วาสนาบันดาลรัก 210

ตอนที่ 210

หลัวเทียนเฉิงกันเจินเมี่ยวไว้ด้านหลัง มิให้นางมองเห็น แต่หลังจากอาหู่ได้เห็นก็วิ่งไปอาเจียนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หลังจากนั้นก็วิ่งซวนเซกลับมาแล้วเอ่ยด้วยความเสียใจว่า “น่าเสียดายยิ่ง”

 

 

บุรุษผู้มีใบหน้าตุ๊กตากับสหายของเขาสบตากัน

 

 

อย่างไรก็อายุยังน้อย จึงยังใจไม่แข็งพอ แต่กลับเห็นอาหู่เอ่ยถามเจินเมี่ยวอย่างระมัดระวังว่า “พี่สาว วันนี้ยังมีแผ่นแป้งไส้เนื้อให้กินอีกหรือไม่? เมื่อครู่ข้าอาเจียนออกไปหมดแล้ว น่าเสียดายยิ่ง…”

 

 

มารดามันเถอะ!

 

 

บุรุษใบหน้าตุ๊กตานั้นกับสหายของเขาลอบกล้ำกลืนโลหิตลงคอไป

 

 

หลัวเทียนเฉิงเดินขึ้นหน้าเข้ามาหนึ่งก้าว คนทั้งสองกำลังกังวลอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงเดินถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว แล้วฝืนยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “แหะๆ พี่ชาย เราสองพี่น้องมีเรื่องด่วน ขอตัวไปก่อน”

 

 

แม้นจะกล่าวเช่นนี้จริงแต่กลับมิกล้าหมุนกายจากไป ทำเพียงถอยหลังไปอีกเท่านั้น

 

 

ผู้ใดจะทราบว่าคนผู้นี้จะไม่ลงมือสังหารเขาทันทีที่หันหลังให้ หมาป่ามา เขากล้ายังอุ้มภรรยากระโดดขึ้นต้นไม้โดยไม่บอกกล่าวสักคำ

 

 

“เดี๋ยวก่อน” หลัวเทียนเฉิงร้องเรียกคำหนึ่ง

 

 

บุรุษใบหน้าตุ๊กตาหน้าขรึมลงทันที “พี่ชาย การสังหารให้หมดนั้นมิเกินไปหรอกหรือ?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป แล้วลูบใต้คางตน “อืม ผู้น้อยเพียงแค่จะถามทางเท่านั้น”

 

 

“ถามทาง?” ในเวลากะทันหันเช่นนี้บุรุษใบหน้าตุ๊กตาจึงยังมิทันเข้าใจความหมาย

 

 

ทว่าบุรุษอีกคนที่ดูจะอายุมากกว่าสักหน่อยกลับมีสีหน้าระแวดระวัง เห็นชัดว่าไม่เชื่อว่าที่ดาวสังหารผู้นี้มิยอมให้พวกเขาไปมิใช่แค่เพื่อจะถามทาง

 

 

เจินเมี่ยวคิดว่าพวกเขาคงติดภาพหลัวเทียนเฉิงอันโหดเ**้ยมเข้าไปถึงเบื้องลึกจิตใจแล้ว จึงเกรงว่าคนทั้งสองจะตึงเครียดจนมิเอ่ยบอกทาง นางเม้มริมฝีปากเอ่ยพลางยิ้มว่า “พวกเราอยากจะถามทางจริงๆ คิดว่าพี่ชายทั้งสองท่านคงดูออกว่าพวกเราเพิ่งออกมาจากหุบเขา ยังมิเคยเห็นโลกภายนอก…”

 

 

พวกเราดูไม่ออกจริงๆ นั้นแล!

