต่ำขึ้นมาว่า “ข้าว่า ผู้ที่มีวาสนาโชคลาภมากคือฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดต่างหาก”
“หมายความว่าอย่างไร?”
คนผู้นั้นทำปากยื่นทันที “พวกเจ้าลองคิดดูเถิด นายท่านสี่หายตัวไปหลายปีเพียงนี้แล้วแท้ๆ โดยเฉพาะสองปีก่อน จวนเราส่งคนออกไปตามหาตั้งมาเท่าใด แต่กลับมิเห็นแม้แต่เงา ครานี้ฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดช่วยชีวิตองค์หญิงไว้ ม้าที่ขี่อยู่ตกใจวิ่งเตลิดหนีไปหาร่องรอยไม่พบอยู่เป็นนาน แต่คุณชายผู้สืบทอดกลับมิเป็นอันใด ทั้งยังพานายท่านสี่กลับมาด้วยอีก”
คนที่เข้าใจความหมายแล้วจึงเอ่ยว่า “ใช่ๆ หากฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดมิขี่ม้าที่ตกใจวิ่งหนีไปตัวนั้นก็คงมิหายสาบสูญ หากมิหายสาบสูญคงมิพบกับนายท่านสี่ ฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดช่างเป็นผู้มีโชคลาภวาสนาจริงๆ”
วาจานี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในหมู่บ่าวไพร่
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมองบุตรชายที่กอดขาตนร้องไห้น้ำมูกไหลด้วยความอึ้งงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมองไปโดยรอบดั่งคนที่เพิ่งตื่นจากฝัน
“ท่านแม่ ท่านหาสิ่งนี้อยู่ใช่หรือไม่?” นายท่านรองสกุลหลัวส่งไม้เท้าให้ด้วยใจอันไม่ซื่อ ในใจคล้ายมีคลื่นพายุซัดสาดเป็นระลอก
น้องสี่ยังไม่ตายหรือนี่!
หลังจากความยินดีที่เกิดขึ้นชั่วขณะนั้นแล้วก็เหลือเพียงความหงุดหงิด
น้องสี่นับถือชื่นชมพี่ใหญ่ที่สุด ทั้งยังสนิทชิดเชื้อกับหลานผู้นั้นยิ่ง ภายหน้าจักต้องเป็นอุปสรรคต่อเขาแน่!
ยังมีความดีที่ต้าหลังได้ช่วยองค์จักรพรรดิและบุญคุณที่นางเจินได้ช่วยองค์หญิงไว้อีก
ครั้นนายท่านรองสกุลหลัวคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกว่าอนาคตตนช่างมืดมนนัก
คนพวกนี้กลับมาย่อมไม่มีเรื่องดีแน่ มิต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นเลย วันนี้เขาไม่เพียงสะดุดล้มอย่างอเนจอนาถ แต่ยังถูกไม้เท้าที่ลอยมานั้นฟาดเสียจนเอวแทบหัก
ยามท่านแม่รู้สึกตื่นเต้นมากๆ มักจะใช้ไม้เท้าตีคน หึๆ
ฮูหยินรับไม้เท้ามา แล้วเดินอย่างรวดเร็วด้วยฝีเท้าอันว่องไวดุจบินได้ “เจ้าสี่ รีบตามแม่เข้าไปในเรือน เล่าให้แม่ฟังให้หมดถึงเรื่องหลายปีที่ผ่านมานี้ของเจ้า”
เมื่อมองคนทั้งหลายที่กรูตรงไปยังเรือนส่วนกลาง นายท่านรองสกุลหลัวก็หน้าดำคล้ำขึ้นมา
มิใช่ต้องยกไม้เท้าฟาดคนหรอกหรือ?
ท่านแม่ ท่านยังคงลำเอียงเช่นเดิม!
“ท่านย่า น้องสามได้ขอให้คุณชายตระกูลจินคุ้มกันเรามาส่งที่นี่ เพราะคุณชายตระกูลจินช่วยเหลือไว้ทำให้โลงศพนี้สามารถมาถึงจวนได้อย่างราบรื่นขอรับ”
หลัวเทียนเฉิงอารมณ์ดียิ่ง แต่สายกลับเหลือบไปเห็นนายท่านรองสกุลหลัวอย่างไม่ตั้งใจ
“เช่นนี้เถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าหันกลับไปมองกลุ่มคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่บริเวณประตูใหญ่ แล้วเอ่ยกับนายท่านรองสกุลหลัวว่า “เจ้ารอง จัดโต๊ะอาหารเลิศรส สุราชั้นดีเพื่อต้อนรับแขกด้วย ส่วนหลานๆ ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด แล้วค่อยมาหาย่า”
นายท่านสี่สกุลหลัวประคองฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้าไปในเรือน
เมื่อดื่มชาไปเป็นกาที่สอง ฮูหยินผู้เฒ่าก็วางถ้วยชากระเบื้องเคลือบลายครามนั้นลง เช็ดขอบตาตนก่อนกล่าวว่า “ดังนั้นเจ้าสี่ เจ้าสูญเสียความทรงจำและอาศัยอยู่ที่อำเภอเป่าหลิง ทั้งยังมีภรรยาและบุตรด้วย?”
“ขอรับ” เพราะมีนางเถียน นางซ่งและคนอื่นๆ อยู่ด้วย นายท่านสี่สกุลหลัวจึงหน้าแดงขึ้นมา แต่โชคดีที่มีหนวดเคราเต็มหน้าทำให้มองไม่ออก เห็นเพียงใบหูอันแดงก่ำเท่านั้น
“ช่างเถิด เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้ บุญคุณเพียงหยดน้ำ ตอบแทนเท่าสายธาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุญคุณที่ช่วยชีวิต”
นายท่านสี่สกุลหลัวก้มหน้าต่ำลงไปอีก “ลูกก็คิดเช่นนั้น หากไม่มีนางหู ลูกคงกลายเป็นเถ้ากระดูกไปนานแล้ว”
อย่าว่าแต่แต่งนางเลย หากตอนนั้นนางเรียกเอาชีวิตเขาคืน เขาก็จะไม่ขมวดคิ้วแม้เพียงเล็กน้อย
“แล้วตอนนี้เจ้าจะทำอย่างไร?”
นายท่านสี่สกุลหลัวเม้มริมฝีปาก แล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เรื่องที่ลูกมีภรรยามาก่อนนั้นได้บอกต่อนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากยังคิดจะอยู่กับลูกก็เป็นได้เพียงอนุเท่านั้น แต่ตอนที่ลูกแต่งงานกับนางก็มีการจัดพิธีเช่นกัน แม้นมิใช่ฐานะที่แท้จริง แต่นางเป็นภรรยาเอกอยู่แท้ๆ จู่ๆ กลับต้องกลายมาเป็นอนุ ลูกจึงรู้สึกผิดต่อนางยิ่ง ดังนั้นลูกจึงคิดจะให้จังเกอมีฐานะดั่งเป็นบุตรของนางชีอีกคน”
ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
นางเถียนหยักยกมุมปากขึ้น ตอนนี้นางกลับร้อนใจอยากจะเห็นท่าทีของน้องสะใภ้สี่นัก
ฮูหยินผู้เฒ่าหยิบถ้วยชาที่ว่างเปล่านั้นขึ้นมาเล่นในมือตน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามว่า “เป็นความคิดของเจ้าจริงๆ งั้นหรือ?”
มิอาจมองเห็นอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้นในแววตาอันล้ำลึกของฮูหยินผู้เฒ่าได้
“ขอรับ ลูกอยากจะชดเชยให้นางหู เพื่อลดความรู้ผิดของตน”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาว “ช่างเถิด นางหูช่วยชีวิตบุตรชายข้าไว้ การเลี้ยงดูหลานเช่นบุตรภรรยาเอกนั้นมีอันใดต้องเดือดร้อนเล่า”
กล่าวถึงตรงนี้มุมปากนั้นกลับหยักยกขึ้นเล็กน้อย สีหน้ามีแววล้ำลึกขึ้นอีกหลายส่วน “อย่างไรจวนของเราก็มิเคยมีหลานชายที่กำเนิดจากอนุสักคน”
ในจวนเจิ้นกั๋วกงแห่งนี้มีเพียงคุณหนูสามคนเดียวเท่านั้นที่เป็นบุตรอนุ คุณชายคนอื่นๆ ล้วนกำเนิดจากภรรยาเอกทั้งสิ้น
ใจของนางซ่งกลับผ่อนคลายขึ้นมาก
แม้นนางกับนางชีจะไปมาหาสู่กันน้อยยิ่ง แต่ในใจส่วนลึกกลับสงสารนางไม่น้อย ดูจากสถานการณ์วันนี้แล้ว เกรงว่านางหูผู้นั้นคงจะใช้บุญคุณที่ช่วยชีวิตและความรักผูกพันที่มีร่วมกันฉันสามีภรรยาของตนมาเหยียบน้องสะใภ้สี่ให้จมดินเป็นแน่
หากเป็นเช่นนั้น น้องสะใภ้สี่ก็น่าสงสารเกินไปแล้ว
โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ามิใช่คนเลอะเลือน วาจานี้จึงมีความหมายซ่อนเร้นอยู่ไม่น้อย
ในจวนแห่งนี้ไม่มีหลานชายที่เกิดจากอนุ ความจริงก็เพื่อจะบอกแก่นายท่านสี่สกุลหลัวว่าแม้แต่หลานชายที่เกิดจากภรรยาเอกก็มิได้เป็นเรื่องสำคัญหรือแปลกใหม่ นับประสาอันใดกับบุตรอนุที่ยกฐานะให้เทียบเท่ากับบุตรภรรยาเอก ฉะนั้นอย่าได้คิดจะก่อคลื่นลมฝนอันใดขึ้นมาได้
ครั้นคิดถึงเมื่อครั้งที่นายท่านสามมีชื่อเสียงไม่ใคร่จะดีนัก ตอนนั้นนางไม่อยากจะแต่งกับเขา ใจคิดถึงแต่พี่ชายที่มีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลนางผู้นั้นแต่เพียงผู้เดียว
มารดากลับเตือนนางว่าสตรีจะออกเรือนนั้นต้องดูการดูแลจัดการของแม่สามีเป็นหลักสำคัญ ขอเพียงมิทำอันใดนอกกฎ ต่อให้มิเป็นที่รักของสามีก็คงไม่มีทางตกต่ำสักเท่าใดได้
ตระกูลที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์นั้นต่อให้มิได้รักใคร่ภรรยาเอกเท่าใด แต่ยังคงให้เกียรติเสมอ
จริงดั่งท่านแม่ว่าไม่มีผิด นางแต่งเข้ามาหลายปีแล้ว แม้นท่านพี่จะทำตัวเหลวไหลสักเท่าใดแต่ก็มิเคยมีสาวใช้ทงฝังเลยสักคน แต่บุรุษที่นางรักชอบในตอนนั้นแต่งภรรยาได้เพียงสองปีไม่มีทายาท แม่สามีก็รีบหาสาวใช้ทงฝังมาประเคนให้ถึงห้องอยู่หลายคน
แต่ก็มิอาจทราบได้ว่านายท่านสี่ผู้นี้จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เพียงใด
“ท่านแม่วางใจเถิด ลูกเข้าใจทุกอย่างดีขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมองเขาด้วยสายตาตำหนิคราหนึ่ง “ในเมื่อเข้าใจแล้ว ยังไม่รีบไปพบภรรยาเจ้าอีก!”
นายท่านสี่สกุลหลัวลุกขึ้นยืนโดยพลัน “อย่า…อย่าเพิ่ง…”
ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าขรึมลงทันที “มีอันใด?”
ใบหูของนายท่านสี่สกุลหลัวแดงขึ้นมาอีกครา “ท่านแม่ อย่างไร…อย่างไรก็ให้ลูกได้จัดการตนเองสักหน่อยเถิด”
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะออกมา “ได้ ได้ หงฝู พานายท่านสี่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หงสี่ไปเชิญฮูหยินสี่และเจ้าหกมาที่นี่”
นายท่านสี่สกุลหลัวเดินตามสาวใช้ไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มโง่งม ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับให้นางเถียนและนางซ่งไปตรวจดูอาหารที่จะขึ้นโต๊ะ
ยามนี้เองจึงหันมาสอบถามความเป็นไปกับหลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยว
เมื่อฟังหลัวเทียนเฉิงเล่าจบ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตบโต๊ะเสียงดัง “ไหนเลยจะมีเหตุผลเช่นนี้ได้ ถึงกับกล้าทำคนของจวนกั๋วกงเรา!”
กล่าวจบก็ถอนหายใจอีกครา “ต้าหลัง ลำบากเจ้าแล้ว จวนกั๋วกงของเราแม้นมิอนุญาตให้สร้างกองทัพตน แต่กลับมีองครักษ์ลับ แต่เรื่องนี้มีเพียงปู่ของเจ้าที่ทราบ แต่เขากลับยังมิได้บอกเรื่องนี้แก่เจ้าก็กลายเป็นเช่นนั้นไปเสียแล้ว มิฉะนั้นเจ้าก็คงมิต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”
“ท่านย่า…”
“ข้ารู้…ในอดีตเรื่องนี้มิอาจบอกได้กระทั่งฮูหยินกั๋วกง แต่คล้ายว่าปู่เจ้าจะมีลางสังหรณ์บางอย่างกระนั้น เขาจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง แต่ตอนนั้นเจ้ายังเล็กนัก ย่าจึงมิเคยพูดเรื่องนี้ออกมา”
ฮูหยินผู้เฒ่าพลันลุกเดินเข้าไปในห้อง ครู่หนึ่งก็ถือกล่องสีดำออกมา มันคล้ายทำจากเหล็กแต่ก็เหมือนมิได้ทำจากเหล็ก ทว่ากุญแจมัจฉาที่ปิดไว้นั้นช่างดูประณีตนัก
“ในกล่องนี้มีป้ายคำสั่งที่ใช้สั่งการองครักษ์ลับ ข้อมูลและช่องทางการติดต่อพวกเขา ย่าขอมอบมันให้กับเจ้า แต่กุญแจนั้น ปู่เจ้ายังมิได้เอ่ยถึง หลายปีมานี้ย่าก็มิเคยค้นเจอเลย เจ้าคงต้องไปตามหาเอาเองแล้ว”
“ขอรับ หลานขอบพระคุณท่านย่ายิ่ง” หลัวเทียนเฉิงรับกล่องนั้นมา
เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงดึงเอาถุงผ้าที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา นางค้นควักอยู่นานก็หยิบหยกที่แตกออกครึ่งหนึ่งขึ้นมา ตรงกลางหยกนั้นหลอมกุญแจดอกหนึ่งเอาไว้
นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่าและหลัวเทียนเฉิงแทบถลนออกมาแล้ว
เจินเมี่ยวยิ้มพลางเอ่ยว่า “วันที่ยกน้ำชานั้นท่านปู่ให้ข้ามา แต่หลังจากที่ม้าตกใจพาเราวิ่งเตลิดไปในป่า เราตกจากหลังม้า หยกก็เลยแตกออกมา”