“ท่านป้าชิง…” เสียงกังวานร้องดังขึ้น ในหอสุราไป่เว่ยจวีที่มีคนมากจนแน่นขนัดทั้งยังไม่เป็นที่น่าสะดุดตาเท่าใด มีก็แต่เพียงบุรุษท่าทางสง่างามคนหนึ่งเดินตามติดชายสองคนเข้ามาที่ยังพอทำให้บรรดาผู้ที่มากินอาหารเงยหน้าขึ้นมองอยู่บ้าง
เพียงแค่ว่าเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังของหอสุราไป่เว่ยจวีนั้นคือจวนเจิ้นกั๋วกง ทั้งรสชาติยังยอดเยี่ยมยิ่งนัก บรรดาผู้คนที่มาลิ้มรสอาหารเคยชินเสียแล้วกับการที่จะพบเจอเหล่าบรรดาชื่อจื่อหรือคนมีชื่อเสียงเทือกนี้ในการมาปรากฏตัวที่นี่ สำหรับเด็กชายสองคนที่ปรากฏตัวในที่แห่งนี้ก็ยิ่งคุ้นชินเสียแล้ว
เถ้าแก่ที่ทั้งผอมและยังไม่สูงวัยไถลตัวมาปรากฏตรงหน้าทันที พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขมขื่นและเสียงต่ำๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งสองคน พวกท่านมาได้อย่างไรเล่า”
“ท่านลุงปั้นซย่า พวกเรามาพบท่านป้าชิง ท่านป้าชิงรับปากแล้ว ว่าจะปรุงไก่ขอทานให้พวกเรากิน” หนึ่งในเด็กชายเอ่ยขึ้น
เมื่อมองแวบแรกเด็กชายทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่เมื่อคุณมองใกล้ๆ ก็จะพบความแตกต่างกันคนแรกตาโตวิบวับจมูกโด่ง แก้มมีเนื้อเล็กน้อยจึงลดทอนความหล่อเหลาไปอยู่บ้าง เขามีเสน่ห์และไร้เดียงสามากขึ้นหลายส่วน ผมดำขลับริมฝีปากสีแดงสดโดยมิต้องเอ่ยคำพูดใดๆ ใบหน้างดงามราวกับหยกขาวของเขาแสดงให้เห็นถึงความสง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
“คุณชายทั้งสองมิได้ต้องเรียนหนังสือรึ พวกท่านหนีเรียนมาเยี่ยงนี้ หากชื่อจื่อทราบความเข้าจะยิ่งแย่กระมัง”
อี้เกอมองไปที่ปั้นซย่าอย่างจนใจ “ท่านลุงปั้นซย่า ท่านนี่โง่งมจริงๆ วันนี้พวกเราไม่มีเรียนต่างหากเล่า”
เสียงเกอยังคงท่าทางสูงส่งไม่พูดจา แต่สายตานั้นสื่อแสดงออกมาแล้วว่าไม่อยากอดทนรอแล้ว
ปั้นซย่าหัวเราะแหะๆ ก่อนจะนำคุณชายทั้งสองเข้าไปด้านหลังครัว
“ชิงเกอ คุณชายทั้งสองมาแล้ว”
ชิงเกอที่กำลังเอามือเท้าสะเอวกำกับแม่ครัวให้ทำอาหาร เมื่อได้ยินเสียงจึงรีบหันกลับมามอง พลันปรากฏสีหน้ายิ้มแย้มยินดี นางนำตัวคุณชายทั้งสองที่ปั้นซย่าพามาไว้ข้างตนเสีย ก่อนจะย่อตัวลงแล้วอุ้มคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน
อี้เกออาศัยแรงนี้โหนตัวไปให้ชิงเกออุ้มตนเอาไว้เสีย เสียงเกอที่เห็นก็หน้าดำขึ้นทันที
โตถึงเพียงนี้ ท่านป้าชิงเหตุใจยังอุ้มพวกเขาราวกับอุ้มเด็กน้อยนะ น้องรองเองก็เป็นคนโง่งม ยังทำท่าทางร่าเริงราวกับอะไรกันนี่
“ไปกันเถอะ ป้าชิงจะพาพวกเจ้าไปกินไก่ขอทาน”
“ได้ขอรับ” อี้เก้อปรบมืออย่างดีอกดีใจ
เสียงเกอเอาแต่คิดถึงไก่ขอทาน เขาทำหน้านิ่วพลางเอ่ย “ป้าชิงครั้งหน้าอย่าอุ้มพวกเราแบบนี้อีกนะ ผู้ใดเห็นเข้าจะหัวเราะเยาะเอาได้”
ชิงเกอแทบจะไม่ได้สนใจในคำพูดเสียงเกอ หัวเราะพลางถามว่า “เสียงเกออยากกินรสชาติแบบไหน อยากได้แบบหวานน้ำผึ้งหรือหอมยี่หร่า”
“หอมยี่หร่า” เสียงเกอเอ่ยต่อ เมื่อเอ่ยจบก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจนัก สีหน้าก็เคร่งขรึมไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เริ่มขยับร่างกายตน ให้ถูกอุ้มอย่างสบายกายมากขึ้น
ผู้ใหญ่หนึ่งคนและเด็กสองคนอยู่ในห้องที่ไม่ต้อนรับแขกอื่นจัดการไก่ขอทานสามตัวเสียเกลี้ยง ปั้นซย่าที่ร้อนรนทนไม่ไหวกระทืบเท้าพลางเอ่ย “ตายจริง ทูนหัวข้า จะให้เด็กสองคนกินต่อไปไม่ได้อีกแล้วนะ ไม่อย่างนั้นหากปวดท้องขึ้นมาจะทำอย่างไร แล้วนี่จะทำอย่างไรกันดี”
“นี่เพิ่งจะเท่าใดกันเชียว ครานั้นชื่อจื่อเองสามารถกินหมูครึ่งตัวได้ในมื้ออาหารเดียวเลยนะ”
เสียงเกอและอี้เกอก็ตกตะลึงเช่นกัน
ปั้นซย่าถึงกับตบหน้าผากตัวเอง
ชื่อจื่อ ผู้น้อยผิดต่อท่านแล้ว ไม่ได้ดูแลภรรยาตนให้ดี ทั้งยังให้นางมาขายท่านต่อหน้าเด็กสองคนผู้นี้อีกด้วย
“นั่นจะเป็นไรเล่า ชื่อจื่อวันๆ เอาแต่ฝึกกระบวนท่า คุณชายทั้งสองคนยังเป็นเด็กอยู่เลยนะ”
คุณชายทั้งสองเมื่อได้ยินก็ไม่ใคร่เป็นสุขนัก อี้เกอยืดอกพร้อมทั้งเอ่ยขึ้น “ท่านลุงปั้นซย่า พวกเรามิใช่เด็กแล้วนะ ท่านคิดว่าพวกเราตั้งใจมากินอาหารหรอกรึ อย่างนั้นก็ทายผิดไปถนัดเชียวละ ข้าและท่านพี่ที่มาวันนี้มีธุระให้ต้องจัดการต่างหากเล่า การมากินอาหาร…ก็เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น”
ปั้นซย่าเหลือบมองไปทางเสียงเกออย่างอดไม่ได้
เสียงเกอส่งเสียงกระแอมในลำคอหนึ่งที เอ่ยออกมาอย่างเป็นการเป็นงานว่า “ไม่ผิด ท่านแม่เอ่ยว่าอีกไม่กี่วันท่านน้าชูสยาก็จะมาถึงแล้ว ท่านแม่ให้พวกเรามาเลือกของฝากเพื่อมอบให้แก่บุตรธิดาของท่านน้าชูสยา”
ปั้นซย่าลอบคิด คุณชายยามเอ่ยคำพูดนี้ออกมา หากเช็ดคราบน้ำมันที่มุมปากออกเสียหน่อยก็คงพอดูเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยๆ ขึ้นมาบ้าง
“ท่านลุงปั้นซย่าจะกรุณาช่วยแนะนำหน่อยได้หรือไม่ว่า ในเมืองหลวงแห่งนี้มีสถานที่ใดน่าสนใจบ้าง เมื่อตอนนั้นข้านำน้องชายทั้งสองไปต้อนรับแขกด้วยกัน หากเอาแต่อยู่ในจวนก็คงไม่สนุกเท่าไรนัก ข้าอยากพวกพวกเขาไปเที่ยวชมเสียหน่อย จะได้ไม่เสียแรงที่มาเมืองหลวงแห่งนี้”
ปั้นซย่าตกใจเสียจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ในใจลอบคิดว่า คุณชายใหญ่นี่นะ จะไม่เหลือทางรอดให้ตนเลยหรืออย่างไรเล่า คุณชายรองผู้นี้ก็แล้วไปเถิด คุณชายสามเองก็เพิ่งจะสองขวบ หากจะออกจากจวนมาท่องตลาดจริง ชื่อจื่อคงต้องถลกหนังตนออกมาเป็นแน่
“อะแฮ่ม คุณชายใหญ่ ข้าว่าอากาศร้อนถึงเพียงนี้ รอจนชูสยาจวิ้นจู่มาถึง ตอนนั้นตรงกับวันซานฝูพอดี อากาศจะร้อนกว่าตอนนี้นัก ที่หมานเหว่ยอากาศเย็นสบาย พวกเขามาที่นี่อาจจะไม่ชินกับสภาพอากาศ หากต้องออกบ้านอีกเป็นเจออากาศร้อนจนป่วยเข้า อย่างนั้นคงไม่ดีแน่
เสียงเกอเมื่อได้ฟัง จึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านลุงปั้นซย่า ท่านป้าชิง อย่างนั้นพวกเราต้องกลับก่อนแล้ว”
“คุณชายใหญ่ต้องการหาซื้อของขวัญอันใดหรือไม่ หาไม่ผู้น้อยไปหาซื้อกับท่านด้วยดีหรือไม่
เสียงเกอโบกมือก่อนเอ่ย “ไม่ต้องหรอกขอรับ พวกเราจะไปเที่ยวที่ร้านของท่านอาเวินเปี่ยวเสียหน่อย ที่นั่นมีของเล่นที่มาจากเมืองของพวกตะวันตก หากมอบให้พวกเด็กๆ ก็คงเหมาะสมดี”
เมื่อมองไปยังเสียงเกอที่สูงเลยเอวตนมาเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอ่ยขึ้น ปั้นซย่าก็ลอบยกมุมปาก
“อย่างนั้นคุณชายทั้งสองก็อย่าเดินเร็วนักนะขอรับ” เมื่อปั้นซย่าส่งคุณชายทั้งสองเรียบร้อยแล้ว ชิงเกอก็รีบตามเขามาทันที พลางยัดไก่บุปฝาสองตัวใส่มือพวกเขาไปด้วย “คุณชายนำไปให้ท่านแม่นะเจ้าคะ ถึงแม้ว่าจะไม่เลิศรสเท่าที่ท่านแม่ทำ แต่ว่านี่ได้เพิ่มสุราหมักผลไม้ที่เพิ่งหมักเสร็จลงไป จะได้ลองอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง”
คุณชายทั้งสองเอ่ยขอบคุณพร้อมกัน นำไก่ขอทานมองให้องครักษ์ถือไว้ จึงได้เดินจากไป
เวินโม่เหยียนยามนี้เป็นพ่อค้าวาณิชย์เลื่องชื่อ เถาซาจูกวง เป็นธุรกิจที่เชี่ยวชาญด้านสินค้าตะวันตก ในเมืองหลวงได้เปิดสาขามากถึงเจ็ดแปดร้านเลยทีเดียว แคว้นใหญ่ต่างๆ ทั่วแผ่นดินล้วนมีร้านสาขาของเขาทั้งสิ้น หากใช้ทองคำโต่วมาตีค่าก็คงดูถ่อมตัวไปมากโข
คุณชายทั้งสองไปร้านสาขาใหญ่ แต่เวินโม่เหยียนไม่อยู่ที่ร้าน ฮูหยินที่เขาแต่งงานด้วยเมื่อสองปีก่อนเป็นคนอิ๋งกั๋ว อุปนิสัยโอบอ้อมอารีราวกับธาราไหลเย็น นางใส่ใจฟังคำพูดของคุณชายทั้งสองเป็นอย่างมาก
คุณชายทั้งสองเลือกของขวัญภายใต้การแนะนำของท่านน้าสะใภ้ไปไม่น้อยเลย ทั้งคู่พออกพอใจเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าท่านน้าสะใภ้ผู้นี้น่าเชื่อถือยิ่งนัก เสียงเกอถือโอกาสเอ่ยขึ้น “เรื่องการต้อนรับแขกนี้ พวกเราก็เพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่ามีจุดใดที่ต้องระวังหรือไม่ขอรับ”
ท่านน้าสะใภ้ที่น่าเชื่อถือผู้นี้ยิ้มตอบ “ที่เมืองอิงกั๋วของเรานั้น เมื่อมีแขกมาเยือน ต้องสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ประณีตงดงาม แต่กายต้องสุภาพเรียบร้อย นี่เป็นการแสดงความเคารพขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่ง”
คุณชายทั้งสองจดจำคำกล่าวนี้ไว้จนขึ้นใจ จวบจนวันที่ชูสยาจวิ้นจู่มาเยือนนั้น เหล่าบรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างออกไปต้อนรับกัน ไม่มีผู้ใดมาคอยกะเกณฑ์พวกเขา พวกเขาก็เพียงแค่ถักผมเปียอย่างบรรจงให้เท่านั้น ซุ่นเกอที่ไม่ได้สวมใส่แม้แต่เครื่องประดับทองคำเริ่มจะไม่พอใจเสีย
เสียงเกอกำชับพี่เลี้ยง “แกะผมซุ่นเกอออกเสีย แล้วหวีเป็นทรงซาลาเปาคู่ หลังจากนั้นนำโซ่ทองประดับมุกไปพันไว้”
เสียงเกอเป็นคุณชายคนโต เดิมทีก็มีความเคร่งขรึมอยู่แล้ว แม้นจะยังเด็ก แต่พี่เลี้ยงต่างก็ไม่กล้าไม่เชื่อฟัง พวกนางล้วนรีบทำตามคำสั่ง เมื่อมือที่ประณีตนั้นจัดการเสร็จสิ้น ซุ่นเกอก็ดูละเอียดงดงามขึ้นมากโข รากับเซียนเด็กในรูปวาดก็ไม่ปาน
แต่เสียงเกอดูแล้วก็รู้สึกว่ามีอะไรขาดไป เมื่อพิจารณาอีกครั้ง ดวงตาก็เป็นประกาย เขาวิ่งไปอีกห้อง เปิดกล่องที่เจินเมี่ยวไม่กล้าแม้แต่จะทิ้งออก เขาหาอาภรณ์สีชมพูออกมา
“คุณชายใหญ่ คุณชายสามสวมชุดนี้ไม่ได้เจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ร้อนรนจนแทบจะร้องไห้ออกมา
“เหตุใดจึงไม่ได้ เดิมทีเสื้อผ้าพวกนี้ก็เป็นของซุ่นเกอ” อี้เกอกัดผิงกั่วในมือไปหนึ่งคำ “หากไม่ใส่ครานี้ คราหน้าอยากใส่ก็คงเล็กไปเสียแล้ว”
เสียงเกอคร้านจะอธิบาย เขาชักสีหน้า ถามด้วยเสียงเย็นๆ ว่า “ไม่ได้รึ”
“ได้เจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ก้มหน้าลงอย่างไร้ความกล้า นางนำชุดนั้นผลัดเปลี่ยนให้ซุ่นเกอทันที
คุณชายทั้งสองพอใจเป็นอย่างมาก
“ท่านพี่ ข้าแปลกใจนัก ครานั้นท่านแม่เอ่ยว่าน้องซุ่นเป็นน้องสาว เหตุใดต่อมาจึงให้พวกเราเรียกว่าน้องชายเล่า ที่แท้เสื้อผ้าอาภรณ์ก็สวมผิดหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ คุณชายสามนั้นเป็นเด็กผู้ชาย” หญิงรับใช้อดไม่ไหวตอบขึ้นมา
“พูดไปเรื่อย ซุ่นเกอเป็นเด็กผู้หญิงชัดๆ “
หญิงรับใช้ผู้นั้นทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “นั่นเป็นเพราะว่าคุณชายสามสวมใส่อาภรณ์ของเด็กผู้หญิงอย่างไรเล่าเจ้าคะ จึงดูเหมือนเด็กผู้หญิง”
อี้เกอยิ่งไม่เข้าใจไปอีก “อย่างนั้นเด็กหญิงและเด็กชายต่างกันอย่างไรเล่า เหตุใดเมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เปลี่ยนจากชายเป็นหญิงได้แล้ว อย่างนั้นหากท่านพ่อเปลี่ยนไปสวมกระโปรง ก็จะดูเหมือนท่านแม่หรือ”
หญิงรับใช้อดไม่ได้ที่จะคิดภาพตามว่าหากชื่อจื่อเปลี่ยนไปสวมกระโปรงจะเป็นอย่างไร รู้สึกว่าภาพในหัวนั้นงดงามเสียจนพวกนางไม่กล้ามอง จึงเอ่ยออกมาอย่างเขินอายว่า “ไม่เหมือนแน่นอนเจ้าค่ะ”
“นั่นอย่างไรเล่า ซุ่นเกอก็จึงเป็นน้องสาวอย่างไรหล่ะ”
หญิงรับใช้อดใจไม่ไหวแทบจะเอาศีรษะโขกกำแพงทีเดียว แม่นมของซุ่นเกอฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว นางแทบจะลั่นสาบานเอาไว้ว่าจะปกป้องเกียรติของนายน้อยให้คงอยู่ “คุณชายรอง คนนั้นหากยังไม่เติบใหม่ หน้าตายังไม่เติบโตเต็มที่ ไม่สามารถตัดสินได้จากเสื้อผ้าอาภรณ์เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นต้องดูที่อะไรเล่า” หน้าตาเขาเริ่มเย็นชาแล้ว เสียงเกอที่มีคำถามในใจไม่แพ้น้องชายเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัยในใจ
แม่นมอ้ำอึ้งอยู่กว่านาน เมื่อเห็นว่าคุณชายทั้งสองเริ่มไม่มีแก่ใจอดทน อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงผู้หญิงที่เลี้ยงดูเด็กมา ก็ต้องไม่หน้าบางเท่าหญิงรับใช้พวกนั้นอยู่แล้ว จึงกัดฟันตอบไปว่า “เด็กชายเมื่อต้องปัสสาวะจะต้องยืนขึ้น แต่เด็กสาวเมื่อต้องปัสสาวะจะต้องนั่งยองๆ ซุ่นเกอก็เหมือนกับคุณชายทั้งสองนั่นแล ดังนั้นจึงเป็นเด็กชายแน่นอนเจ้าค่ะ”
อี้เกอกะพริบตาอยู่นาน ราวกับว่าเข้าใจแล้ว เสียงเกอหัวเราะออกมาด้วยเสียงเย็นๆ ว่า “คำโบราณว่าไว้ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดนั่งยองๆ เพื่อปัสสาวะเลย แม่นมเองก็อย่าพูดโดยไม่คิด”
แม่นมหน้าแดงก่ำ นางลอบส่งสายตาไปยังหญิงรับใช้ก่อนเอ่ย “ประเดี๋ยวหากจะไปโขกกำแพงจริงๆ ก็เรียกข้าด้วยแล้วกัน”
ยังดีที่ครานี้มีหญิงรับใช้มาเรียก “ท่านแม่ให้มาตามคุณชายทั้งสามไปรับแขกเจ้าค่ะ ต้องรีบหน่อยนะเจ้าคะ”
แต่เมื่อนางเห็นการแต่งกายของซุ่นเกอก็ตกใจจนชะงัก ด้วยทราบว่าเป็นการสั่งการของคุณชายใหญ่ จึงค่อนข้างเข้าใจเหล่าหญิงรับใช้ที่กล้ามีโทสะแต่ไม่กล้าเอ่ยออกมา เมื่อคิดได้ว่าคุณชายสามนั้นเองก็ยังเล็กนัก เมื่อสวมใส่แบบนี้แล้วก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อันใดนัก จึงไม่กล้าเอ่ยอันใดให้มากความอีก เร่งนำคุณชายทั้งสามไปเข้าเฝ้าทันที
เหล่าเจ้านายทั้งหลายล้วนประจำที่ในโถงใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่านั้นเรี่ยวแรงถดถอยไปมาก นางนั่งอยู่ครู่เดียวก็ไปพักผ่อนเสียแล้ว คนสกุลซ่งเมื่อทราบว่าเมี่ยวเจินและชูสยาจวิ้นจู่มีเรื่องต้องพูดคุย ก็ล้วนผละไปรวมตัวกันอยู่ที่ห้องจางหลัว เหลือเพียงเถียนเสวี่ยที่นั่งอยู่เป็นคู่
เจินเมี่ยวขอบตาแดงก่ำ ชูสยาจวิ้นจู่ก็กำผ้าเช็ดหน้าคอยซับน้ำตา
เถียนเสวี่ยจึงหัวเราะก่อนเอ่ย “พี่สะใภ้ องค์หญิง พวกท่านอย่าร้องอีกเลย พอพวกท่านร้องไห้ เด็กๆ เหล่านี้ก็ล้วนไม่กล้าเอยความอันใดเสียแล้ว”
เจินเมี่ยวมองไปยังเด็กสาวสองคนที่อยู่ข้างกายชูสยาจวิ้นจู่ พลางเอ่ยอย่างอิจฉาว่า “ชูสยา ลูกสาวทั้งสองของเจ้างดงามราวกับบุปผา ทั้งสวยงามและยังเฉลียวฉลาด ไม่เหมือนข้า คลอดออกมาล้วนแล้วแต่เป็นเด็กซนทั้งสามคน เอาแต่ทะเลาะกันเสียจนคนปวดเศียรเวียนเกล้า”
ชูสยาจวิ้นจู่เม้มริมปีฝากหัวเราะ “คนโตบ้านข้าผู้นั้น ก็เป็นเช่นเดียวกัน”
นางให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน ธิดาหนึ่งคน ไม่สะดวกที่จะมาด้วยกัน ครั้งนี้พามาเพียงธิดาทั้งสองคนเท่านั้น คนโตนั้นวัยเท่ากันกับอี้เกอ คนเล็กนั้นอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้น
กำลังเอ่ยถึงเมื่อครู่ คุณชายทั้งสามก็มาถึงพอดี ต่างเรียกเจินเมี่ยว “ท่านแม่” อย่างพร้อมเพรียง ชูสยาจวิ้นจู่จ้องไปที่ซุ่นเกอ สีหน้าลำบากใจยิ่งนัก “จยาหมิง เจ้าพูดมาตามตรงเดี๋ยวนี้ คนแซ่หลัวนั่นดีกับเจ้าหรือไม่ หากไม่ไหวจริงๆ ครั้งนี้กลัวไปข้าจะพาเจ้ากลับไปด้วย เมื่อไปถึงหมานเหว่ยแล้วเรามาร่ำสุราและกินเนื้อกันใหม่เต็มที่ หากเจ้าไม่ต้องการบุรุษเชื้อพระวงศ์ ชายชาวฮั่นร่างกำยำก็เลือกได้ตามใจเจ้าปรารถนา หากยังไม่พอใจอีกจะเปลี่ยนเมื่อไรก็ย่อมได้
บุรุษมีอนุนั้น นางไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ในเมื่อจยาหมิงให้กำเนิดลูกออกมาตั้งสามคนแล้ว หลัวเทียนเฉิงยังมีบุตรธิดาอีกคนที่เด็กกว่าลูกคนแรกไปไม่เท่าไรอีก ช่างไม่มีความเป็นมนุษย์เสียเหลือเกิน
ตั้งแต่ที่นางสมรสกับท่านอ๋อง ก็มีความคับแค้นใจในปีนั้นเอง เพราะท่านอ๋องนั้นก็แต่งงานกับหญิงอีกคนทันที เขารู้ทั้งรู้ถึงความอดทนในใจนาง จึงไม่กล้ามีบุตรคนใด
หากจยาหมิงอายุสามสิบสี่สิบก็ว่าไปอย่าง แต่บัดนี้นางอยู่ในกำดัด หากบุรุษไม่มีความเคารพให้ละก็ คงทำให้ผู้อื่นเหยียดหยามไม่น้อย
เจินเมี่ยวไม่ได้สนใจในการตอบคำถามชูสยาจวิ้นจู่ นางถลึงตาทั้งสองข้างเอ่ยขึ้น “เกิดเรื่องอันใดกัน”
เมื่อสิ้นเสียงผรุสวาท จึงได้ปรากฏความจริงขึ้น เจินเมี่ยวไล่คนออกไปอย่างหน้าดำคร่ำเครียด “ทำเสียเรื่องยิ่งนัก เสียงเกอ อี้เกอ พวกเจ้าดูแลน้องสาวทั้งสองให้ดี ถือว่านี่เป็นการทำความดีชดเชยความผิดเสีย”
เมื่อเด็กทั้งหมดออกไปแล้ว จึงได้นับว่าความสงบกลับคืนมาแล้ว ทั้งสองต่างก็บอกเล่าถึงเรื่องราวที่ผ่านมาหลายปีนี้ แต่หัวข้อสนทนาก็ยังวนเวียนอยู่กับบรรดาบุตรธิดาทั้งหลาย
“เจ้าเชื่อแล้วใช่หรือไม่ ลูกชายคนเดียวซนไม่ได้เท่าใดหรอก หากมีสองคนละก็แทบจะทำให้คนเอาศีรษะโขกกำแพงได้เลย แต่หากมีสามคน นั่นก็แทบจะทำให้ฟ้าถล่มได้เลยทีเดียว”
ชูสยาจวิ้นจู่ยิ้มปลอบใจนางก่อนเอ่ยขึ้น “บุตรชายนั้นแม้จะซุกซนไปเสียหน่อย แต่ถือว่าฉลาด เมื่อโตแล้วก็ยังถือว่ามีความสามารถนัก”
ขณะที่กำลังเอ่ยนั้น ก็มีเด็กสองคนวิ่งเข้ามา ชูสยาจวิ้นจู่เพ่งตามอง นั่นมิใช่ลูกสาวของนางหรอกหรือ คนน้องที่น้ำตาคลอเบ้ากำลังถูกคนเป็นพี่สาวจูงมือเข้ามาด้วยอารมณ์โกรธขึ้ง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ธิดาคนโตเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านพี่ทั้งสองรังแกพวกเรา นิสัยไม่ดีเสียเลย”
เสียงนางก้องกังวาน ใช้ภาษาต้าโจวได้ดีนัก
เจินเมี่ยวรีบเอ่ยขึ้น “รีบบอกป้ามา เจ้าเด็กเลวสองคนนั้นรังแกเจ้าอย่างไร ป้าจะไปจัดการพวกเขาให้”
องค์หญิงน้อยกัดริมฝีปากแน่น หน้าแดงก่ำ อาจจะเป็นเพราะไม่สนิทชิดเชื้อเท่าใดนัก นางจึงไม่ได้สนใจในคำพูดของเจินเมี่ยว
ชูสยาจวิ้นจู่สีหน้าขรึมลงทันที “แม่ไม่ได้บอกเจ้าแล้วหรือ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเด็กผู้หญิง ก็อย่าทำตัวอ่อนแอ หากเรื่องน่าน้อยใจเพียงนิดก็ทนไม่ได้ เอาแต่ร้องไห้ปาดน้ำตาอยู่อย่างนี้จะเหมือนอะไรกันเล่า รีบนำน้องสาวเจ้าไปล้างหน้าล้างตาเสีย อีกประเดี๋ยวก็ยังต้องให้ท่านพี่ทั้งสองคอยดูแลพวกเจ้าอยู่ดี”
หลังจากนั้นค่อยหันไปเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “เด็กๆ เล่นกันก็ต้องมีทะเลาะกันบ้าง ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ที่หมานเหว่ย เด็กๆ เหล่านั้นก็ล้วนแต่ทะเลาะตบตีกันตั้งแต่เล็ก พวกเขารูปร่างกำยำแข็งแกร่งยิ่ง เด็กผู้หญิงก็เช่นกัน”
เจินเมี่ยวท้อแท้ในใจยิ่งนัก ลูกชายคนโตทั้งสองหลายวันก่อนยังซื้อนู่นซื้อนี่ทำท่าทางราวกับเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ อยู่เลย ทั้งยังบอกอีกว่าจะต้อนรับแขกตัวน้อยอย่างดี จะคอยแบ่งเบาภาระนาง เหตุใดเวลาเพียงผู้เดียว จึงทะเลาะกันเสียได้เล่า
หากว่ากันตามจริง อี้เกอยังมีสุขุมอยู่มาก เสียงเกอก็มีความหนักแน่น แม้จะเป็นเด็กซนในบ้าน แต่เมื่ออยู่ข้างนอกก็แสดงออกได้ไม่เลวนี่นา
ไม่ถูกต้อง หากไม่มีเรื่องอันใด เด็กทั้งสามคนนั้นก็ต้องรีบวิ่งตามเข้ามาแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้คิดว่าคงต้องทำอะไรผิดแล้วรีบไปซ่อนตัว
เจินเมี่ยวเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงมองไปทางเด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เด็กสาวผู้นี้เพิ่งจะอายุหกขวบ นับว่าอยู่ในวัยที่มีความดื้อรั้นสูงอีกทั้งยังพูดจาไม่มีการปกปิดใดๆ เมื่อเห็นว่าท่านแม่ของตนไม่ได้ออกหน้าแทนตนและน้องสาว ยิ่งโกรธขึ้นไปอีก “ท่านแม่ ข้ามิได้เอ่ยอันใดผิด พี่ชายทั้งสองคนนั้นเป็นคนนิสัยไม่ดีจริงๆ ตอนที่น้องสาวข้าไปทำธุระในห้องน้ำ พวกเขา…พวกเขากลับวิ่งไปแอบดู”
เกิดเสียงดังปัง เจินเมี่ยวถูกฟ้าผ่าเสียจนไหม้เกรียม
นางรู้ดีว่าลูกชายนั้นหากมีมากไปก็ชวนให้ปวดเศียรเวียนเกล้า แต่นางคิดไม่ถึงว่า คนโตทั้งสองเพิ่งจะอายุเพียงหกขวบก็เรียนรู้ที่จะลวนลามเด็กสาวแล้วหรือ
เมื่อมองไปยังลูกสาวคนเล็กของชูสยา ก็อดใจไม่ไหวที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
ต่อให้เป็นการลวนลาม ก็ไม่ควรจะลวนลามเด็กที่ยังมีน้ำมูกอยู่เต็มจมูกกระมัง หากถูกเฆี่ยนตีขาด้วยสาเหตุจากเรื่องอันนี้ ก็คงไม่คู่ควร
“จยาหมิง เจ้าก็จะไปที่ใดกันเล่า”
“ข้าขอตัวสักครู่ ข้าจะไปเฆี่ยนตีลูกทั้งสองให้ขาหักเสียก่อนแล้วค่อยกลับมาดื่มชากับเจ้า”