 

 

คนทั้งสองกู่ร้องตะโกนอยู่ในใจอ่างบ้าคลั่ง

 

 

“เมื่องเสี้ยนที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นไปทางใดหรือ?” หลัวเทียนเฉิงคร้านจะเสียเวลาอีกแล้ว

 

 

ในวัดร้างแห่งนี้ยังมีศพพิการอยู่อีกนับสิบศพ ที่นี่มิใช่ที่ควรอยู่นานนัก

 

 

“เดินตรงไปตามถนนหน้าประตูวัดไป เมื่อพบทางแยกก็เลี้ยวขวาก็ถึงแล้ว” ผู้ดูมีอายุมากกว่าเอ่ยจบก็มองหลัวเทียนเฉิง “หากไม่มีเรื่องใดแล้ว เช่นนั้นเราขอตัวก่อนแล้ว”

 

 

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูดอันใด คนทั้งสองจึงเดินจูงม้าไป ในใจก็ลอบยินดีที่กลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้นนั้นดึงดูดความสนใจของฝูงหมาป่าไปจนหมดสิ้น ม้าสองตัวนี้จึงมีชีวิตรอดมาได้

 

 

ครั้นเห็นทั้งสองพลิกตัวขึ้นหลังม้า หลัวเทียนเฉิงพลันนึกอันใดขึ้นมาได้จึงรีบร้องเรียกไว้ว่า “รออีกเดี๋ยว!”

 

 

คนทั้งสองพลันนิ่งขึงไป แล้วล้วงมือยังตำแหน่งที่เก็บอาวุธลับ ค่อยหมุนกายกลับมาด้วยสีหน้าย่ำแย่

 

 

เป็นคนอย่างได้ทำอันใดเกินไป คิดฆ่าคนปิดปากก็ยังพอว่า แต่เขาถึงหลอกถามเอาประโยชน์แล้ว จึงค่อยฆ่าปิดปาก ต่อให้พวกเขาอ่อนแอเพียงใดก็รู้จักที่จะตอบโต้เช่นกัน!

 

 

คนทั้งสองหมุนกายกลับไปด้วยท่าทีองอาจแต่กลับเห็นบุรุษรูปงามนั้นยื่นมือออกมาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ในมือมีเงินวางอยู่

 

 

“พี่ชายทั้งสอง ภรรยาข้าร่างกายอ่อนแอ มิอาจเดินไกลเช่นนี้ได้ มิทราบพอจะสละม้าให้สักตัวได้หรือไม่?”

 

 

คนทั้งสองมองเจินเมี่ยวผู้มีร่างกายอ่อนแอคราหนึ่งแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก

 

 

หลังจากนั้นผู้ที่ดูมีอายุมากกว่าสักหน่อยก็วางเชือกใส่มือหลัวเทียนเฉิงอย่างรวดเร็ว แล้วกระโดดขึ้นม้าอีกตัวโดยไม่หยิบเอาแม้กระทั่งเงิน

 

 

บุรุษผู้มีใบหน้าตุ๊กตากระโดดตามขึ้นไป คนทั้งสองยกมือขึ้นประกบกันเป็นการแสดงความเคารพ แล้วจากไปโดยมิเอ่ยอันใดเพียงคำ

 

 

เจินเมี่ยวยืนเบิกตาอ้าปากค้าง “มิเอาเงินไป ให้เราเฉยๆ งั้นหรือ?”

 

 

“คงมิขาดเงินกระมัง” หลัวเทียนเฉิงเก็บเงินไว้แล้วอุ้มเจินเมี่ยวขึ้นม้า

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง

 

 

นางสามารถขึ้นขี่ม้าเองได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ มิจำเป็นต้องอุ้มนางก็ได้ เหตุใดอาศัยอยู่บ้านอาหู่แค่เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น คนผู้นี้กลับมีท่าทีชิดใกล้กับนางมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

หลัวเทียนเฉิงจูงม้าเดินไปสองก้าวก็หยุด “อาหู่ เจ้าจูงม้าเดินไปก่อน ข้านึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ”

 

 

อาหู่เป็นเด็กหนุ่มแสนซื่อ เขาจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

 

 

เจินเมี่ยวคิดว่าเขาคงต้องการจัดการกับอารมณ์กำดัดบางอย่างของตน จึงมิได้ถามอันใดให้มากความ

 

 

หลัวเทียนเฉิงเก็บสายตาตนแล้วหมุนกายเดินเข้าไปในวัดร้าง

 

 

ด้านหลังพระพุทธรูปที่ล้มลงมาภายในวัดร้างมีแผ่นหินพิงแอบกับพระพุทธรูปนั้นอยู่เกิดเป็นช่องเล็กแคบๆ

 

 

แผ่นหินนั้นกระเพื่อมไหว แล้วค่อยๆ ขยับเคลื่อนออก คนผู้หนึ่งพยายามเบียดตัวออกมาอย่างยากลำบาก แล้วนั่งลงบนพื้นหายใจหอบด้วยความเหนื่อย

 

 

สายตากวาดมองไปยังภาพคนนอนเกลื่อนกลาดดุจอยู่ในนรกก็ตัวสั่นขึ้นมา นัยน์ตาแดงก่ำ เขากัดฟันเอ่ยว่า “เหล่าพี่น้อง ข้าหูซานจักต้องแก้แค้นแทนพวกเจ้าแน่ รอให้กลับไปพบนายท่านสกุลตงก่อนเถิด ข้าจักออกค้นหาตัวคนทั้งสามนั้นออกมาให้ได้ แล้วสับพวกเขาเป็นพันชิ้น!”

 

 

“แค่กๆ” เสียงไออันแจ่มชัดลอยมา

 

 

คนผู้นั้นพลันหันกลับไปมองตรงหน้าประตู

 

 

ยามนี้ฟ้าสว่างแล้ว เสียงวิหคยามสารทต่างแผ่วต่ำ อาภรณ์ของบุรุษปลิวไสวดั่งต้นไผ่ต้อนรับสายลม เขายืนอย่างสง่าอยู่หน้าประตู งดงามดุจภาพฝัน

 

 

แต่คนผู้นั้นกลับตกใจยิ่ง เขาถอยหลังติดกันหลายก้าวดุจเห็นผี 

 

 

เกิดอันใดขึ้น?

 

 

มิใช่ว่าหลีกหนีจากภยันตรายแล้วควรได้รับความสุขในบั้นปลายหรือ เขาควรเปิดปฐมบทแห่งการแก้แค้นอันดุเดือดมิใช่หรือ?

 

 

แล้วเหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงย้อนกลับมาได้?

 

 

บุรุษหนุ่มผลิยิ้มบางเบา “ขออภัย ก่อนหน้านี้ข้ากลัวภรรยาตกใจกลัวจึงมิกล้าตรวจสอบให้              ละเอียด ตอนนี้ข้ากลับมาอุดรอยรั่วแล้ว”

 

 

คนผู้นั้น “…”

 

 

ไม่นานหลัวเทียนเฉิงก็ตามไปจนทัน

 

 

มีมาขี่แล้ว เจินเมี่ยวจึงรู้สึกสบายขึ้นมาก หลัวเทียนเฉิงกับอาหู่นั้น ผู้หนึ่งมีวรยุทธเก่งกาจ ผู้หนึ่งร่างกายบึกบึน การเดินทางจึงรวดเร็วขึ้นมากจึงถึงประตูเมืองก่อนที่ประตูจะปิดพอดี เมื่อให้เงินสักเล็กน้อยก็สามารถเข้าเมืองมาได้อย่างราบรื่น

 

 

สารทฤดูกำลังจะผ่านไป ฟ้าจึงมืดเร็วยิ่ง สองข้างทางของเมืองเล็กๆ นี้เต็มไปด้วยต้นไม้แน่นหนา แต่เงียบอย่างยิ่ง บ้านเรือนแต่ละหลังต่างจุดโคมไฟ แสงไฟทะลุหน้าต่างกระดาษส่องสว่างขึ้นในยามราตรีนี้ แม้นมิได้คึกคักอึกทึกเช่นเมืองหลวงแต่กลับให้ความรู้สึกสุขสงบอย่างยากจะพบเห็นชนิดหนึ่ง

 

 

หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้ว

 

 

เมืองเล็กๆ เช่นนี้ การที่มีคนภายนอกเข้ามาคงเด่นสะดุดตาไม่น้อย

 

 

ทว่านี้เป็นเรื่องที่ทำอันใดมิได้จริงๆ ตระกูลที่มารดาอาหู่เอ่ยถึงก็อยู่ในเมืองนี้ อย่างไรก็ต้องไปตรวจสอบสักหน่อย

 

 

อีกอย่าง ยามนี้ก็มิได้มีอันน่ากลัว พวกที่ซ่อนคอยหาโอกาสลงมือต่อเขาแม้นจะมีมากก็แยกกระจายกันไปยังที่ต่างๆ เพื่อตามหาพวกเขา หากต้องเผชิญหน้าก็คงมีไม่กี่คน ถึงตอนนั้นผู้ใดจัดการผู้ใดก็เป็นเรื่องที่มิอาจสรุปได้

 

 

ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเร็วอย่างยิ่ง ครู่เดียวฝนก็ค่อยๆ เทลงมาพร้อมกับสายลมที่พัดปะทะร่าง ช่างเหน็บหนาวเหลือเกิน

 

 

เจินเมี่ยวกระชับคอเสื้อให้แน่นขึ้น

 

 

หลัวเทียนเฉิงหยิบเสื้ออีกตัวออกมาจากห่อสัมภาระเพื่อคลุมให้นาง เขาเอ่ยถามคนผ่านทางผู้หนึ่งจึงหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งจนเจอ

 

 

เสี่ยวเอ้อร์มองคนทั้งสามด้วยความลำบากใจ “คุณชาย ตอนนี้มีเพียงห้องเดียว ท่าน…”

 

 

ในใจรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าเหตุใดระยะนี้กิจการถึงได้ดีขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า?

 

 

“ห้องเดียว?” หลัวเทียนเฉิงมองอาหู่คราหนึ่งอย่างไม่พอใจ

 

 

การพาเด็กหนุ่มผู้นี้มาด้วยนั้นยุ่งยากอย่างที่คิดจริงๆ

 

 

อาหู่มีสีหน้าอย่างผู้ไร้ความผิด “พี่เขย เช่นนั้นข้าปูผ้านอนพื้นก็ได้ ข้าไม่กลัวหนาว”

 

 

‘แคร่ก’ สติปัญญาของใครบางคนขาดผึงลง แล้วกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดังกร๊อบๆ

 

 

เจ้าเด็กบ้านี่ คิดจะนอนในห้องเดียวกันกับภรรยาเขางั้นหรือ?

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ในเมืองเล็กๆ เช่นนี้มิได้ฉลาดตาไวอันใด เมื่อคิดว่าพอจะมีผ้าห่มอยู่จึงพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นประเดี๋ยวข้าน้อยจะยกผ้าปูพื้นและผ้าห่มไปให้ แต่คงต้องเพิ่มเงินด้วยขอรับ”

 

 

อาหู่ไม่พอใจขึ้นมา “อันใดกัน อยู่ในห้องเดียวกันแท้ๆ แค่ผ้าห่มยังต้องเพิ่มเงินอีกหรือ? ไม่ได้!”

 

 

หลัวเทียนเฉิงหน้าดำคล้ำไปหมด แล้วตะโกนใส่อาหู่ว่า “นี่มิใช่เรื่องสำคัญ!”

 

 

แล้วหันไปมองเสี่ยวเอ้อร์อย่างเย็นเยือก “เจ้าบอกว่าให้เราสามคนพักห้องเดียวกันหรือ?”

 

 

เสี่ยวเอ้อร์สะดุ้งตกใจขึ้นมา แต่ยังรวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “น้องชายผู้นี้มิใช่น้องชายของภรรยาท่านหรอกหรือ ตอนนี้เราเหลือเพียงห้องเดียวแล้ว จึงมิอาจมากพิธีรีตองอันใดได้ เรียนท่านตามตรงว่า ตอนนี้แม้แต่คอกม้ายังเต็มขอรับ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงถลึงมองอาหู่ด้วยสายตาดุร้าย

 

 

ดีเหลือเกิน เขาคิดแล้วเชียวว่าเหตุใดเจ้าหนุ่มนี้ถึงได้เรียกเจินเมี่ยวว่าพี่สาวตลอดเวลา ทั้งยังเรียกเขาว่าพี่เขยอีก!

 

 

อาหู่เห็นหลัวเทียนเฉิงถลึงตาใส่ก็ยิ้มขลาดๆ แล้วเกาศีรษะตน “พี่เขย ข้ามิถือสาจริงๆ เรื่องนอนบนพื้น หากท่านกลัวสิ้นเปลืองเงินทอง เช่นนี้ผ้าห่มหมอนข้าไม่ใช้ก็ได้”

 

 

หลัวเทียนเฉิงกำลังคิดจะชกหน้าเสี่ยวเอ้อร์หรือไม่ก็อาหู่สักครากลับได้ยินเสียงประตูใหญ่ด้านหลังดังขึ้น

 

 

เสียงใหญ่ดังกังวานเอ่ยขึ้น “เสี่ยวเอ้อร์ เตรียมห้องให้ข้าห้าห้อง”

 

 

ผู้คนได้ยินก็หันไปมองจึงเห็นคนหกเจ็ดคนเดินตามบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามา

 

 

บุรุษหนุ่มผู้นั้นสวมชุดแพรไหมทั้งตัว หน้าตาคมคาย เพียงแต่แววตานั้นมีความดื้อรั้นอยู่หลายส่วน

 

 

“ได้ยินหรือไม่?” ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างบุรุษหนุ่มผู้นั้นถลึงตาให้เสี่ยวเอ้อร์

 

 

“เหลือ เหลือเพียงห้องเดียวขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยติดขัดเล็กน้อย

 

 

“ห้องชั้นดีหนึ่งห้อง?” บุรุษหนุ่มเอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงฟังอยู่อ่อนโยน “ห้องเดียวก็ได้”

 

 

เมื่อเห็นเสี่ยวเอ้อร์อึ้งงันไม่ขยับเคลื่อนไหว ชายร่างใหญ่จึงเอ่ยว่า “ได้ยินหรือไม่ เตรียมห้องชั้นหนึ่งให้คุณชายเราก่อน แล้วค่อยเตรียมห้องธรรมดาสี่ห้องให้พวกเรา จำไว้ว่าจักต้องเปลี่ยนเครื่องนอนใหม่ทั้งหมด!”

 

 

“มิใช่ มิใช่ห้องชั้นหนึ่งแต่เหลือเพียงห้องธรรมดาห้องหนึ่งขอรับ”

 

 

“อันใดกัน!” คนที่ยืนอยู่ด้านหลังบุรุษหนุ่มหน้าเครียดขึ้นมาทันใด

 

 

บุรุษหนุ่มขมวดคิ้ว

 

 

ชายร่างใหญ่มองสีหน้าบุรุษหนุ่มคราหนึ่งแล้วตบโต๊ะ “เรียกให้คนที่พักที่นี่ออกมาให้หมด แล้วยกห้องให้พวกเรามาสี่ห้อง!”

 

 

“เอ่อ มิอาจทำได้ขอรับ…” เสี่ยวเอ้อร์แทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว

 

 

“เอาเถิด จินต้า อย่าทำให้ผู้อื่นลำบากใจเลย” บุรุษหนุ่มเอ่ยปากอย่างอดกลั้น

 

 

ชายร่างใหญ่เข้าใจความหมายของเขาแล้วจึงตบโต๊ะดังปังทำเอาโต๊ะพังเลยทีเดียว เขาตะโกนขึ้นว่า “ทุกคนที่พักที่นี่จงออกมา เราต้องการห้อง!”

 

 

เจินเมี่ยวที่ถูกเบียดไปอยู่ในมุมหนึ่งมองดูอย่างสนอกสนใจ

 

 

นี้คงเป็นคุณชายเจ้าถิ่นในตำนานใช่หรือไม่? พาสุนัขรับใช้มาจริงๆ ด้วย!

 

 

ไม่นานก็มีเสียงดังมาจากบันได บุรุษร่างบึกบึนเดินลงมา จ้องมองไปโดยรอบคราหนึ่งแล้วถามว่า “จะให้สละห้องให้ผู้ใดหรือ?”

 

 

เมื่อเห็นบาดแผลบนขมับยาวไปถึงข้างแก้มของบุรุษร่างบึกบึนนั้นแล้ว จินต้าก็เกิดลังเลขึ้นมาอย่างยากจะเกิดขึ้นได้

 

 

การเห็นภัยย่อมหลบเห็นโชควิ่งเข้าใส่นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ มองคราเดียวก็ทราบแล้วว่ามิควรไปแหย่เขา แม้พวกตนจะไม่กลัว แต่หากมิต้องปะทะกันได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า

 

 

เวลานี้ก็เริ่มมีคนทยอยเดินออกมาแล้ว

 

 

“ได้ยินว่ามีคนต้องการห้องหรือ?” บุรุษอ่อนวัยผู้หนึ่งยืนจับราวบันไดอยู่พร้อมส่งยิ้มมองมา

 

 

เสียงแคร่กดังขึ้น ราวบันไดถึงกับแตกหลุด

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ทั้งปวดใจและกลัวจนแทบร้องไห้ออกมาแล้ว

 

 

บุรุษอ่อนวัยสลัดไม้ในมือตนทิ้งอย่างไม่ไยดี “ยามนี้ยังจะมีผู้ใดพูดเรื่องสละห้องกับผู้น้อยอีกหรือไม่?”

 

 

จินต้าอดมองไปที่คุณชายตนมิได้

 

 

พวกเขาเป็นสุนัขรับใช้ แม้นจะยโสโอหังไปบ้างแต่มิใช่คนโง่!

 

 

โรงเตี๊ยมเล็กๆ ในเมืองเสี้ยนอันกันดารเช่นนี้ มีคนเช่นใดมาพักหนักหนาเล่า!

 

 

“เสี่ยวเอ้อร์ เอะอะเช่นนี้ จะมิให้คนพักผ่อนเลยหรือไร?” สตรีที่แต่งกายรัดรูปยืนเท้าเอวเอ่ยถามอยู่หน้าบันได นางสะบัดแส้ยาวในมือตนออกมาเกี่ยวเอาเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้าหาตนแล้วค่อยๆ นั่งลง

 

 

เวลานี้เองก็มีคนอีกสองคนวิ่งตึงตังเข้ามา ผู้หนึ่งถือมีดบิน ผู้หนึ่งถือกระบองยาว

 

 

บุรุษหนุ่มเริ่มครุ่นคิด

 

 

โรงเตี๊ยมนี้เป็นจุดนัดประชุมผู้มีวรยุทธ์หรือไร?

 

 

ครั้นคนทั้งสองกวาดตามองไปโดยรอบก็ต้องร่างแข็งทื่อไป

 

 

หลัวเทียนเฉิงเห็นคนคุ้นเคยจึงยิ้มออกมา

 

 

บุรุษใบหน้าตุ๊กตาทำใจกล้าเดินเข้าไปหา “พบกันอีกแล้ว แหะๆ”

 

 

“มาช้าไปเพียงก้าว เหลือห้องแค่ห้องเดียวแล้ว น้องชายช่วยสละห้องได้หรือไม่?”

 

 

“ได้” บุรุษหน้าตุ๊กตาลอบด่ามารดามันเถอะอยู่ในใจ แต่กลับรับปากด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วลากสหายตนขึ้นห้องไปอย่างรวดเร็ว

 

 

คนอื่นๆ เห็นว่าไม่มีอันใดน่าดูแล้วจึงเดินขึ้นห้องไปเช่นกัน

 

 

หลัวเทียนเฉิงตบหลังเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังอึ้งอยู่คราหนึ่ง “เอาล่ะ ตอนนี้มีสองห้องแล้ว พาพวกเราไปเถิด”

 

 

เสี่ยวเอ้อร์พาคนเดินไปด้านในอย่างมึนงง จินต้ากลับร้องขึ้นอย่างเ**้ยมเกรียมว่า “เดี๋ยวก่อน เราเป็นคนเรียกให้คนออกมาแท้ๆ พวกเจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?”

 

 

“จำไว้ว่าต้องยกน้ำร้อนเข้ามาให้ด้วย ภรรยาข้าต้องการอาบน้ำ” หลัวเทียนเฉิงมิได้สนใจเขา เพียงจูงเจินเมี่ยวเดินอ้อมเศษสิ่งของที่ตกแตกพวกนั้นไป

 

 

พลันมีดาบยาวเล่มหนึ่งสกัดไว้ด้านหน้า จินต้าแค่นเสียงหัวเราะเย็นชาเอ่ยว่า “น้องชายช่างไม่รู้ความเสียจริงว่าหรือไม่?”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset