วาสนาบันดาลรัก 203

ตอนที่ 203

เมื่อถึงถ้ำแห่งหนึ่งเจินเมี่ยวก็รื้อข้าวของออกมาตรวจดู

 

 

กระบอกน้ำสองกระบอก กระบอกจุดไฟหนึ่งชุด เชือกปอหนึ่งม้วน ตะขอกรงเล็บพยัคฆ์ ดาบยาวหนึ่งเล่ม กริชสองเล่ม ธนูเล็กหนึ่งคัน ฟืนหนึ่งมัด กระต่ายหนึ่งตัว

 

 

“จิ่นหมิง ให้ท่าน” เจินเมี่ยวนำกริชที่ปลิดชีวิตคนผู้นั้นคืนให้หลัวเทียนเฉิง “คิดไม่ถึงว่าท่านจะมีกริชซ่อนอยู่ในรองเท้าด้วย มิน่าเล่าตอนนั้นข้าถึงหาไม่พบ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงหางตากระตุกคราหนึ่ง “อ้อ กล่าวเช่นนี้ เงินหลายตำลึงของข้า เจ้าเป็นผู้เอาไปเองงั้นหรือ”

 

 

“ใช่แล้ว” เจินเมี่ยวหยิบถุงเงินใบหนึ่งออกมา “แม้แต่เงินเบี้ยในตัวคนผู้นั้นข้าก็เอามาใส่ไว้ด้วยกัน มีไม่น้อยเลยทีเดียว”

 

 

เส้นโลหิตเขียวเข้มตรงขมับหลัวเทียนเฉิงกระตุกคราหนึ่ง

 

 

การฉวยโอกาสล้วงเอาเงินในตัวเขาขณะที่เขาไม่ได้สติประหนึ่งเป็นความเคยชินอย่างหนึ่งนี้ หมายความเช่นใดกัน

 

 

เพราะนางคิดว่าหากเขาสิ้นลมไปก็สามารถฝังกลบได้เลยเช่นนั้นหรือ

 

 

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดเขาก็รู้สึกไม่ชอบใจเลยจริงๆ!

 

 

หลัวเทียนเฉิงพิงไปกับผนังถ้ำหินอย่างหมดแรง แล้วเอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าอยากจะกินน้ำแกงเนื้อกระต่าย ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจะทำให้ข้ากิน”

 

 

ไม่มีหม้อและถ้วยชาม แม้แต่จานบิ่นแตกก็ไม่มี เขาอยากจะรู้จริงๆ ว่านางจะทำน้ำแกงเนื้อกระต่ายได้อย่างไร

 

 

เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ

 

 

สามีผู้ยิ่งใหญ่กำลังแสดงอาการแง่งอนใส่นางงั้นหรือ

 

 

อืม ขอเพียงเขาไม่คลุ้มคลั่งขึ้นมาอีก นางก็ทำให้เขาได้ทุกอย่าง

 

 

เจินเมี่ยวลุกขึ้น ปัดเศษดินออกจากร่างตน

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าจะไปที่ใด” เจินเมี่ยวเดินมุ่งไปที่ปากถ้ำ หลัวเทียนเฉิงจึงอดเอ่ยถามขึ้นมามิได้

 

 

“ข้าจะไปหาฟืนมาเพิ่ม ครู่เดียวก็กลับมาแล้ว” เจินเมี่ยวรีบร้อนเดินออกไปโดยไม่แม้จะหันหลังกลับมา

 

 

หลัวเทียนเฉิงห้ามไว้ไม่ทัน ทั้งไร้หนทางจะไปห้ามปราม

 

 

เขาในยามนี้ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรง อาการไข้ก็ยังมิทันทุเลา ไม่ต่างอันใดกับคนใกล้ตาย แค่ใช้พลังเฮือกสุดท้ายประคองตนไว้เท่านั้น

 

 

หลังจากที่เจินเมี่ยวจากไปแล้ว ทั่วทั้งถ้ำก็คล้ายมืดสนิทลงทันใด เงียบกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจ

 

 

เวลาที่ล่วงเลยไปช่างยาวนานคล้ายไม่มีวันสิ้นสุดลงได้กระนั้น มันทั้งทรมานและยากจะทานทน ทุกขณะที่ผ่านไปช่างทุกข์ระทมยิ่ง

 

 

หลัวเทียนเฉิงวางฝ่ามือลงและจิกเล็บลงไปบนพื้นจนเกิดเป็นรอยขีดข่วนขึ้นอย่างมิได้ตั้งใจ

 

 

ปากถ้ำพลันเกิดเงาทะมึนขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้ไผ่โชยมา

 

 

เจินเมี่ยวอุ้มฟืนแห้งมัดใหญ่และลำไผ่ขนาดเท่าข้อมือหนาหลายท่อนเข้ามาวางไว้ แล้วหยิบกระบอกจุดไฟเดินเข้าไปหาหลัวเทียนเฉิง “สิ่งนี้ใช้อย่างไรหรือ”

 

 

“ข้าเอง”

 

 

แค่แรงในการจุดไฟนั้นเขายังพอมี

 

 

ผ่านไปไม่นาน ไฟก็ถูกก่อขึ้น ความอบอุ่นภายในถ้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

 

หลัวเทียนเฉิงมีเพียงเสื้อตัวในที่บางและขาดวิ่น เมื่อได้ผิงไฟร่างกายจึงค่อยๆ อบอุ่นขึ้น ภายใต้กองไฟที่ส่องสะท้อนนั้น คล้ายว่าใบหน้าที่ขาวซีดของเขากลับดูดีขึ้นไม่น้อย

 

 

เจินเมี่ยวยกริมฝีปากหยักโค้งขึ้น นางใช้กริชฟันลงไปบนผิวไม้ไผ่

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าทำอันใดหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวขยับเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อยแล้วอธิบายว่า “เฉาะผิวด้านบนมันออกเล็กน้อยก็สามารถต้มเนื้อได้แล้ว”

 

 

ท่อนไม้ไผ่ที่ใหญ่และเนื้อแข็งเพียงนี้ การใช้กริชเฉาะเปลือกมันออกมานั้นช่างยากนัก แต่เจินเมี่ยวกลับไม่รีบร้อน นางค่อยๆ ทำไปทีละนิดอย่างตั้งใจคล้ายว่าโลกของนางมีเพียงลำไผ่ในมือนี้เท่านั้น

 

 

หลัวเทียนเฉิงมองท่าทีเช่นนั้นของนางแล้วรู้สึกจิตใจสงบอย่างที่สุด คล้ายว่าพายุโลหิตอันคาวคลุ้งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่อยู่ไกลแสนไกลก็มิปาน

 

 

แรกเริ่มเขาต้องต่อสู้กับพยัคฆ์ดุร้าย ต่อมาก็มีธนูปริศนาพุ่งเข้าใส่นาง ม้าสะดุ้งตกใจ พวกเขากลิ้งตกลงไปในที่แห่งใดก็ไม่ทราบ ทั้งต้องเจอคนไล่ตามฆ่าอีก นางแบกคนที่เป็นดั่งภาระเช่นเขามาด้วย แต่เหตุใดยังสงบนิ่งเช่นนี้อยู่ได้เล่า

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงอดเอ่ยถามออกไปมิได้

 

 

เจินเมี่ยวมิได้เอ่ยอันใดยังคงเฉาะลำไผ่นั้นต่อไป

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว?”

 

 

“เสร็จแล้ว!” เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าดีใจ นางยกขึ้นอวดให้หลัวเทียนเฉิงดู “จิ่นหมิง ท่านดู ข้าต้องการทำให้มันมีหน้าตาเช่นนี้ ต้องเฉาะให้เป็นรูแค่เพียงครึ่งหนึ่งของกระบอกไม้ไผ่เท่านั้น อืม เมื่อครู่ ท่านพูดอันใดกับข้าหรือไม่”

 

 

หลัวเทียนเฉิงส่ายหน้าอย่างจนใจ

 

 

สำหรับนาง เรื่องพวกนั้นที่เขาพูดคงไม่มีความสำคัญเท่ากับไผ่ต้นนี้กระมัง หรือไม่ก็ไม่มีความสำคัญเท่ากับอาหารมื้อสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้

 

 

เจินเมี่ยวเอากระบอกไม้ไผ่วางลงบนกองไฟ

 

 

กระบอกน้ำสองกระบอกนั้น กระบอกหนึ่งเป็นของนางซึ่งมีน้ำผสมน้ำผึ้งเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง ส่วนอีกกระบอกนางค้นมาจากตัวคนผู้นั้นซึ่งเหลือไม่ถึงครึ่งเช่นกัน

 

 

นางเทน้ำจากทั้งสองกระบอกออกมาใส่ลำไม้ไผ่นั้น แล้วใช้กริชหั่นเนื้อกระต่ายให้เป็นแผ่นบางที่สุด

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าใช้น้ำหมดแล้ว หากพรุ่งนี้เรายังออกไปไม่ได้จะทำอย่างไรเล่า” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

ด้วยพละกำลังที่เขามี หากได้กินอาหารมื้อนี้ พรุ่งนี้ก็คงจะมีแรงฟื้นคืนมาแล้ว แต่บาดแผลที่ขากลับมิใช่จะหายได้ชั่วข้ามคืน

 

 

“อีกไม่นาน ฝนก็น่าจะตกแล้ว”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าพยากรณ์ดินฟ้าอากาศได้ด้วยหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวคิดครู่หนึ่ง สีหน้านางเต็มไปด้วยความสงสัย “เรื่องนี้มันดูยากนักหรือ”

 

 

‘เพล้ง ’ เสียงหัวใจของใครบางคนแตกเป็นเสี่ยงๆ ออกมาทันที

 

 

“เรื่องนี้มิใช่เรื่องง่ายสักนิด!”

 

 

การพยากรณ์ดินฟ้าอากาศเป็นหน้าที่ของชินเทียนเจี้ยน[1] มิใช่หรือ

 

 

เจินเมี่ยวมิได้สนใจอันใดมากนัก นางหั่นเนื้อกระต่ายอีกครึ่งหนึ่งให้บางที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลานี้น้ำในกระบอกไม้ไผ่ก็เริ่มเดือดแล้ว เพราะใช้ลำไม้ไผ่ต้มน้ำกลิ่นที่กำจายออกมาจึงมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นไผ่ด้วย

 

 

นางใส่เนื้อแผ่นบางลงไปในกระบอกไม้ไผ่ที่น้ำกำลังเดือด แต่เนื้ออีกครึ่งหนึ่งกลับหั่นเป็นชิ้นๆ โรยเกลือใส่ แล้วใช้ใบไผ่ห่อเนื้อไว้ นางหยิบมีดเล่มยาวมาขุดหลุมใต้กองไฟ เอาเนื้อกระต่ายที่ห่อด้วยใบไผ่ใส่ลงไปในหลุมแล้วใช้ดินและขี้เถ้าฝังกลบ

 

 

เพราะว่าเนื้อกระต่ายหั่นเป็นแผ่นบางมาก ไม่นานจึงเปลี่ยนสี กลิ่นหอมก็โชยออกมา

 

 

ท้องหลัวเทียนเฉิงร้องขึ้นทันที

 

 

เจินเมี่ยวหยิบช้อนไม้ไผ่ที่ตนเหลาไว้นานแล้วขึ้นมาคน รอจนน้ำแกงข้นขึ้นจึงใส่เกลือลงไป แล้วยกกระบอกไม้ไผ่วางลงที่พื้นอย่างระมัดระวัง นางส่งช้อนไม้ไผ่ให้หลัวเทียนเฉิง “ท่านกินเองได้หรือไม่ หากไม่ได้ข้าจะป้อนท่านเอง”

 

 

“ได้” หลัวเทียนเฉิงกำช้อนไม้ไผ่นั้นแน่น ตักเอาเนื้อและนำแกงขึ้นซด

 

 

อาจเพราะไม่มีอาหารตกถึงท้องมาเกือบสองวัน แม้แต่น้ำแกงที่มีเนื้ออยู่น้อยนิดทั้งยังปรุงรสด้วยเกลืออย่างเดียว แต่รสชาติกลับดียิ่ง โดยเฉพาะกลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบไผ่นั้นสามารถขจัดความมันเลี่ยนได้เป็นอย่างดี

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว อย่าเอาแต่มองข้า เจ้าก็กินด้วยกันเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวหิวจนหน้าอกแนบติดกับแผ่นหลังแล้ว ท้องก็ปวดอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้ารับ คนทั้งสองนั่งเบียดชิดกันและผลัดกันกินคนละคำอยู่เช่นนั้น ไม่นานก็หมดไม่มีเหลือ

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงพิงผนังหินหลับไป

 

 

เจินเมี่ยวก็เบียดเข้าไปในอกเขาอย่างไม่เกรงใจ นางนอนเอนอยู่บนต้นขาเขาพลางลูบท้องที่อิ่มแน่นของตนอย่างเหม่อลอย

 

 

กองไฟที่แผดเผาส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ และค่อยๆ มอดดับไป

 

 

ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ มืดลง เสียงฟ้าร้องดังขึ้นทันใด เม็ดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วร่วงตกลงมาทันที

 

 

ถ้ำที่พวกเขาพักอยู่บนที่ราบสูงน้ำจึงเข้ามามิได้ ที่ปากถ้ำนั้นคล้ายมีม่านน้ำห้อยแขวนอยู่ก็มิปาน

 

 

เจินเมี่ยวดีดตัวขึ้นมาทันที

 

 

หลัวเทียนเฉิงพลันตื่นขึ้น บ่นพึมพำว่า “ฝนตกจริงๆ ด้วย”

 

 

กล่าวไปแล้วก็แปลกจริงๆ หากผู้อื่นบอกว่าอีกไม่นานฝนจะตก เขาคงแค่นเสียงเยาะหยัน แต่นางแค่พูดไปตามปากเพียงประโยคเดียว เขากลับแปลกใจที่เหตุใดนางจึงทราบ แต่มิเคยสงสัยในวาจาของนางสักนิด

 

 

เจินเมี่ยววิ่งเอากระบอกน้ำไปรองน้ำที่ปากถ้ำ เมื่อเต็มแล้วก็กลับมาก่อไฟต้มน้ำ นางตัดไม้ไผ่ที่เหลือได้อีกสามกระบอกจึงนำไปรองน้ำแล้วต้มให้เดือดเช่นกัน

 

 

เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จจึงผ่อนลมหายใจโล่งอกออกมาได้

 

 

อย่างน้อยน้ำเหล่านี้ก็มากพอจะประทังไปได้ถึงวันมะรืน

 

 

ครั้นหันกลับมา หลัวเทียนเฉิงก็หลับไปเสียแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวยิ้ม ลูบตรงหัวคิ้วเขาแผ่วเบา แล้วขยับเข้าไปนอนใกล้ๆ

 

 

ร่างกายหลัวเทียนเฉิงฟื้นตัวมากขึ้นในวันถัดมาตามคาด แต่เจินเมี่ยวยังคงนำยาสมุนไพรใส่แผลให้เขาเช่นเดิม

 

 

พวกเขาพักฟื้นในถ้ำนั้นอีกหนึ่งวัน ในที่สุดหลัวเทียนเฉิงก็สามารถเดินได้เองเพียงแค่มีคนประคองเท่านั้น คนทั้งสองจึงจากถ้ำแห่งนั้นไป

 

 

หลัวเทียนเฉิงหันกลับไปมองถ้ำแห่งนั้นด้วยสายตาล้ำลึกคราหนึ่ง

 

 

หลังพายุฝนผ่านไป ท้องฟ้าจึงแจ่มใสเป็นพิเศษ แต่ทางเดินกลับมิได้สะดวกนัก

 

 

คนทั้งสองเดินอย่างทุลักทุเลไปด้วยกัน ทั้งยังล้มอยู่หลายหน โคลนเปรอะเปื้อนเต็มหน้าและเสื้อผ้า

 

 

 เมื่อเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่เดินร้องเพลงขึ้นเขามาตัดฟืนพบเข้ากับวานรสองตัวซึ่งเปื้อนโคลนจนแยกรูปโฉมไม่ออกนั้น เขาก็ขว้างขวานใส่แล้วหันหลังวิ่งหนีด้วยความตกใจ

 

 

หลัวเทียนเฉิงยื่นมือออกไปรับขวานนั้นไว้อย่างแม่นมั่น

 

 

ในที่สุดก็พบคนแล้ว เจินเมี่ยวมีสีหน้ายินดียิ่ง

 

 

หลัวเทียนเฉิงกำขวานแน่น ทว่าสีหน้ากลับราบเรียบอย่างยากจะบรรยาย

 

 

ในเมื่อมีคนตามฆ่าพวกเขา เขาก็มิอาจรับประกันได้ว่าการพบคนคือเรื่องดี โดยเฉพาะในยามที่ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่เช่นนี้

 

 

ยังมิได้ทันตัดสินใจว่าจะตามไปดีหรือไม่ เด็กหนุ่มผู้นั้นก็ย้อนกลับมา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงระแวดระวังว่า “เออ พวกเจ้าเอาขวานนั้นคืนข้าได้หรือไม่”

 

 

หลัวเทียนเฉิงก้มหน้ามองขวานในมือตน

 

 

เด็กหนุ่มผู้นั้นตกใจจนร้องไห้ออกมาพลางยกนกกระทาตัวหนึ่งขึ้น “ข้าแลกด้วยสิ่งนี้ดีหรือไม่ ขวานนั้นบิดาข้าให้มา มิอาจทิ้งขว้างได้ ฮือๆๆ…”

 

 

หลัวเทียนเฉิงกุมขมับ

 

 

หรือเขาแยกตัวออกจากโลกภายนอกนานเกินไปจนไม่สามารถเข้าใจความคิดของปุถุชนได้แล้ว

 

 

ไม่! พวกเขาอยู่ในป่าเพียงสามวันเท่านั้นกระมัง

 

 

เจินเมี่ยวกลับแย่งขวานนั้นมาแล้ววิ่งเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วด้วยความเบิกบาน “ให้เจ้า”

 

 

เด็กหนุ่มผู้นั้นยิ้มทั้งน้ำมูกน้ำตา แล้วส่งนกกระทาให้เจินเมี่ยวไป “ให้เจ้า”

 

 

เจินเมี่ยวถือนกกระทาวิ่งกลับมาเอ่ยด้วยความยินดีว่า “จิ่นหมิง ประเดี๋ยวเราก็จะได้กินนกย่างกระทากันแล้ว”

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าความเป็นคนของตนได้ร่วงตกลงมาอีกเล็กน้อยแล้ว

 

 

การเอาขวานของผู้อื่นไปแลกกับนกกระทาของเขานั้นเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ หรือ

 

 

ขณะกำลังถกเถียงในใจตน เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คล้ายมีสติคืนมาจึงตบต้นขาตนฉาดใหญ่ “เอ๊ะ พวกเจ้ามิใช่ปีศาจวานรหรอกหรือ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยวตกตะลึงขึ้นพร้อมกัน แล้วตามด้วยอาการเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

 

 

มารดามันเถอะ ผู้ใดเป็นปีศาจวานรกันเล่า ตระกูลเจ้าต่างหากที่เป็น!

 

 

หนุ่มน้อยถึงกับวิ่งเข้ามาหา “เช่นนั้นพวกเจ้าก็เป็นคนใช่หรือไม่”

 

 

หลัวเทียนเฉิงปล่อยไอสังหารออกมา เจินเมี่ยวจึงเข้าไปขวางหน้าเขาไว้ แล้วฝืนยิ้มให้กับหนุ่มน้อยผู้นั้นพลางเอ่ยว่า “น้องชาย เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ยังต้องถามอีกหรือ”

 

 

หนุ่มน้อยผู้นั้นตกใจจนต้องถอยหลังหนี “หยุดยิ้มเดี๋ยวนี้ เดิมข้ามั่นใจว่าใช่ แต่ครั้นเจ้ายิ้มก็เริ่มสับสนขึ้นมาอีกแล้ว”

 

 

เจินเมี่ยวจึงเบนใบหน้าเขียวคล้ำของตนไปทางอื่น

 

 

สามีผู้ยิ่งใหญ่รีบใช้ไอสังหารของท่านขจัดเจ้าปีศาจที่ไม่ทราบโผล่มาจากที่ใดตนนี้ทีเถิด!

 

 

“แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้ได้เล่า” เด็กหนุ่มเริ่มสอบถาม

 

 

“ข้ากับภรรยาจะไปเยี่ยมบ้านมารดานาง ระหว่างทางพบเข้ากับโจร จึงหนีตายจนตกเขาไป โชคดีที่มิตาย แต่ก็มีสภาพอย่างที่เห็น น้องชายเจ้าให้ที่พักพิงกับเราได้หรือไม่ ข้ากับภรรยามิได้กินอันใดมาสองวันแล้ว”

 

 

หลัวเทียนเฉิงลอบสำรวจเขาเงียบๆ เป็นนาน คนผู้นี้อายุยังน้อย ฝีเท้าหนักยิ่ง ฝ่ามือนิ้วมือด้านเพราะเกิดจากการตัดฝืนมาหลายปี เขาย่อมไม่มีวรยุทธ์อย่างแน่นอน

 

 

แต่ที่ทำให้เขาปักใจเชื่อได้รวดเร็วเพียงนี้กลับมิใช่เพราะเหตุผลเพียงนั้นดอก

 

 

มือสังหารจะโง่เขลาปานนี้เชียวหรือ!

 

 

เด็กหนุ่มผู้นั้นจิตใจดียิ่ง เมื่อได้ยินหลัวเทียนเฉิงกล่าวเช่นนี้ก็พาเขากลับไปที่หมู่บ้านตนทันที

 

 

บ้านของเขาอยู่ด้านหลังหุบเขานี้พอดี ทั้งไกลจากบ้านของผู้อื่นไม่น้อย ตอนที่พาสองคนนี้กลับไปจึงไม่มีผู้ใดพบเห็น

 

 

หลัวเทียนเฉิงพอใจยิ่ง

 

 

“ท่านแม่ ข้าช่วยคนสองคนนี้กลับมาด้วย”

 

 

สตรีผู้หนึ่งเดินออกมาพอดี

 

 

สตรีผู้นั้นอัธยาศัยดียิ่ง นางเชิญคนทั้งสองเข้าบ้าน ทั้งต้มน้ำให้พวกเขาล้างหน้า อาบน้ำ

 

 

กระทั่งคนทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว สตรีผู้นั้นเห็นก็ถึงกับอึ้งงันจนเผลอทำชามข้าวคว่ำล้มไปทันที

 

 

 

 

——

 

 

[1] ชินเทียนเจี้ยน ตำแหน่งขุนนางผู้รับผิดชอบงานเฝ้าสังเกตดวงดาวเพื่อคำนวณและประกาศใช้ปฏิทินหลวง

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset