วาสนาบันดาลรักตอนพิเศษ 2 ทิวทัศน์แห่งหมานเหว่ย

ตอนพิเศษ 2 ทิวทัศน์แห่งหมานเหว่ย

ทุ่งหญ้าก่อตัวเป็นคลื่น อาทิตย์อัสดงแผดเผา ทุ่งหญ้าที่ยาวไกลสุดลูกหูลูกตามองไปคล้ายทะเลมรกต ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับขอบฟ้า ณ ดินแดนอันไกลโพ้น และ ณ ขอบฟ้าแห่งนั้น ฝุ่นตลบอบอวล เสียงเกือกม้ากระแทกปฐพี คนกลุ่มใหญ่กำลังควบม้ามุ่งหน้าเข้ามา

 

 

เมื่อเข้ามาใกล้ คนกลุ่มนี้จึงหยุดลง ระหว่างนั้นทุกอย่างก็เงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงลมโชยพัดเท่านั้น

 

 

ที่น่าประหลาดใจก็คือ คนกลุ่มนี้ทั้งหมดสวมใส่ชุดเครื่องแบบทางการ ขากางเกงล้วนเก็บรวบอยู่ในรองเท้าหุ้มข้อที่ทำด้วยหนังลา อีกทั้งยังเป็นหญิงสาวทั้งหมด

 

 

ในมือของหญิงสาวที่เป็นผู้นำถือธนูคันยาว ขาสองข้างหนีบอยู่แนบลำตัวม้าพลางขี่ขึ้นมาข้างหน้า เมื่อมองเห็นกลุ่มสีแดงท่ามกลางคลื่นหญ้า นางยกยิ้มในแววตา คลายมือลงในฉับพลัน ลูกธนูก็พุ่งฉิวออกไปทันที

 

 

ขณะเดียวกันนั้นเอง มีลูกธนูอีกดอกหนึ่งจากคันธนูของหญิงสาวอีกคนซึ่งอยู่ใกล้กันยิงออกมา ลูกธนูทั้งสองดอกพุ่งไปยังจุดสีแดงเดียวกันนั้น

 

 

ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องดังขึ้น จุดสีแดงนั้นสั่นไหวอยู่พักใหญ่ หญ้าโดยรอบหมอบโค้งลงทุกทิศทาง

 

 

หญิงสาวซึ่งเป็นผู้นำเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยด้วยความโมโห “โอวหยางเถา เจ้ามาแย่งข้าอีกแล้ว!”

 

 

โอวหยางเถาใบหน้ากลมมน มิได้ดูขาวผุดผาดอย่างตอนอยู่ที่เมืองหลวง พวงแก้มดูมีเลือดฝาดของนางชวนให้รู้สึกฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น นางหรี่ตาลง หัวเราะพลางเอ่ย “องค์หญิง ตกลงกันไว้แล้วนี่นาว่าผู้ใดพบจิ้งจอกแดงก่อนก็จะตกเป็นของผู้นั้น นี่พวกเราเจอพร้อมกันเลยกระมัง อีกประการหนึ่ง ฝีมือธนูของข้าก็แข็งแกร่งว่าท่านอยู่บ้าง ยิงลูกธนูดอกนี้เสริมเข้าไป เจ้าจิ้งจอกแดงตัวนี้จะได้หนีไม่ได้อีก”

 

 

“โอวหยางเถา แน่จริงเจ้าก็พูดอีกรอบสิ!” ชูสยาจวิ้นจู่ซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีแดงถลึงตาโต เห็นได้ชัดเลยว่าโมโหเข้าแล้วจริงๆ ทว่าเมื่อมองจากลักษณะท่าทางและการเอ่ยวาจานั้น ก็พอมองออกถึงความสนิทสนมของทั้งสอง

 

 

โอวหยางเถากลับไม่กลัวนางเลยสักนิด นางแลบลิ้นพลางเอ่ย “พี่สะใภ้คนดี อย่าโกรธเคืองข้าเลยนะ ข้ารู้ว่าท่านต้องการจิ้งจอกแดงตัวนี้ไปทำเป็นผ้าพันคอ ข้าไม่แย่งชิงกับท่านแล้วก็ได้”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ยื่นมือออกไป ทั้งยังบีบแก้มแดงๆ ของนางเข้าเต็มรัก “อย่ามาเรียกข้าว่าพี่สะใภ้เชียว ใครพี่สะใภ้เจ้ากัน ข้าไม่เอาไปทำผ้าพันคอให้คนนิสัยแย่ผู้นั้นหรอก เขาอยากทำอะไรก็ช่าง ใครสนใจกันเล่า”

 

 

โอวหยางเถานัยน์ตาระยิบระยับ นางไม่ได้สนใจในจิ้งจอกแดงที่นอนอยู่บนลานหญ้าอีกต่อไป พลางกระตุกบังเ**ยนคุมม้าให้ก้าวเข้าไปใกล้ขึ้น ส่งเสียงต่ำถามออกไป “องค์หญิง ยังขุ่นเคืองใจชิงหลังอ๋องอยู่อีกหรือเพคะ”

 

 

ปีก่อนองค์ชายใหญ่รับตำแหน่งอ๋อง ได้รับสมญานามว่าชิงหลังอ๋อง ชูสยาจวิ้นจู่จึงกลายเป็นต้าหวังโฮ่วทันที

 

 

“ขุ่นเคืองอะไรกัน ในเมื่อเขาจะเป็นหรือตายก็ไม่ยอมให้ข้าแม้แต่ไปเยี่ยมเยียน ข้าก็จะไม่สนใจในตัวเขาอีก” เมื่อชูสยาจวิ้นจู่คิดถึงที่ท่านอ๋องไม่ยินยอมให้นางกลับเมืองหลวงไปเยี่ยม ในใจก็เต็มไปด้วยโทสะที่ไม่รู้มาจากแห่งหนใด”

 

 

สายตาของโอวหยางเถามองไปยังบรรดาหญิงสาวที่ติดตามมาด้านหลัง ทั้งยังหัวเราะอย่างขบขัน “ไม่สนใจก็ดีแล้ว เฮ้อ เช่นนั้นข้าจะไปนำจิ้งจอกแดงตัวนั้นกลับมาให้นะเจ้าคะ”

 

 

นางเร่งควบม้าไปยังทิศที่จิ้งจอกแดงตัวนั้นอยู่พลางลอบหัวเราะ หลั่งน้ำตาแห่งความเห็นใจให้กับองค์ชายใหญ่

 

 

ด้วยมิเคยเห็นสามีภรรยาคู่ใดที่ขุ่นเคืองใจกันแล้ว ฝ่ายภรรยานำอนุทั้งหลายออกมาเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่อยู่ภายนอก ทิ้งสามีไว้อีกทาง ดูเหมือนว่าคงอีกไม่นานชิงหลังอ๋องคงต้องก้มหัวให้เสียแล้ว

 

 

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงควบม้าดังขึ้น หันหลังกลับไปมองก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งควบม้าเข้ามา ผู้นำก็คือองค์ชายใหญ่นั่นเอง

 

 

เขาควบม้าทะยานพุ่งตรงไปหาชูสยาจวิ้นจู่ คิ้วเข้มและดวงตากลมโตยิ่งขับให้ความขุ่นเคืองชัดเจนขึ้นไปอีก เขาจับแขนของชูสยาจวิ้นจู่เอาไว้พลางเอ่ย “ชูสยา เจ้าก่อนเรื่องอีกแล้วนะ ไม่รู้รึว่าแถวมีหมาป่าชุกชุม อาจจะออกมาทำร้ายคนได้ เช่นนั้นเหล่าพวกผู้หญิงอย่างพวกเจ้าจะทำอย่างไรกัน”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่สลัดแขนของเขาออกไป แค่นเสียงเหอะคราหนึ่ง “ท่านจะสนใจทำไมกัน”

 

 

ว่าแล้วก็ฟาดลงที่บั้นท้ายม้าอย่างรุนแรง “ย่าห์!”

 

 

องค์ชายใหญ่เห็นเช่นนั้น ก็เร่งรุดตามไปทันที

 

 

เหลือเพียงองค์ชายรองที่ตามมาด้วยกำลังนวดขมับของตนอยู่ เมื่อเห็นจิ้งจอกแดงในมือโอวหยางเถาดวงตาเขาก็พลันเป็นประกาย “เถาจื่อ จิ้งจอกแดงตัวนี้ช่างงดงามนัก ฮะฮ่า เจ้าจะมอบมันให้กับข้างั้นหรือ”

 

 

ผู้หญิงหมานเหว่ยล้วนชำนาญเรื่องการขี่ม้าและยิงธนูล่าตัวเป้าหมายไปให้คนที่ตนชอบพอ ทั้งนี้ล้วนเป็นประเพณีนิยมที่ปฏิบัติต่อกันมา

 

 

“มิใช่เสียหน่อย นี่เป็นสิ่งที่องค์หญิงจะมอบให้ท่านอ๋อง” โอวหยางเถาตอบ”

 

 

องค์ชายรองหน้าเสียทันที “องค์หญิงยังรู้ว่าต้องมอบของให้พี่ใหญ่ เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าต้องให้ข้าเช่นกัน เจ้าไม่เคยมอบของขวัญที่ได้จากการออกล่าด้วยตัวเองให้ข้าเลยสักครั้ง”

 

 

คลื่นในดวงตาของโอวหยาวเถากระเพื่อมไหว ยกมุมปากเอ่ย “ให้ข้ามอบก็ได้ แต่ว่าท่านต้องรับปากเงื่อนไขข้าข้อหนึ่ง”

 

 

“เงื่อนไขอะไร” องค์ชายรองขยับเข้ามาใกล้

 

 

“หลายวันก่อนมิใช่ว่าปาหลุนจะให้ลูกสาวของเขาแต่งเป็นชายาของท่านหรอกหรือ ท่านรีบปฏิเสธเสีย แล้วข้าจะมอบให้ท่าน”

 

 

“หากอยู่ที่ต้าโจว จะรับชายาสักคนนางจะไม่ใส่ใจ แต่กฎเกณฑ์ที่หมานเหว่ยแตกต่างออกไป บุรุษในราชตระกูลแต่งภรรยาได้หลายคน ถึงตอนนั้นลูกที่เกิดมาก็ล้วนเป็นผู้สืบทอด มีสิทธิ์ในการครองตำแหน่งอ๋องเช่นกัน นางไม่อยากให้บุตรชายต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ในภายภาคหน้า

 

 

เมื่อองค์ชายรองนึกถึงรูปลักษณ์อันงดงามของลูกสาวปาหลุนแล้วก็รู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย

 

 

แน่นอนว่าเถาจื่อเป็นหญิงที่ดีมากอยู่แล้ว ทว่าเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เขาย่อมอยากลิ้มรสหลีจื่อ[1] หรือซิ่งจื่อ[2]ดูบ้าง แม้แต่เหล่าบรรดาอ๋องทั้งน้องพี่ต่างก็หัวเราะเยาะเขา หลายปีมานี้เฝ้าอยู่กับหญิงสาวที่มาจากต้าโจวเพียงผู้เดียว ไม่รู้เลยว่าหญิงอื่นเป็นเช่นไรบ้าง

 

 

องค์ชายรองค่อนข้างลังเล ทอดสายตาไปยังร่างของจิ้งจอกแดงอีกครา อย่างไรความรู้สึกอิ่มเอมที่ได้รับของขวัญที่ล่าได้เองจากภรรยาก็ยังมีมากกว่า

 

 

ช่างเถอะ เขาเพียงแค่หวั่นไหวอยากลิ้มลองก็เท่านั้น ทว่าเรื่องนี้หรือจะสู้ของขวัญที่เถาจื่อมอบให้ได้

 

 

“ได้ ปฏิเสธก็ปฏิเสธสิ แต่เจ้าต้องให้หนังจิ้งจอกที่ดียิ่งกว่านี้กับข้า”

 

 

โอวหยางเถายิ้มกริ่มพลางรับคำ เมื่อทั้งสองกลับไปที่ตำหนักแล้ว ตกดึก จึงสรรหานางกำนัลใบหน้างดงามมามอบถึงกระโจมขององค์ชายรอง

 

 

การจัดการเรื่องเช่นนี้ แน่นอนว่าในใจนางย่อมไม่สบายใจ ทว่านางเองเข้าใจดี แม้ว่าองค์ชายรองจะรักนางมากเพียงใด หากแต่งงานกันเป็นเวลานาน ก็ย่อมมีความปรารถนาหวั่นไหวดังเช่นนิสัยบุรุษบ้าง หากจะสกัดกั้นน้ำ มิสู้ปล่อยให้น้ำไหลอย่างมีทิศทางดี นางขัดขวางได้หนึ่งครั้งแต่ไม่อาจขัดขวางครั้งที่สองไม่ได้ ผ่านไปอีกหลายปีก็คงขัดมิได้แล้ว จะจัดหาอนุที่ทัดเทียมกับนางมาสักสองสามคน มิสู้ให้เขามีประสบการณ์ในตอนนี้มากสักหน่อย เมื่อความหวานหอมเลยผ่านไปแล้วก็เป็นใช้ได้

 

 

หญิงสาวจากหมานเหว่ยมิได้ให้ความสำคัญกับพรหมจรรย์มากนัก บรรดานางกำนัลสาวที่คัดสรรมา ฐานะค่อนข้างต่ำต้อยนัก ต่อไปก็สามารถแต่งงานออกไปได้เช่นกัน

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ โอวหยางเถาก็ไม่ได้เศร้าใจอีกต่อไป อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่สามารถควบอาชาห้อตะบึงได้อย่างอิสระ ก่อนหน้าที่อยู่เมืองหลวงแม้แต่จะคิดยังไม่กล้า

 

 

เครื่องพันธนาการของชาวหมานเหว่ยที่มีต่อหญิงสาวน้อยนิดเสียจนไม่น่าเชื่อ

 

 

องค์ชายรองอยู่ในช่วงวัยแรกรุ่นของชีวิต ด้วยนิสัยการทานเนื้อสัตว์เป็นหลักของเขาจึงมีร่างกายที่แข็งแรง ยามเมื่อเผชิญกับนางกำนัลที่องค์หญิงส่งมาให้ซึ่งมีฐานะต่ำต้อยกว่าสัตว์ป่า เขาก็มิได้ออมแรงนัก สามารถดื่มด่ำได้เต็มที่

 

 

กว่าครึ่งเดือนแล้วที่ล้วนแต่มีนางกำนัลหน้าตางดงาม แรกเริ่มยังคงมีความลุ่มหลงความแปลกใหม่ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปกลับรู้สึกว่าไม่สนุกเอาเสียเลย เมื่อไปหาโอวหยางเถา นางก็มิได้โกรธ เพียงแค่ไม่ยินยอมให้แตะเนื้อต้องตัว ไม่ถึงครึ่งปี องค์ชายรองก็เป็นผู้เบื่อหน่ายวันคืนเช่นนี้เสียเอง มอบนางกำนัลให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา แล้วเอาแต่กอดเกี่ยวชายาอ๋องเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

 

 

วันนั้นเอง โอวหยาวเถาได้มอบหมวกที่ทำขึ้นจากหนังจิ้งจอกให้แก่เขา องค์ชายรองเบิกบานใจเป็นอย่างมาก รู้สึกแต่เพียงว่าเถาจื่อของตนนั้นดีที่สุดแล้ว พวกพี่น้องเหล่านั้นก็เป็นเพียงองุ่นเปรี้ยว เขาจะไม่หลงกลของพวกเขาเหล่านั้นอีก

 

 

แต่ชูสยาจวิ้นจู่ที่กำลังพาบรรดาหวังโฮ่วเล่นไพ่กันอยู่ คนที่ต่อคิวไม่ทัน ก็ยืนดูไพ่อยู่รอบข้าง บางครั้งบางคราวยังลอบแอบบอกไพ่ให้นางด้วย ชูสยาจวิ้นจู่ชนะไปได้เป็นกองขนาดย่อม ส่วนสามคนที่เหลือพ่ายแพ้เสียจนใบหน้าหม่นหมอง เข้าทะเลาะเบาะแว้งกับบรรดาคนที่ดูไพ่

 

 

เมื่อองค์ชายใหญ่เดินมาถึง เห็นสภาพการณ์อึกทึกคึกโครมเช่นนี้ ทว่ากลับไม่มีใครสนใจจะมองมาที่เขา

 

 

เขาหลั่งน้ำตาอยู่เงียบๆ

 

 

บรรดาหวังโฮ่วตำหนักอื่นล้วนเอาใจล้อมหน้าล้อมหลังท่านอ๋อง เหตุใดหวังโฮ่วตำหนักตนจึงเอาแต่ล้อมหน้าล้อมหลังต้าหวังโฮ่วกันเล่า

 

 

องค์ชายใหญ่ผ่านวันคืนเหล่านั้นมาาอย่างยากลำบาก ส่งเสียงกระแอมในลำคอขึ้นหนึ่งที ด้วยอยากเตือนคนในกระโจมว่าตนมาถึงแล้ว

 

 

ใครจะรู้ว่าบรรดาหวังโฮ่วเพียงมองมาที่หน้าประตูแวบเดียว ขณะเดียวกันก็แสดงสีหน้าตื่นเต้น หนึ่งในนั้นอดไม่ไหวเอ่ยขึ้น “ประเดี๋ยวก็ถึงตาข้าเล่นแล้ว ท่านอ๋อง หากท่านอยากเล่น ก็มาต่อหลังข้าก็แล้วกัน”

 

 

อีกสองคนที่กำลังดูไพ่เช่นกันก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินดี “ไม่ได้สิ อย่างนั้นมิใช่แซงข้าหรอกหรือ”

 

 

ในที่สุดองค์ชายใหญ่หน้าดำคร่ำเครียด “พอแล้ว พวกเจ้าออกไปให้หมด!”

 

 

หากพยัคฆ์ไม่คำราม พวกนางคงมองว่าเขาเป็นแมวป่วยกระมัง แต่ละคนกำเริบเสิบสานยิ่งนัก

 

 

หวังโฮ่วหลายคนตกตะลึงในทันที กรูกันมองไปยังชูสยาจวิ้นจู่

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่โบกไม่โบกมือ “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด หากยังอยากเล่นอีก วันหน้าค่อยมาก็ได้ ข้ายังรู้วิธีการเล่นอีกหลายแบบเชียวละ”

 

 

หวังโฮ่วเหล่านั้นถึงได้ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก

 

 

สามคนที่เล่นแพ้ไพ่เสียจนอารมณ์ไม่ดีนัก อีกสามคนที่รอคอยที่จะได้เล่นอารมณ์เสียยิ่งกว่า เมื่อมองเห็นแขกไม่ได้รับเชิญที่หน้าประตูก็รู้สึกไม่ถูกชะตายิ่งนัก

 

 

หวังโฮ่วที่อยู่ด้านหน้าติดตามองค์ชายใหญ่มานานที่สุด เมื่อเดินไปอยู่ต่อหน้าเข้าแล้วจึงหยุดฝีเท้า ส่งสายตาเย็นชาพลางเอ่ย “ท่านอ๋องเพคะ สองสามวันนี้ หม่อมฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก คงรับใช้ท่านไม่ได้ ท่านไปหาบรรดาน้องหญิงเหล่านั้นเถิดเพคะ”

 

 

องค์ชายใหญ่มิได้ตอบอะไร รอจนกระทั่งได้ฟังเหตุผลเดียวกันถึงห้าครั้ง ในที่สุดก็พลันโกรธขึ้ง เอ่ยกับหวังโฮ่วคนสุดท้ายว่า “เจ้าก็ไม่สบายงั้นหรือ ถอดกางเกงลงให้ข้าดูบัดเดี๋ยวนี้”

 

 

หวังโฮ่วคนสุดท้ายแต่งเข้ามาหลังจากแต่งงานกับชูสยาจวิ้นจู่ได้สองสามปี นางยังเยาว์วัยเป็นที่สุด เมื่อได้ยินองค์ชายใหญ่กล่าวเช่นนี้ จึงค่อนข้างตื่นตระหนก รีบร้อนส่ายศีรษะ

 

 

“เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะไปหาเจ้า” องค์ชายใหญ่ที่พอจะรักษาหน้าเอาไว้ได้เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม

 

 

“ตายจริง ไม่ได้เพคะ” หวังโฮ่วน้อยกัดริมฝีปาก เอ่ยอ้างประโยคหนึ่งขึ้นว่า “ข้า ม้าที่ข้าเลี้ยงนั้นไม่ค่อยสบาย ข้าต้องไปดูหน่อยแล้ว” เมื่อเอ่ยจบ ก็มิกล้ามองหน้าองค์ชายใหญ่ วิ่งผลุนผลันออกไปทันที

 

 

องค์ชายใหญ่ยืนอยู่กับที่ ราวกับก้อนหินก็ไม่ปาน เนิ่นนานกว่าที่เขาจะได้สติจากเสียงหัวเราะดังราวกับเสียงกระดิ่งของชูสยาจวิ้นจู่ สาวเท้ายังไปข้างกายนาง มิได้เอ่ยคำใดออกมา โอบกอดนางเอาไว้ ขยี้จูบลงไปอย่างรุนแรง

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ดิ้นรนสุดชีวิต ทั้งยังเหยียบเท้าองค์ชายใหญ่อย่างแรง

 

 

องค์ชายใหญ่จึงได้ปล่อยตัวนาง เอ่ยอย่างจนใจ “ชูสยา เหตุใดเจ้าจึงได้เอาแต่ใจถึงเพียงนี้ ตอนนี้ข้าเป็นถึงท่านอ๋องแห่งหมานเหว่ย ไม่อาจจากที่นี่ไปยังต้าโจวได้โดยง่าย เจ้าเป็นต้าหวังโฮ่ว จะไปคนเดียวได้อย่างไร”

 

 

“ใครว่าข้าไปคนเดียว ข้าพาโอวหยางเถาอีกไปด้วย”

 

 

องค์ชายใหญ่ลูบจมูกตนเองเบาๆ ทอดถอนหายใจให้แก่น้องชายที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่สีหน้าแข็งกระด้างทันที “ท่านยังกล้าพูดเช่นนี้อยู่อีกหรือ ปีนั้นบอกว่าจะพาข้าไป สุดท้ายพอข้าตั้งครรภ์ หลังจากนั้นสองปีกว่าจะเป็นอิสระ ท่านก็ทำให้ข้าตั้งครรภ์อีกครั้ง ผ่านไปอีกสองปี ท่านขึ้นเป็นอ๋อง หลังจากนั้นก็บอกข้าว่าอ๋องแห่งหมานเหว่ยเข้าเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีใครรังแกข้าได้เท่ากับท่านอีกแล้ว ท่านคิดเอาเองเถิด นานเพียงใดแล้วที่ข้าไม่ได้กลับไปที่นั่น ข้าไม่ปรารถนาว่าชาตินี้จะไม่ได้พบเจอกับท่านพ่อท่านแม่หรือสหายข้าอีกนะ หากท่านไม่รับปาก ก็อย่าได้มาหาข้าอีก”

 

 

นางยิ่งเอ่ยยิ่งน้อยใจ ขอบตาแดงก่ำไปหมด

 

 

องค์ชายใหญ่ที่ได้เห็นแล้วรู้สึกปวดใจยิ่งนัก สุดท้ายจึงยอมใจอ่อน “ได้ๆ ข้ารับปากเจ้าก็ได้”

 

 

“เช่นนั้น ต่อจากนี้สองปีข้าจะกลับไปหนึ่งครั้ง” ชูสยาจวิ้นจู่ถือโอกาสนี้ได้คืบจะเอาศอก

 

 

“ได้” ชายาคนอื่นๆ ล้วนแต่ถูกชูสยาจวิ้นจู่จูงจมูกไปกันหมด องค์ชายใหญ่ที่ถูกหลอกเสียจนหน้าแดงจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับชะตากรรม

 

 

 

 

——

 

 

 

 

[1] ลูกพลัม

 

 

[2] แอปปริคอต

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset