วาสนาบันดาลรัก 214

ตอนที่ 214

“ที่เป่ยเหอเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” องค์ชายหกกลับถึงตำหนักก็ถอดเสื้อคลุมออก ยกข้าร้อนขึ้นดื่ม

 

 

เป็นองค์ชายมิอาจทำตัวสนิทกับขุนนางได้ ในอดีตหลัวเทียนเฉิงเป็นเพียงองครักษ์ยังพอทำเนา แต่ยามนี้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ ยิ่งมิอาจไม่หลบเลี่ยง

 

 

แต่องค์ชายหกรู้สึกนับถือในตัวหลัวเทียนเฉิงยิ่ง โดยเฉพาะวันที่ได้เห็นเขาต่อสู้กับพยัคฆ์ร้ายนั้น และการกระทำที่ทำให้คนในหน่วยองครักษ์จิ่นหลินยอมรับนับถือเขาหลังจากได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการนั้นอีกยิ่งทำให้กู่หมิงที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเช่นเดียวกับเขาดูธรรมดาไปเลยทีเดียว เขานับเป็นบุคคลผู้มีความสามารถอย่างยากจะพบเห็นได้

 

 

แม่ทัพที่เก่งกาจนั้นหายากยิ่ง โดยเฉพาะแม่ทัพที่เก่งกาจทั้งยังหนุ่มแน่น

 

 

องค์ชายหกยิ้มหยันให้แก่ตน

 

 

บุคคลที่มีอำนาจบารมีมากล้ำเหล่านั้น จะมีผู้ใดให้ความสำคัญกับองค์ชายที่ไร้อำนาจเช่นเขาเล่า?

 

 

แต่หลัวเทียนเฉิงที่ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นองครักษ์อยู่ในวังกลับคอยเตือนเขาอย่างคล้ายมีเจตนาคล้ายไม่เจตนาอยู่คราสองคราทำให้งานของเขาสำเร็จลุล่วงไปได้ดี

 

 

“ศพของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงน่าจะมาถึงเมืองหลวงไม่เกินสามวันนี้พ่ะย่ะค่ะ” คนของเขาเอ่ยรายงาน

 

 

“ตลอดทางนั้นคงคึกคักไม่เบากระมัง?”

 

 

คนของเขาอึ้งงันไปแล้วพยักหน้า “คล้ายว่ามีหลายฝ่ายยื่นมือเข้ามาสอดแทรก มิเช่นนั้นศพคงถึงตั้งแต่สองวันก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

องค์ชายหกวางถ้วยชาลงบนโต๊ะตัวเล็ก มุมปากเคลือบรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ควรจะเข้าร่วมสนุกด้วยสักหน่อย”

 

 

“องค์ชาย จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ?” คนของเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ

 

 

เรื่องนี้ผู้ใดจะยื่นมือเข้าแทรกล้วนกระทำได้ แต่องค์ชายไม่ควรอย่างยิ่ง หากจักรพรรดิทราบเข้า คงแย่เป็นแน่

 

 

“บอกให้เจ้าไปก็ไป จะพูดอันใดให้มากความ แค่อย่าทิ้งร่องรอยไว้ก็พอ อย่างไรก็ห้ามให้ศพนั้นเข้ามาในเมืองหลวงได้”

 

 

คนผู้หนึ่งที่สามารถต่อกรกับพยัคฆ์ร้ายได้ จะตายเพียงเพราะม้าตกใจวิ่งเข้าป่าหรือ?

 

 

หากเขาเชื่อก็คงเลอะเลือนไปแล้ว คงมีคนอยากจะได้ตำแหน่งผู้สืบทอดเจิ้นกั๋วกงไปอย่างสบายๆ มากกว่า

 

 

นอกจากรัชทายาทแล้ว ก็เป็นองค์ชายรองที่อายุมากที่สุด ส่วนองค์ชายสามนั้นมีอำนาจมากที่สุดเพราะตระกูลมารดาคอยค้ำชู องค์ชายสี่มีความสามารถทั้งชื่อเสียงโด่งดัง องค์ชายห้าดื้อรั้นจนเสด็จพ่อต้องมองพระเนตรเขียว หากเขายังไม่ทำอันใดสักอย่างบ้าง การทุ่มเทเก็บหางตนไว้อย่างระมัดระวังของเขาคงสูญเปล่ากลายเป็นเพียงคนนั่งดูละครเท่านั้นแล้ว

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นโค้งตัวแล้วถอยหลังออกไป

 

 

องค์ชายหกพลันคิดอันใดขึ้นมาได้จึงยกมือเรียกเขาไว้ “เดี๋ยวก่อน”

 

 

คนผู้นั้นหยุดชะงักทันที “องค์ชายมีอันใดจะกำชับหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

“ฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเล่า…หาพบแล้วหรือไม่?”

 

 

คนผู้นั้นมององค์ชายหกด้วยแววตาสงสัยคราหนึ่ง

 

 

องค์ชายหกถูกมองเช่นนั้นก็เขินอายจนกลายเป็นโทสะ จึงเอ่ยตำหนิว่า “ข้าถามเจ้าอยู่ได้ยินหรือไม่!”

 

 

สติปัญญาของข้ารับใช้เหล่านี้ไปงอกอยู่ที่ก้นหมดแล้วหรือไร?

 

 

แววตาที่คล้ายบอกว่า ‘ท่านสอบถามเรื่องของภรรยาผู้อื่นไปไย…เสียสติแล้วหรือไร’ เช่นนั้นคือเรื่องราวใดกัน?

 

 

เป็นเพราะตอนที่เข้าไปเยี่ยมคารวะไท่เฟยแล้วเห็นพระองค์ทรงโศกเศร้าเพราะการหายตัวไปของนางเจินจึงได้เอ่ยถามดูเท่านั้น มิได้มีใจให้นางเสียหน่อย!

 

 

“ยังคงไม่มีข่าวคราวใดพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าใต้เท้ากู่กำลังคิดจะเข้าวังเพื่อทูลรายงานพ่ะย่ะค่ะ…”

 

 

“ยังหาคนไม่เจอด้วยซ้ำ กู่หมิงกลับจะเข้าวังมาทูลรายงาน?” องค์ชายหกหน้าขรึมขึ้นมา

 

 

คนผู้นั้นจึงเหลือบมองเขาอย่างแปลกใจอีกครา

 

 

องค์ชายหกบิดเบ้มุมปากตนแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าขึงขัง “เสด็จพ่อให้เขาไปตามหาคน แต่กู่หมิงผู้นี้กลับทำตัวไม่เข้าท่าขึ้นทุกวัน”

 

 

คนผู้นั้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นได้แต่เอ่ยในใจว่าอย่างน้อยกู่หมิงก็เป็นผู้บังคับบัญชาเป็นขุนนางขั้นสี่ เมื่อหาคนไม่พบก็คงมิอาจเฝ้าอยู่ที่นั่นไม่ไปไหนกระมัง?

 

 

หน่อยองครักษ์จิ่นหลินเพิ่งจะก่อตั้งและกำลังอยู่ในช่วงจัดแบ่งอำนาจ หากรอไปอีกครึ่งปีผู้อื่นคงมีที่ยืนอันมั่นคงกันหมด แต่ครั้นเอ่ยถึงผู้บัญชาการกู่หรือ?

 

 

อ้อ ยังอยู่ที่เหอเป่ย เฝ้าค้นหาภรรยาของผู้บัญชาการหลัวอยู่อย่างไรเล่า

 

 

ว่าไปแล้ว ภรรยาผู้อื่นหายตัวไปก็มิได้เกี่ยวอันใดกับองค์ชายเสียหน่อย

 

 

หรือว่าเขามองข้ามสิ่งใดไป?

 

 

เขาต้องมองข้ามสิ่งใดไปแน่!

 

 

“รีบไปจัดเรื่องให้เรียบร้อยเถิด!” องค์ชายหกยกเท้าขึ้นเตะด้วยใบหน้าดำคล้ำ

 

 

เหตุใดแววตาของข้ารับใช้ผู้นี้จึงแปลกขึ้นทุกที เขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก!

 

 

อากาศที่เหอเป่ยคล้ายว่าจะหนาวกว่าเมืองหลวงอยู่มาก เม็ดฝนที่หนาใหญ่คล้ายน้ำแข็งตกกระทบลงบนกาย ทำให้รู้สึกเย็นเยือกเหน็บหนาว

 

 

กู่หมิงจูงม้าเข้าไปหานายท่านรองสกุลเจินแล้วยกมือประกบกันแสดงความเคารพ “ใต้เท้าเจิน ที่นี่คงต้องรบกวนท่านแล้ว”

 

 

ใบหน้าของนายท่านรองสกุลเจินเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันสุขุม “ใต้เท้ากู่เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณท่าน”

 

 

กู่หมิงถอนหายใจออกมา “ได้อย่างไรกัน ข้าตามหาคนมานานเพียงนี้แต่ก็หาไม่พบ คงต้องกลับไปขอรับโทษแล้ว”

 

 

ในใจเขารู้สึกชื่นชมนายท่านรองสกุลเจินอยู่หลายส่วน หลานสาวที่ออกเรือนไปแล้วหายสาบสูญ เขาถึงกับยื่นหนังสือลาระยะยาวเพื่อมาตามหา แต่จวนกั๋วกงกลับส่งมาเพียงหลานชายเพียงคนเดียว

 

 

หากมิใช่เพราะใต้เท้าเจินมาที่นี่ เขามีหรือจะสามารถไปจากที่นี่ได้

 

 

“กู่หมิง…” เสียงหนึ่งดังลอยมา

 

 

คนทั้งสองหันไปมองจึงเห็นเงาร่างสีแดงควบม้าใกล้เข้ามา

 

 

เมื่อมาถึงตรงหน้าก็พลิกกายลงจากหลังม้า ชูสยาจวิ้นจู่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง

 

 

“ถวายพระพรองค์หญิง” คนทั้งสองทำความเคารพพร้อมกัน

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่เคาะแส้ม้าที่พับเก็บใส่มือตนคราหนึ่งพลางชำเลืองมองกู่หมิง “ใต้เท้ากู่ ได้ยินว่าท่านจะกลับเมืองหลวงหรือ?”

 

 

กู่หมิงปาดเหงื่อเย็นตนคราหนึ่ง

 

 

องค์หญิงพระองค์นี้ช่างเกาะติดไม่ปล่อยจริงๆ หลังจากเกิดเรื่องที่เหอเป่ยก็ดึงดันจะอยู่ที่นี่ให้ได้ และคอยจับจ้องการทำงานของตนทุกวัน เขาจะล้มเลิกการตามหาเร็วหน่อยก็มิได้ เขาเหนื่อยจนแทบกลายร่างเป็นสุนัขแล้ว

 

 

ตอนที่ได้รับคำสั่งให้กลับเมืองหลวงเขายังลอบดีใจที่องค์หญิงชูสยาไปเมืองชิงหยางยังไม่กลับ คิดไม่ถึงว่าจะกลับมาเร็วเพียงนี้

 

 

“เหตุใดใต้เท้ากู่จึงไม่ตอบเล่า?”

 

 

“หม่อมฉันมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ วันนี้หม่อมฉันได้รับพระบัญชาให้กลับเมืองหลวงจึงมิกล้าชักช้า ทำให้มิได้รอทูลลาองค์หญิงก่อน”

 

 

ตามโครงสร้างการก่อตั้งหน่วยองครักษ์จิ่นหลินนั้นควรต้องมีผู้บัญชาการสี่คน ตอนนี้มีเพียงสามคนเท่านั้น ศพของคุณชายผู้สืบทอดหลัวถูกเคลื่อนเข้าเมืองหลวงไปแล้ว เขาก็ตามหาคนอยู่ที่นี่ ในเมืองหลวงจึงมีผู้บัญชาการเพียงคนเดียว ย่อมต้องยุ่งมากเป็นแน่ ฝ่าบาทให้เขาอยู่ที่นี่นานถึงเพียงนี้ก็นับเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากยิ่งแล้ว

 

 

“ฮึ!” ชูสยาจวิ้นจู่สะบัดแส้ม้าออกคราหนึ่ง

 

 

เมื่อเอ่ยถึงเจาเฟิงตี้ นางย่อมมิอาจพูดสิ่งใดได้ จึงทำได้เพียงบึ้งตึงใส่กู่หมิงเท่านั้น

 

 

นายท่านรองสกุลเจินจึงเอ่ยขึ้น “องค์หญิง หม่อมฉันมาแทนใต้เท้ากู่แล้ว ผู้ที่หายสาบสูญไปคือหลานสาวของหม่อมฉัน หม่อมฉันย่อมต้องทุ่มเทสุดกำลังเพื่อตามหานางแน่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวมีสีหน้ากังวล แต่ยังคงท่าทีสง่างามมั่นคง เมื่อเอ่ยอธิบายอ่อนโยนเช่นนี้ ชูสยาจวิ้นจึงไม่มีวาจาใดจะกล่าว ทำได้เพียงถลึงตาใส่กู่หมิงคราหนึ่งเท่านั้น “แล้วแต่ท่านเถิด”

 

 

กู่หมิงยิ้มขืน เมื่อกล่าวอำลาแล้วจึงจากไป

 

 

“ขอเชิญองค์หญิงเสด็จกลับที่ประทับก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่จูงม้าเดินกลับมา เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ใต้เท้าเจิน ท่านว่าคุณหนูสี่อยู่ที่ใดหรือ เหตุใดจึงหาไม่พบเล่า? ”

 

 

นายท่านรองสกุลเจินสะบัดเม็ดฝนบนร่างตนออกแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “องค์หญิงมิต้องทรงเป็นกังวล หม่อมฉันเชื่อว่าเมี่ยวเอ๋อร์จักต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่องค์หญิงทรงต้องถนอมพระวรกายพระองค์ด้วย”

 

 

ธนูดอกนั้นพุ่งเป้ามาที่ชูสยาจวิ้นจู่ แต่องค์หญิงกลับดึงดันที่จะอยู่ที่นี่ ความปลอดภัยของนางย่อมต้องสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด

 

 

“ใต้เท้าเจินคงมิได้คิดว่า การที่ข้าผู้เป็นองค์หญิงอยู่ที่นี่เป็นการเพิ่มความยุ่งยากกระมัง?” ชูสยาจวิ้นจู่มองหน้านายท่านรองสกุลเจินพลางเอ่ย

 

 

นายท่านรองสกุลเจินคิดไม่ถึงว่าชูสยาจวิ้นจู่จะถามออกมาตามตรงเช่นนี้จึงอดอึ้งไปมิได้ แล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันอ่อนโยน “หม่อมฉันไม่มีทางคิดเช่นนั้นแน่พ่ะย่ะค่ะ แต่กลับรู้สึกขอบพระทัยพระองค์ยิ่งที่ทรงประทับอยู่ที่นี่ ทำให้ทุกคนยังจดจำที่แห่งนี้ได้”

 

 

“ท่าน…ท่านรู้หรือ?” ชูสยาจวิ้นจูมิอาจเอ่ยความรู้สึกที่มีอยู่ในใจได้ รู้สึกได้เพียงขอบตาที่ร้อนผ่อนของตน

 

 

แรกเริ่มที่นางดึงดันจะอยู่ที่นี่ คนทั้งหลายคงเข้าใจว่านางดื้อด้านไม่รู้ความ บนโลกใบนี้คงมีแต่นางคนเดียวที่เข้าใจ

 

 

นางไม่กล้าไป นางกลัวหากแล้วแต่กลับยังหาไม่เจอ เมื่อเวลาผ่านไป คนพวกนั้นก็จะกลับเมืองหลวงไปทูลรายงานอย่างเช่นที่ใต้เท้ากู่ทำ นางกลัวว่าพวกเขาจะลืมว่าที่นี่ยังมีคุณหนูสี่ที่ช่วยนางไว้จนไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่หรือตาย!

 

 

ขอแค่นางอยู่ที่นี่ ถึงรับรองได้ว่าจะมีทหารมากมายคอยตามหาคุณหนูสี่ และทำให้เสด็จอาผู้ปกครองใต้หล้านี้ไม่มีวันลืมเรื่องนี้

 

 

นายท่านรองสกุลเจินผลิยิ้มเบาบาง “หม่อมฉันทราบพ่ะย่ะค่ะ เมี่ยวเอ๋อร์เป็นสหายของพระองค์ หากสหายของหม่อมฉันเกิดเรื่อง หม่อมฉันก็จะไม่ไปเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่พยักหน้า แล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มเป็นครั้งแรก

 

 

เวลานี้ที่อำเภอเป่าหลิง อากาศกลับสดใสยิ่ง

 

 

หลัวเทียนเฉิง เจินเมี่ยวและอาหู่ยืนพิจารณาอยู่นอกจวนสกุลหูครู่หนึ่ง หลัวทียนเฉิงเดินเข้าไปเคาะประตู

 

 

หลังจากนั้นไม่นานประตูใหญ่สีดำทะมึนก็ถูกเปิดออก บุรุษที่แต่งตัวเป็นคนรับใช้ยื่นหน้าออกมา“พวกเรามาเยี่ยมคารวะนายท่านจวนสกุลหู”

 

 

“เยี่ยมคารวะ?” บ่าวผู้เฝ้าประตูพินิจคราหนึ่ง แล้งขมวดคิ้วมุ่น

 

 

นายท่านเคยบอกไว้แล้วว่า สองสามวันนี้อาจจะมีแขกมาเยี่ยมเยือน แต่การแต่งกายกลับไม่เป็นอย่างที่นายท่านบอกไว้

 

 

ทว่าเมื่อมองจากลักษณะของแขกที่มานั้น เขากลับเริ่มไม่แน่ใจ จึงลองเอ่ยถามดู “พวกท่านมาจากเมืองชิงหยางหรือไม่?”

 

 

เมืองชิงหยาง?

 

 

หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลง ความรู้สึกบอกว่าบ่าวรับใช้ผู้นี้คิดว่าพวกเขาเป็นใครสักคนหนึ่ง แต่เพื่อพบกับนายท่านของจวนแห่งนี้เขาจึงพยักหน้ารับ

 

 

อย่างไรก็ตามเมื่อพบหน้าก็คงทราบเองว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร ถึงตอนนั้นแม้นจะถูกเปิดโปงก็มิเป็นไร แต่สำคัญคือต้องรีบไปพบกับคนผู้นั้นให้เร็วที่สุด พวกเขาเสียเวลามามากแล้ว ยังไม่ทราบว่าท่านย่าจะเป็นห่วงจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

 

 

โดยเฉพาะเรื่องมือสังหารในโรงเตี๊ยมนั้นอีก เขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญแม้แต่น้อย แต่อย่างไรเขาก็หลุดพ้นจากการปิดล้อมของศัตรูมาได้แล้ว

 

 

หรืออาจเพราะที่นี่ค่อนข้างกันดารห่างไกล จึงสามารถสลัดหลุดคนเหล่านั้นได้โดยง่าย หากเป็นเมืองใหญ่ก็ไม่แน่ว่าจะมีคนมากมายรอเขาอยู่ก็ได้

 

 

ครั้นได้ยินว่ามาจากเมืองชิงหยาง บ่าวผู้เฝ้าประตูก็เปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มทันที “ทุกท่านโปรดรอสักครู่ ผู้น้อยไปรายงานนายท่านก่อน”

 

 

ไม่นานบ่าวผู้เฝ้าประตูก็กลับมาเปิดประตูใหญ่ออก ชายที่ท่าทางคงเป็นพ่อบ้านเดินออกมา เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “เชิญท่านทั้งสามเข้ามาด้านในเถิด”

 

 

เมื่อเข้าไปนั่งในห้องโถง พ่อบ้านจึงเอ่ยว่า “ผู้น้อยเป็นพ่อบ้านจวนสกุลหู ชื่อสกุลคือหูเช่นกันขอรับ”“พ่อบ้านหู” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงราบเรียบ

 

 

แม้นเขาจะสวมชุดธรรมทั่วไป แต่ท่าทีดั่งคุณชายสูงศักดิ์ที่มีนั้นกลับมิอาจปิดบังไว้ได้

 

 

เมื่อหันไปมองสตรีที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างบุรุษผู้นั้นก็เห็นว่านางนั่งหลังตรง ก้มหน้าลงเล็กน้อย ท่าทางมิเหมือนสตรีชาวบ้านทั่วไปอย่างแน่นอน

 

 

“คือนายท่านของเราออกไปตรวจดูไร่ด้านนอก เหลือเพียงนายท่านผู้หญิงจึงไม่สะดวกพบแขก ท่านทั้งสามต้องการพักผ่อนรอก่อนหรือไม่ขอรับ?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถามต่อว่า “ไปตรวจไร่เวลานี้หรือ?”

 

 

“ขอรับ เพราะในไร่กำลังทำชาแท่งเหมือนที่ส่งไปที่ชิงหยางเมื่อไม่นานมานี้ นายท่านจึงไปตรวจดูอีกรอบ ถึงยามพลบค่ำก็จะกลับมาขอรับ”

 

 

พ่อบ้านพูดพลางโห่ร้องอยู่ในใจ

 

 

นายท่านคาดเดาไม่ผิดเลยจริงๆ ตระกูลเว่ยส่งคนออกมาขัดขวางการส่งชาแท่งรอบนั้น เคราะห์ดีที่สามารถส่งชาไปถึงอย่างปลอดภัย แต่ได้ยินมาว่าคนที่ตระกูลเว่ยส่งไปยังมิได้กลับมาเลย คงมิใช่เพราะทำงานไม่สำเร็จจึงหลบหนีไปแล้วกระมัง?

 

 

คนของชิงหยางกลับมาถึงนี้อย่างรวดเร็วเพียงนี้ ดูท่าคงสนใจในชาแท่งชนิดใหม่นี้อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจได้คู่ค่าใหม่ ทำให้ชานี้กลายเป็นชาที่ใช้เฉพาะในวังหลวงก็เป็นได้

 

 

“อืม” หลัวเทียนเฉิงรับคำเสียงเรียบ

 

 

เจินเมี่ยวก้มหน้าต่ำ เม้มริมฝีปากไว้ นางอยากยิ้มออกมาเหลือเกิน

 

 

ช่างรู้จักคล้อยตามได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เขาไปเรียนรู้กับผู้ใดมาหรือ?

 

 

หากพูดคุยต่อไปคงมิถูกจับได้แล้วถูกไล่ออกไปเพราะเขาเข้าใจว่าเป็นนักต้มตุ๋นกระมัง?

 

 

ในเวลานี้เอง หญิงสาวท่าทางเหมือนสาวใช้ก็เดินเข้ามาหยุดยืนที่หน้าประตูแล้วร้องเรียกพ่อบ้านหูคราหนึ่ง

 

 

พ่อบ้านหูจึงกล่าวขออภัยแล้วเดินไปถาม “มีเรื่องอันใดหรือ?”

 

 

สาวใช้เอ่ยเสียงต่ำว่า “คุณชายไม่กินข้าวอีกแล้ว งอแงจะกินขนมฮวาเกา นายท่านผู้หญิงให้ท่านสั่งคนไปซื้อ” 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset