วาสนาบันดาลรัก 219

ตอนที่ 219

นายท่านสี่สกุลหลัวมิได้ตอบ เพียงมองเจินเมี่ยวและอาหู่คราหนึ่ง

 

 

เดิมอาหู่ก็ไม่ทราบอยู่แล้วว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เขามีสีหน้างุนงงอยู่ตลอด

 

 

เจินเมี่ยวจึงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาสี่ ท่านกับท่านพี่พูดคุยกันไปก่อนเถิด ข้าจะไปหาหู…หูไท่ไท่ก่อน เผื่อว่าจะมีอันใดให้ช่วยบ้าง”

 

 

จวนสกุลหูแม้นจะนับได้ว่าเป็นผู้มีฐานะในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ มีกิจการและไร่นา ทั้งยังมีบ่าวไพร่อีกหลายคน แต่หลายๆ เรื่องนายท่านผู้หญิงก็ยังคงต้องลงมือทำเองอยู่

 

 

แต่หากเป็นจวนเจิ้นกั๋วกงต้องการเตรียมอาหารค่ำรับรองแขกแค่เอ่ยสั่งเพียงคำก็พอแล้ว กลับกันในจวนสกุลหูแห่งนี้ นางหูยังคงต้องไปดูแลด้วยตนเองว่าจัดเตรียมเป็นเช่นไรบ้างแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวเอ่ยเช่นนี้ก็เพื่อหาเหตุผลที่เหมาะสมปลีกตัวออกมาเท่านั้น

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวมีวาจาที่มิสะดวกให้นางรับรู้ นางก็มิได้รู้สึกอึดอัดขัดใจอันใดสักนิด ความลับพวกนั้นน่ะหรือ นางรู้แล้วก็ไม่มีความสามารถไปช่วยแก้ไขได้ แต่หากมีอันใดต้องการให้นางช่วยเหลือหรือรับทราบ หลัวเทียนเฉิงย่อมต้องบอกนางอย่างแน่นอน

 

 

การไม่ไปขบคิดเรื่องที่เกินความสามารถตนนั้นเป็นอุปนิสัยที่มีมาแต่ไหนแต่ไรของนางเอง

 

 

ยามนี้นางแค่คิดถึงอาหารเลิศรสอย่างตับห่านราดน้ำแดง ไข่นกกระทาทอดกรอบ แป้งม้วนไส้ถั่วทอดกรอบ และนกเอี้ยงก้นลายที่นับวันยิ่งอ้วนพีตัวนั้นของนางด้วย

 

 

“อาหู่ ไปเถิด” เจินเมี่ยวจูงอาหู่เดินออกไป

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา “ต้าหลัง หลานสะใภ้คงจะตำหนิข้าแน่ กลับไปช่วยกล่าวขออภัยต่อนางแทนข้าด้วย แต่บางเรื่องนั้นยากที่จะพูดจริงๆ” สตรีผู้นั้นใจกว้างเสียยิ่งกว่าอันใด จะให้นางมาใส่ใจเรื่องพวกนี้หรือ แค่กๆ นั้นกลับเป็นการทำนางลำบากใจยิ่งกว่า

 

 

“ปีที่ปู่ของเจ้าตกม้านั้น ไม่ว่าจะเป็นท่านย่าเจ้าหรือว่าข้าต่างก็สงสัยว่านี้มิใช่เหตุบังเอิญทั่วไป จึงคอยสืบเรื่องราวมาตลอด” นายท่านสี่สกุลหลัวเอ่ยปากพูด

 

 

หลัวเทียนเฉิงคอยฟังอย่างตั้งใจ

 

 

“คนดูแลม้าที่เป็นผู้ดูแลแค่เพียงม้าศึกของปู่เจ้าโดยเฉพาะก็ฆ่าตัวตายหลังจากเกิดเรื่องขึ้น แต่ตัวเขานั้นไม่มีภรรยาหรือบุตรเลย เบาะแสที่มีจึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น ข้าลอบสืบอยู่นานจึงทราบว่าเขามีญาติห่างๆ อยู่เป่ยเหอจึงได้ออกจากเมืองหลวงไปสืบดู”

 

 

“ท่านตามหาญาติห่างๆ ผู้นั้นของเขาพบหรือไม่?” หลัวเทียนเฉิงทราบดีว่าการสูญเสียความจำของท่านอาสี่ในครั้งนี้ต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวมีหนวดเคราเต็มหน้าจึงมองสีหน้าอารมณ์ของเขาไม่ออก มีเพียงแววตาที่ล้ำลึกขึ้นมา “พบ พบกับคนของเผ่าเย่ว์อี๋ที่หนีรอดมาได้!”

 

 

“อันใดกัน?” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกเหนือความคาดหมายยิ่ง

 

 

เผ่าเย่ว์อี๋ก็คือดินแดนที่เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ต้องแต่งออกไป แต่เพราะการกระทำที่ทำให้คนทั้งโลกต้องแตกตื่นของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ทำให้เกิดสงครามขึ้น ต่อมาจึงถูกฆ่าล้างเผ่าไป

 

 

“กล่าวเช่นนี้ คนของเผ่าเย่ว์อี๋ก็ยังคงเหลืออยู่ กระทั่งแฝงตัวเข้าไปในจวนเราได้? ข้าจำได้ว่าท่านย่าเคยบอกว่า สงครามปีนั้นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเป็นผู้ลงสนามเอง และบิดาของเขาก็เป็นแม่ทัพใหญ่”

 

 

“พวกเขาคิดจะแก้แค้นท่านพ่อ แก้แค้นจวนกั๋วกงของเรางั้นหรือ?”

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวพยักหน้า “ชัดเจนว่าเป็นเช่นนั้น ตอนนั้นข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน จึงได้สืบไปตามความคิดนี้ แต่ต่อมากลับพบว่าเรื่องราวกลับดูแปลกประหลาดมากขึ้นทุกที เผ่าเย่ว์อี๋ที่เหลือนั้นมีคนคอยช่วยเหลือพวกเขาอยู่ และผู้ที่ช่วยเหลือก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับอดีตองค์รัชทายาทที่ถูกปลดด้วย!”

 

 

“อดีตรัชทายาทที่ถูกปลด?”

 

 

“ใช่ อดีตรัชทายาทที่หายสาบสูญไปในอดีตนั้นแล น่าเสียดายตอนที่ข้าสืบจนถึงตรงนี้แล้วกลับถูกพวกเขาจับได้ คนที่ข้าพาไปถูกฆ่าตายในการต่อสู้ครั้งนั้นจนหมด เหลือเพียงข้าที่หลบหนีเอาชีวิตรอดมาได้ เมื่อจนตรอกจึงกระโดดลงไปในหุบเขาสูง เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกคราก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”

 

 

“เป็นนางหูที่ช่วยท่านไว้?” หลัวเทียนเฉิงลอบทอดถอนใจกับโชคชะตาที่บังเอิญถึงเพียงนี้ เขาเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านจึงแต่งเข้าบ้านนางเช่นนั้นหรือ?”

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่ เข้ามิได้แต่งเข้าบ้านนาง แต่ตอนนั้นข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าพักรักษาตัวอยู่ที่นี่เกือบครึ่งปีจึงหายดี ไม่นานบิดานางหูก็เสียชีวิต มารดาของนางจากไปตั้งนานแล้ว ครั้นบิดาจากไปนางก็เหลือเพียงน้องชายที่ยังเยาว์วัย ทั้งยังต้องดูแลไร่ชาอีก คนภายในตระกูลต่างคิดไม่ดี คนภายนอกก็คอยจะหาผลประโยชน์ เราจึงตกลงอยู่กินกันในช่วงเวลาที่นางกำลังไว้ทุกข์ แม้นข้าจะอยู่ในจวนสกุลหู ดูแลกิจการของตระกูลหู แต่ก็มิได้แต่งเข้ามาเป็นลูกเขย แต่ลงนามในสัญญาต่อหน้าคนในตระกูลนาง หลังจากที่น้องชายนางเติบใหญ่ก็จะยกกิจการนี้ให้เขา”

 

 

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้นายท่านสี่สกุลหลัวก็ยิ้มหยันตนออกมา “ผู้ใดจะรู้ว่าชะตาชีวิตกลั่นแกล้งทำให้ข้าจำอดีตขึ้นมาได้ในวันนี้เล่า”

 

 

หลัวเทียนเฉิงได้แต่เงียบงัน

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวตอบมือหลัวเทียนเฉิง “เอาเถิด อาสี่ย่อมจัดการเรื่องของตนเองให้เหมาะสม ว่าแต่เจ้าเถิด บอกมาได้แล้วกระมังว่าเหตุใดจึงหาที่นี่พบ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงได้เล่าเรื่องที่ผ่านมาให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวฟังแล้วก็ต้องหวาดหวั่นใจไปด้วย แต่สุดท้ายก็ยิ้มสดใสออกมา “ไม่เสียทีที่เราสองคนเป็นอาหลานกัน ต่างมาที่อำเภอเป่าหลิงเพราะถูกตามฆ่าเช่นกัน เรื่องที่เจ้าเจอครานี้ เกรงว่าคงมิธรรมดาแน่ กลับไปถึงเมืองหลวงเสียก่อนค่อยสืบสาวให้ละเอียด”

 

 

“ขอรับ” หลัวเทียนเฉิงพยักหน้ารับ สายตากลับมองตกไปที่หนวดเคราของนายท่านสี่สกุลหลัว “เหตุใดท่านอาสี่จึงไว้หนวดเคราเล่า?”

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวลูบแก้มตนแล้วเอ่ยว่า “มีครั้งหนึ่งข้าไปเมืองชิงหยาง จึงพบว่าตนถูกสะกดรอยตาม แม้นตอนนั้นจะสลัดหลุดจากคนผู้นั้นมาได้ แต่หลังจากกลับมาก็ครุ่นคิดอยู่นานถึงความผิดปรกตินี้ อาสี่ของเจ้าแค่สูญเสียความทรงจำ มิได้สูญเสียสติปัญญา ข้าจึงเริ่มไว้หนวดเคราตั้งแต่นั้นมา”

 

 

“หากเป็นเช่นนี้ก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่าเมืองชิงหยางจะมีคนของเผ่าเย่ว์อี๋อยู่?”

 

 

“หรือบางทีก็เป็นคนของอดีตรัชทายาทพระองค์ก่อน ผู้ใดจะรู้ได้เล่า” นายท่านสี่สกุลหลัวหัวเราะ

 

 

หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นเหตุใดท่านอาสี่ถึงได้ใช้ชาแท่งชนิดใหม่นี้ไปทำการค้ากับตระกูลจินที่ชิงหยางเล่า?”

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวลูบเคราที่ขึ้นเต็มหน้าตน “อาจเป็นเพราะเรื่องนั้นทำให้ข้ามิอาจสงบใจได้กระมัง ไม่รู้ว่าตนเป็นใคร ไปล่วงเกินผู้ใดไว้ก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย ตระกูลจินแห่งชิงหยางมีเส้นทางการค้าที่จะส่งชาเข้าวังหลวงได้ ข้าคิดว่าหากต้องนั่งรออย่างกระวนกระวาย รอให้ศัตรูที่ไม่รู้ว่าใครบุกเข้ามาหาข้า มิสู้ข้าทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาก่อนที่เขาจะหาเจอ หึๆ หากรู้ว่าเรื่องราวจะยุ่งยากปานนี้ เกรงว่าคงจะเก็บหางไว้ทำตัวเป็นคนธรรมดาต่อไปแล้ว”

 

 

หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมา

 

 

แม้นท่านอารองจะสูญเสียความทรงจำ แต่อุปนิสัยยังคงไม่เคยยอมแพ้ให้กับสิ่งใด ชมชอบที่จะชิงลงมือควบคุมสถานการณ์ก่อนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

 

 

“เช่นนั้นตอนนี้คุณชายจากตระกูลจินมาถึงแล้ว ท่านอาสี่คิดจะหลบเลี่ยงหรือไม่?”

 

 

“ไม่ คงจะฉวยโอกาสนี้เข้าเมืองหลวงไปเสียเลย!” นายท่านสี่สกุลหลัวยิ้มออกมา “ในเมื่อมีหลายฝ่ายกำลังตามหาข้า ไม่ทราบว่าเป็นมิตรหรือศัตรู เช่นนั้นข้าก็จะกระชากพวกเขาทุกคนให้ออกมา เราจะเข้าเมืองหลวงไปในฐานะคหบดี อย่างไรเสียข้าก็คิดจะเข้าเมืองหลวงอยู่แล้วหากชาแท่งชนิดใหม่นี้ได้รับการยอมรับจากตระกูลจิน”

 

 

หลานและอาทั้งสองคุยกันอยู่อีกนานจึงมีสาวใช้เข้ามาเชิญไปกินข้าว

 

 

ตระกูลคหบดีนั้นมิพิธีรีตองอันใดมาก จึงกินข้าวภายในห้องโถงเดียวกัน เพียงแต่แยกโต๊ะชายหญิงและมีฉากบังลมกั้นไว้

 

 

เจินเมี่ยวได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยลอยข้ามฉากบังลมมาว่าพรุ่งนี้จะพาบุรุษหนุ่มไปเยี่ยมชมไร่ชา

 

 

นางหูกำลังกังวลใจหลายเรื่องจึงค่อนข้างเงียบขรึม

 

 

แต่จังเกอกลับดูสนิทสนมกับเจินเมี่ยวมากขึ้นอีกหลายส่วน จึงพูดคุยกับนางอยู่หลายคำ

 

 

เมื่อกินอาหารเสร็จ ทุกคนต่างก็กลับห้องตนไปพักผ่อน

 

 

“กล่าวเช่นนี้ นางหูก็มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตอาสี่” เจินเมี่ยวยืนขึ้นจ้องมองหลัวเทียนเฉิง

 

 

“เช่นนั้น…ท่านอาสี่คิดจะทำอย่างไรหรือ?”

 

 

“ท่านอาสี่? นี้มิใช่เรื่องที่ท่านอาสี่จะทำอันใดได้”

 

 

“หมายความว่าเช่นใด?” เจินเมี่ยวนั่งลงทันที

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับความรู้สึกของท่านอา ไม่ว่าเขาจะมีรักแรกพบกับนางหูก็ดี จะแต่งงานกับนางหูก็ช่าง อาสะใภ้สี่เป็นสะใภ้ที่แต่งเข้าตระกูลอย่างถูกต้องทุกอย่าง นางหูก็คงเป็นได้แค่อนุแล้ว หากท่านอาสี่คิดเห็นเป็นอื่น เกรงว่าท่านย่าคงได้ใช้ม้าเท้าตีเขาจนพิการเป็นแน่”

 

 

เจินเมี่ยวฟังหลัวเทียนเฉิงเล่าทุกอย่างออกมาอย่างสมเหตุสมผลและเป็นธรรมชาติก็ได้แต่อึ้งงันไป

 

 

ความน้ำเน่าที่นางคิดไว้เล่า? การใช้วิธีดึงรั้งสารพัดรูปแบบเล่า? ที่แท้สิ่งที่นางคิดมาครึ่งค่อนวันกลับกลายเป็นว่าท่านอาสี่คิดสิ่งใดไม่สำคัญ กฎระเบียบต่างหากคือเหตุผลอันถูกต้อง!

 

 

นั้นหมายความว่านางหูคงทำได้เพียงเข้าเมืองหลวงไปเป็นอนุ หรือไม่ก็อยู่ที่นี่เช่นเดิมเท่านั้นหลัวเทียนเฉิงยื่นมือออกมาหงิกแก้มเจินเมี่ยว เอ่ยถามอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “เป็นอันใด อาซื่อ เจ้าเห็นใจนางหูหรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “ไม่ เพียงแค่รู้สึกว่าโชคชะตาช่างกลั่นแกล้งคนเสียจริง แต่ก็มิถึงกันเห็นใจ…”

 

 

“เพราะอันใดหรือ?” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกสนใจขึ้นมา

 

 

เจินเมี่ยวกลอกตามองเขาแล้วเอ่ยว่า “หากเป็นอย่างที่ท่านพูด ตอนนั้นท่านอาสี่ถูกนางหูช่วยไว้ ทั้งยังพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ถึงครึ่งปี นางหูต้องพบกับเรื่องร้ายเช่นนั้น ทั้งนางยังเอ่ยปากก่อน ท่านอาสี่ย่อมไม่มีทางปฏิเสธได้กระมัง ทว่าตอนนั้นท่านอาสี่ก็อายุยี่สิบห้าปีแล้ว บุรุษที่อายุเท่านี้มีหรือจะยังไม่แต่งงาน? ในเมื่อนางหูเลือกเช่นนี้ ก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเลือก มิใช่หรือ? หากพูดถึงความเห็นใจ ข้าคงเห็นใจอาสะใภ้สี่มากกว่า นางต่างหากที่ไม่มีโอกาสเลือกอันใดเลย ทำได้เพียงยอมรับความจริงข้อนี้เท่านั้น”

 

 

“อาซื่อ”

 

 

“หืม?

 

 

“เจ้าคิดได้เช่นคนมีสติปัญญาเช่นนี้ทำให้ข้าไม่คุ้นเคยเอาเสียเลยจริงๆ” หลัวเทียนเฉิงหัวเราะเสียงต่ำ แต่ในใจกลับรู้สึกภาคภูมิอย่างยิ่ง

 

 

สตรีบางคนฉลาดแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ส่วนเรื่องใหญ่ๆ กลับไม่เข้าใจ ยังดีที่เจี๋ยวเจี่ยวของเขามิได้เป็นเช่นนั้น

 

 

เจินเมี่ยวยื่นมือออกมาหยิกเอวหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ท่านพูดจาไม่ดีอยู่ร่ำไป ข้าไม่คุ้นชินเช่นกัน!”

 

 

“หึๆ” หลัวเทียนเฉิงจับมือเจินเมี่ยวไว้ “อาซื่อ หากเป็นเจ้าเล่า หากเจ้าเจอสถานการณ์เช่นเดียวกับนางหู เจ้าจะทำฉันใด?”

 

 

เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง “หากเป็นข้า ข้าก็คงจะหาบุรุษที่ยังไม่มีภรรยาสักคนแล้วรีบจัดงานแต่งอย่างรวดเร็วกระมัง ในพื้นที่แห่งนี้ตระกูลหูก็มิใช่เลวร้ายอันใด บุตรสาวก็มิได้อัปลักษณ์ คนที่อยากแต่งเข้ามาก็คงมีไม่น้อย แม้นการแต่งงานจะรวดเร็วไปสักหน่อยจึงมิอาจรับประกันได้ว่าจะได้คนดีที่สุด แต่ความเสี่ยงครั้งนี้สำหรับข้าแล้วก็สามารถทำใจยอมรับได้ แต่การเสี่ยงว่าสักวันตนต้องเปลี่ยนจากภรรยากลายเป็นอนุนั้นข้ากลับไม่มีทางรับได้อย่างแน่นอน”

 

 

ส่วนนายท่านสี่สกุลหลัวก็กำลังพูดคุยสนทนาอยู่เช่นกัน

 

 

“ท่านพี่มีภรรยาอยู่ที่จวนงั้นหรือ?” นางหูกำผ้าห่มแน่น

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวถอนใจแล้วพยักหน้า

 

 

“เช่นนั้น เช่นนั้นท่านคิดจะจัดการเช่นไรกับเราสองแม่ลูก?”

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวดึงมือนางหูเข้ามากุมไว้ แล้วเอ่ยว่า “เป็นข้าเองที่ผิดต่อพวกเจ้าสองแม่ลูก…”

 

 

นางหูสะบัดมืออก แล้วเอ่ยเสียงแหลมสูงว่า “ท่านพี่ ความหมายของท่านคือจะให้ข้าเป็นอนุ แล้วจังเกอก็กลายเป็นบุตรของอนุงั้นหรือ?”

 

 

ช่างเหลวไหลและน่าขบขันสิ้นดี เมื่อกลางวันนางยังรู้สึกสงสัยว่าสตรีที่ยืนอยู่ต่อหน้านางนั้นหากไม่เป็นอนุในเรือนก็เป็นอนุนอกเรือนแน่ แต่พริบตานางกลับเปลี่ยนจากภรรยากลายเป็นอนุไปเสียแล้ว!

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวเงียบไป เช่นนั้นก็เท่ากับยอมรับ

 

 

นางหูรู้สึกดั่งตกลงไปในธารน้ำแข็ง ความเหน็บหนาวกระจายไปทั่วร่าง นางกัดฟันเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านพี่ก็กลับไปเถิด ข้าจะอยู่กับจังเกอที่นี่เอง”

 

 

นางไม่เชื่อว่าความผูกพันฉันสามีภรรยาที่ผ่านมาหลายปี กับบุตรชายน่ารัก และกิจการที่กำลังเจริญรุ่งเรืองนี้จะรั้งเขาไว้ไม่ได้!

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset