วาสนาบันดาลรัก 212

ตอนที่ 212

เสียงฮึในลำคอดังขึ้นกลบเสียงวุ่นวายจากภายนอกจนหมด

 

 

แสงเทียนถูกจุดขึ้น เงาร่างของคนปรากฏขึ้นที่นอกหน้าต่าง หลัวเทียนเฉิงเปิดประตูออกทันที

 

 

ประตูบนชั้นสองต่างเปิดออก ผู้คนต่างทยอยเดินออกมา บางคนก็วิ่งเลยลงไปยังชั้นหนึ่ง

 

 

พลันมีคนถามขึ้นว่า “ห้องไหนหรือ?”

 

 

“ห้องนั้น…” คนที่ตอบยกมือขึ้นชี้ไปที่ห้องหลัวเทียนเฉิง

 

 

หลัวเทียนเฉิงจำได้ว่า คนเหล่านี้เป็นบ่าวที่มากับบุรุษหนุ่มผู้นั้น

 

 

เขามิได้สนใจคนเหล่านั้นแต่หันกลับไปมองบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่บนชั้นทางเดิน คิ้วเรียวหยักยกขึ้นพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ “ไม่ทราบว่านี้หมายความเช่นไร?”

 

 

บุรุษหนุ่มผู้นั้นยังตาปรืออยู่เลย เสื้อคลุมตัวยาวที่สวมอยู่ยังมิทันผูกเสร็จด้วยซ้ำ เห็นชัดว่ากำลังหลับสนิทแต่เกิดมีเสียงเอะอะจึงรีบร้อนใส่เสื้อคลุมออกมาทั้งที่ยังงัวเงียอยู่ เขาไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่จึงเอ่ยตำหนิคนเหล่านั้นว่า “ดึกดื่นค่อนคืน เอะอะอันใดกัน?”

 

 

จินต้าหน้าดำคล้ำดุจก้อนดิน “นายน้อย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว จินอู่ถูกฆ่าขอรับ!”

 

 

“อันใดกัน?” บุรุษหนุ่มพลันตื่นเต็มตาขึ้นมา แววตาสว่างวาบขึ้นในความมืดมิด “พูดให้ชัดเจนสิ เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?”

 

 

เวลานี้ระเบียงทางเดินเต็มไปด้วยผู้คน เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ได้ยินว่ามีคนตายก็แทบจะขาอ่อนล้มพับไป จึงได้แต่จับเสาโรงเตี๊ยมไว้แล้วจ้องมองจินต้าเขม็ง

 

 

จินต้ารีบเอ่ยอธิบายว่า “ข้าน้อยและพวกถูกจัดให้ปูผ้านอนรวมกันในห้องโถง เมื่อครู่ข้าปวดเบาขึ้นมาจึงตื่น เมื่อรู้สึกว่ามีคนนอนทับอยู่บนขาก็จ้องมองดูพบว่าเป็นจินอู่ ตอนนั้นข้าน้อยยังด่าทอว่าเขามินอนให้เรียบร้อยทั้งยังเตะเขาไปคราหนึ่ง ผู้ใดจะทราบเขากลับตัวแข็งทื่อไม่ขยับสักนิด ข้าน้อยรู้สึกผิดปกติจึงพลิกตัวเขาขึ้นมาดูจึงเห็นรอยเลือดที่มุมปากและหมดลมไปนานแล้ว”

 

 

กล่าวถึงตรงนี้จินต้าก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาภายหลัง เขาเอ่ยต่อว่า “ตอนนั้นข้าน้อยตกใจจนอึ้งไป ขณะที่กำลังตะลึงลานอยู่นั้นก็เห็นเงาดำวิ่งขึ้นชั้นสองวิ่งเข้าไปในห้องนั้น…” พูดพลางชี้ไปที่ห้องหลัวเทียนเฉิง

 

 

หลัวเทียนเฉิงขยับถอยหนึ่งก้าวเพื่อหลีกให้เปิดประตูห้อง แล้วเอ่ยว่า “เจ้าช่างตาดีนัก เมื่อครู่บอกว่ากำลังตกตะลึงแต่กลับเห็นชัดว่าเดินเข้าไปในห้องข้า?”

 

 

โรงเตี๊ยมแห่งนี้มิได้โอ่อ่าสวยงามเช่นในเมืองหลวง ห้องโถงชั้นหนึ่งมีไว้ให้คนมาดื่มกิน ด้านบนมีระเบียงทางเดินซึ่งเรียงรายไปด้วยห้องพักแขกที่เรียงติดกันนับสิบห้อง ประตูทุกห้องหน้าตาเหมือนกัน แค่เลขที่แขวนอยู่หน้าห้องจะต่างกันออกไป เมื่อเป็นเช่น คนที่ยืนอยู่ห้องโถงชัดล่างคงไม่อาจมองเลขห้องที่อยู่ด้านบนได้อย่างชัดเจนในเวลาดึกดื่นเช่นนี้แน่

 

 

จินต้าก็อึ้งงันไปเช่นกัน ใบหน้าปรากฏความมึนงงหลายส่วน

 

 

“จินต้า เจ้าพูดมาให้ชัดเจน เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” บุรุษหนุ่มเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิด

 

 

ข้ารับใช้แค่เพียงคนเดียวนั้นมิได้มีค่าอันใดมากมาย แต่หากมีคนคิดร้ายต่อเขาขึ้นมาย่อมมิอาจไม่ป้องกันไว้ก่อน

 

 

“ข้าน้อย ข้าน้อยเห็นว่า…” ความแน่ใจจของจินต้าในตอนแรกเปลี่ยนเป็นความลังเล

 

 

หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมาพลางมองไปที่เถ้าแก่ “โรงเตี๊ยมท่านเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น พรุ่งนี้ก็แค่ไปแจ้งความ ข้าขอตัวกลับห้องไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า”

 

 

มิรอให้เถ้าแก่พูดอันใด จินต้าก็ถลึงตาขึ้น “ไม่ได้ ข้าเห็นว่าคนวิ่งไปทางนั้นชัดๆ มันต้องเป็นคนร้ายแน่นอน คนต้องอยู่ในห้องพวกท่านสองสามห้องนี้เป็นแน่ หากรอถึงพรุ่งนี้เช้า คนร้ายหนีไปแล้วจะทำฉันใด?”

 

 

บุรุษหลายคนที่ยืนอยู่ข้างจินต้าเอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้ว นายน้อย เรามิอาจยอมให้จินอู่ต้องตายเปล่า”

 

 

บุรุษหนุ่มมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่งแล้วเอ่ยกับเถ้าแก่ว่า “เถ้าแก่ ท่านก็ได้ยินชัดแล้ว เรื่องเกี่ยวกับชีวิตคน เราอยากจะตรวจค้นดูสองสามห้องนี่สักหน่อย”

 

 

เกิดการฆาตกรรมขึ้นในโรงเตี๊ยม เถ้าแก่นั้นตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้นก็พยักหน้าทันที

 

 

คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในห้องที่หลัวเทียนเฉิงพัก

 

 

หลัวเทียนเฉิงยื่นมือเข้าขวางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใด “ไม่ได้”

 

 

แม้นบุรุษจะไม่อยากมีเรื่อง แต่ก็เริ่มหงุดหงิดแล้วเช่นกัน จึงเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “หรือพี่ชายไม่บริสุทธิ์ใจ?”

 

 

บิดาของเขามีความสัมพันธ์อันดีกับนายอำเภอที่นี่ เมื่อเกิดเหตุฆาตกรรมก็ต้องไปติดต่อที่ศาลาว่าการ เขาไม่กลัวว่าคนผู้นี้จะทำอันใดเขาได้สักนิด

 

 

“ภรรยาข้ายังอยู่ในห้อง จะสะดวกให้พวกท่านเข้าไปค้นได้อย่างไร?”

 

 

“คงไม่กล้าให้ตรวจค้นกระมัง? ข้างในนั้นต้องมีอาวุธลับอยู่แน่!” ไม่ทราบว่าผู้ใดในกลุ่มแหกปากตะโกนออกมา

 

 

บุรุษใบหน้าตุ๊กตากับสหายมองหน้ากันแล้วยิ้มขืนออกมา

 

 

คนทั้งสามนี้ช่างเป็นดาวมฤตยูจริงๆ ไปที่ใดก็มีคนตายที่นั่น

 

 

เรื่องอื่นเขาไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ แม่นางน้อยอ้อนแอ้นผู้นั้นมีมีดตัดฟืนอยู่ในห่อสัมภาระ!

 

 

เมื่อมีคนช่วยสนับสนุน จินต้าและพวกพ้องก็ยิ่งลำพอง

 

 

พี่น้องเหล่านี้ของเขาล้วนฝึกเป็นผู้คุ้มกันมาด้วยกัน ความสัมพันธ์มิใช่ธรรมดา ไหนเลยจะลืมตาดูพี่น้องตนตายไปต่อหน้าได้ หากไม่กระชากตัวคนร้ายออกมาตอนนี้ พรุ่งนี้ค่อยไปตามจับ บุปผาคงเ**่ยวกับข้าวคงเย็นชืดแล้วเป็นแน่

 

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังโวยวายกันอยู่นั้น เสียงประตูก็ดังขึ้น เจินเมี่ยวสวมชุดสีเขียวเปิดประตูออกมายืนอยู่หน้าประตู

 

 

ทุกคนพลันเงียบเสียงลงทันที

 

 

เจินเมี่ยวเบี่ยงตัวหลบแล้วเปิดประตูกว้างขึ้น

 

 

“ดูชัดแล้วหรือไม่ นอกจากข้าและสามี ข้าในยังมีอันใดอีกหรือไม่?”

 

 

ภายในห้องได้จุดเทียนไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเปิดห้องออกกว้างจึงสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน

 

 

“ไม่แน่ว่าฆาตกรอาจจะเป็นหนึ่งในพวกเจ้าสองคนก็เป็นได้ แล้วอาวุธก็…”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยตัดบทคนผู้นั้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ไม่ว่าจะเป็นชิงทรัพย์ หรือขืนใจ เราสองคนก็คงมิลงมือกับบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งทั้งที่ไม่รู้จักหน้ากันด้วยซ้ำกระมัง” แต่กลับลอบคำนวณเวลาอยู่ในใจตน

 

 

คงใกล้ถึงยามสี่แล้วกระมัง และในเวลานี้เองเสียงฆ้องก็ดังขึ้น

 

 

มง…มง มง มง!

 

 

เสียงฆ้องดังขึ้นติดกันสามครานั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

 

หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดุจวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างแล้วก็มิปาน

 

 

“มี มีคนตาย…”

 

 

ทุกคนต่างหันไปมองหน้ากัน

 

 

“ไปดูสิว่าข้างนอกเกิดเรื่องใดขึ้น!” บุรุษหนุ่มเอ่ยกำชับ

 

 

ไม่นานบุรุษสองคนที่ออกไปดูก็กลับมาด้วยสีหน้าขาวซีด

 

 

หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า “พบศพสตรีผู้หนึ่งที่หัวมุมถนนเส้นหลักขอรับ สตรีผู้นั้นเหมือนจะเป็นหญิงสาวที่ใช้แส้เมื่อวาน และนางก็พักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ด้วยขอรับ”

 

 

“ไม่ผิด”อีกผู้หนึ่งจึงพยักหน้าหงึกหงัก “ชุดที่นางใส่ก็เป็นชุดเดียวกับเมื่อกลางวัน ตอนนั้นข้าน้อยรู้สึกว่าแปลกใหม่ยิ่งจึงได้มองดูอยู่หลายครา”

 

 

สตรีผู้นั้นสวมใส่ชุดรัดรูปทุกสัดส่วนซึ่งน้อยนักจะพบเห็นได้เช่นนี้

 

 

ทุกคนต่างตกตะลึงกันไปหมด เสี่ยวเอ้อร์จึงรีบวิ่งเข้าไปที่ห้องสตรีผู้นั้น เมื่อผลักประตูเข้าไปก็พบแต่ความว่างเปล่า เมื่อดูละเอียดแล้วจึงเอ่ยรายงานถึงสภาพภายในว่า “เถ้าแก่ ไม่มีคนอยู่จริงๆ ขอรับ”

 

 

ครานี้เอง คนทั้งหมดจึงคิดเชื่อมโยงไปได้ว่าจินอู่คงถูกสตรีผู้นี้ฆ่าตาย

 

 

แต่เมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีก

 

 

สตรีผู้นั้นฆ่าจินอู่แล้วหนีไป แต่เหตุใดจึงตายอยู่ด้านนอกนั้นเล่า?

 

 

เมื่อราตรีอันวุ่นวายผ่านไป มีคนต้องสูญชีวิตไปถึงสองคน ย่อมต้องมีมือปราบเข้ามาตรวจสอบ

 

 

แต่ความสงสัยในตัวแขกที่มาพักในโรงเตี๊ยมต่างถูกขจัดไปจนหมดสิ้น

 

 

เพราะตอนที่จินต้าร้องบอกให้จับคนร้าย คนในโรงเตี๊ยมต่างก็อยู่กันครบ ทั้งสถานที่พบศพของสตรีผู้นั้นก็ห่างจากโรงเตี๊ยมนับสิบจั้ง

 

 

ส่วนเรื่องที่สตรีผู้นั้นร่วงตกลงมาจนกระดูกแตกหัก ร่างแหลกเหลว กลับทำให้คนรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งกว่า

 

 

คดีนี้จึงกลายเป็นคดีที่มิอาจคลี่คลายได้ หลังจากนั้นก็มีเรื่องเล่ามากมายเล่าลือออกไป

 

 

แต่ที่เล่าลือกันมากที่สุดคือผู้ร้ายที่ลงมือฆ่าคนถูกวิญญาณร้ายทวงคืนชีวิต นี้แลที่เรียกว่าสวรรค์ย่อมมิปล่อยคนชั่วให้ลอยนวล แน่นอนว่านี้เป็นเรื่องเล่าหลังจากนั้น

 

 

บุรุษหนุ่มถูกมือปราบรั้งไว้เพื่อสอบปากคำทำให้เสียเวลายิ่ง สุดท้ายจึงยัดเงินให้เขาเพื่อจะได้หลุดจากคดีนี้

 

 

การตายของข้ารับใช้ผู้หนึ่งจะเทียบกับเรื่องสำคัญที่เขาต้องทำได้อย่างไร

 

 

หลัวเทียนเฉิงเจินเมี่ยวและอาหู่จากไปตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อสอบถามได้ความว่าจวนสกุลหูอยู่ทิศใต้ของเมือง หลัวเทียนเฉิงจึงจ้างรถม้าสองคันมุ่งหน้าไปยังทิศใต้

 

 

ตลอดทางนั้นเจินเมี่ยวต่างอดมองหลัวเทียนเฉิงมิได้

 

 

“อาซื่อ เจ้ามองอันใด? ข้าทำให้เจ้ากลัวใช่หรือไม่?” หลัวเทียนเฉิงยิ้มอ่อนโยน งดงาม

 

 

เสียงของเจินเมี่ยวออกจะแหบแห้งอยู่บ้าง “กลัวก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงหลุบม่านตาลงต่ำ เอ่ยเยาะหยันตนว่า”ใช่ ข้าทิ้งศพสตรีผู้นั้นออกไปอย่างไร้เยื่อใย ออกจะดูโหดร้ายไปหน่อย เจ้ากลัวก็มิใช่เรื่องแปลก”

 

 

เจินเมี่ยวบิดเบ้มุมปากตน แล้วเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “เรื่องความโหดร้ายนั้น ข้าคิดว่าพักเอาไว้ก่อนได้ แต่ท่านสามารถโยนศพของนางไปได้ไกลนับสิบจั้ง ท่านช่วยอธิบายเรื่องนี้สักหน่อยได้หรือไม่?”

 

 

เมื่อคิดถึงคืนเดือนดับ สายลมกระโชกแรง สามีของนางเปิดหน้าต่างแล้วทิ้งศพที่แข็งทื่อนั้นโยนออกไปไกลนับสิบจั้งด้วยท่าทีสุขุม ทำให้นางรู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าเหลือเชื่อนัก

 

 

ไม่มีแรงน้ำช่วยผลัก ทั้งไม่มีพลังดัชนีลมปราณ แล้วผู้ใดบอกนางได้ว่าเขาทำได้อย่างไร?

 

 

แพขนตาที่หลุบต่ำของหลัวเทียนเฉิงกะพริบไหวคราหนึ่ง วาดเป็นเส้นโค้งอันสวยงาม น้ำเสียงทุ้มต่ำกลัดกลุ้ม “อา ซื่อข้ารู้ว่าโยนออกไปไกลถึงเพียงนั้น ศพของนางย่อมแหลกเหลว เจ้าต้องคิดว่าข้ากระทำเรื่องที่โหดร้ายเกินไป”

 

 

กรอด!

 

 

เจินเมี่ยวแทบจะกัดฟันจนแตกละเอียดแล้ว

 

 

นางมิได้เอ่ยถึงปัญหาเรื่องความโหดร้ายเสียหน่อย!

 

 

หลัวเทียนเฉิงหยักยกมุมปากขึ้น ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในอก

 

 

จะให้เขาพูดอย่างไรเล่า หลังจากที่ฟื้นคืนมา ปริมาณข้าวที่เขากินจากมื้อละหนึ่งถ้วยกลายเป็นหนึ่งหม้อ พลังที่เขามีก็มากขึ้นจนน่าอัศจรรย์ใจ

 

 

“อาซื่อ ถึงจวนสกุลหูแล้ว “

 

 

รถม้าหยุดลง อาหู่กระโดดลงจากรถม้า แหวกผ้าม่านเปิดให้ หลัวเทียนเฉิงออกมาก่อน แล้วยื่นมือให้เจินเมี่ยว

 

 

เจินเมี่ยวจับมือเขาไว้แล้วลงค่อยลงจากรถม้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นป้ายหน้าจวนเขียนไว้ว่า ‘จวนสกุลหู’

 

 

เมื่อให้เงินค่าจ้างรถม้าแล้ว คนทั้งสามก็เดินเข้าไป

 

 

บุรุษใบหน้าตุ๊กตาที่เพิ่งขี่ม้าเลี้ยวเข้ามาเห็นก็พลันกระตุกเชือกม้าขึ้น

 

 

สหายเขาเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดจึงหยุดเล่า ถึงจวนสกุลหูแล้วมิใช่หรือ?”

 

 

“พวกเขา…พวกเขาก็มาเช่นกันหรือ?” บุรุษใบหน้าตุ๊กตาชี้นิ้วไปข้างหน้า

 

 

สหายของเขามองไปตามทิศทางที่เขาชี้ คราแรกคือความตกใจ แล้วค่อยเอ่ยว่า “ช่างบังเอิญจริงๆ มาก็มาสิ พวกเขามาแล้วเราก็จะไม่เข้าไปงั้นหรือ”

 

 

บุรุษใบหน้าตุ๊กตาน้ำตาไหลนองหน้า “เราไม่เข้าไปแล้วได้หรือไม่?”

 

 

สหายเขาจึงเอ่ยเตือนสติว่า “ที่นี่ไม่ใช่ป่าเขาลำเนาไพร เราจะกลัวเขาทำตัวส่งเดชไปไย? อีกอย่าง จากที่ข้าดู เรื่องที่เกิดขึ้นในวัดร้างนั้นเป็นเพราะคนพวกนั้นมีใจคิดร้ายก่อน แม้นเขาจะดูโหดเ**้ยมไม่น้อย แต่ก็มิใช่คนชั่วช้าอย่างที่สุดอันใดเทือกนั้น”

 

 

บุรุษใบหน้าตุ๊กตาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยว่า “ตอนอยู่ที่โรงเตี๊ยมข้าเห็นคนผู้นั้นทิ้งของบางอย่างลงไปนอกหน้าต่าง”

 

 

“ทิ้งของบางอย่าง? แม้นการทิ้งสิ่งของส่งเดชจะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่มันก็แค่บอกว่าเขาได้รับการสั่งสอนมาไม่มากพอเท่านั้น…”

 

 

บุรุษใบหน้าตุ๊กตามองสหายด้วยสายตาเจ็บปวด แล้วเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “โยนออกไปไกลนับสิบจั้ง…”

 

 

“ไกลนับสิบจั้ง? เช่นนั้นเขาก็เพียงแค่โยนทิ้งไปไกลหน่อยเท่านั้นเอง…” สหายของเขาพลันหยุดชะงัก

 

 

ไกลนับสิบจั้ง? ศพสตรีที่ร่างแหลกเละดุจเนื้อโคลนนั้นหรือ?

 

 

ร่างเขาซวนเซเล็กน้อยจนเกือบตกจากหลังม้า เอ่ยด้วยนัยน์ตาคลอน้ำตาอุ่นว่า “สหาย โลกนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน พวกเรากลับบ้านเถิด”

 

 

ลมหนาวพัดกระโชกมาโดยแรง คุณชายสามมองคนกลุ่มหนึ่งที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าอย่างกะทันหันอย่างสุขุมยิ่ง

 

 

คนพวกนี้มิเอ่ยสิ่งใดแม้เพียงคำ แต่กลับพุ่งเข้ามาหาโลงศพนั้นทันที

 

 

แต่พวกเขายังมิทันได้เข้าใกล้ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งกระโจนเข้ามาต่อสู้ขัดขวางพวกเขาไว้

 

 

คุณชายสามโบกมือเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ให้พวกเขาสู้กันไปเถิด เราล่วงหน้าไปก่อน”

 

 

เขาก็ไม่ทราบว่านี้เป็นกลุ่มที่เท่าใดแล้ว

 

 

แรกเริ่มเขายังทุ่มเทขัดขวางต่อสู้ แต่ผ่านไปไม่นานก็มีคนกลุ่มใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาอีก ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ฆ่าฟันกันครานี้เขาจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยอีก เดินๆ หยุดๆ อยู่เช่นนี้ทำให้การเดินทางช้าลงไปบ้างแต่ก็ใกล้เมืองหลวงเข้าไปทุกทีแล้ว

 

 

กระทั่งตอนนี้เขาก็คร้านจะใส่ใจแล้วว่าคนกลุ่มใดเข้ามาชิงโลงศพ คนกลุ่มใดเข้ามาหยุดยั้งการชิงโลงศพ

 

 

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องนำศพของพี่ใหญ่กลับเมืองหลวงให้จงได้

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset