ตอนที่ 158 กล้าหรือไม่?
บนชั้นสอง หน้าห้องนอนของผู้เฒ่าเสี่ยว..
“กระจอก! มีแต่หมอกระจอกๆทั้งนั้น! ดีแต่โอ้อวดความเก่งกาจของตัวเองไปวันๆ ไหนบอกเป็นฮัวโต๋กลับชาติมาเกิดยังไงล่ะ? แค่อาการเจ็บป่วยธรรมดาๆยังรักษากันไม่ได้ ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าหมอที่มีชื่ออีกงั้นเหรอ? ไปตายกันให้หมดเลยไป!”
เสี่ยวจือฉีกวาดตามองบรรดาหมอมีชื่อที่ตนเองเชิญมา พร้อมกับกรุ่นด่าเสียงดังราวกับคนคลุ้มคลั่ง
“คุณชายใหญ่ กรุณาสงบสติอารมณ์ก่อน! ผู้เฒ่าเสี่ยวเป็นโรคหัวใจ เพื่อความปลอดภัย ควรส่งตัวท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลจะดีกว่า!”
ท่ามกลางสายตาของหมอทั้งหมดที่อยู่บริเวณนั้น ชายมีอายุผู้หนึ่งได้แต่ยืนมองด้วยเสี่ยวจือฉีด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน เสี่ยวจือฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้ฟังคําตอบ ก่อนจะตะคอกกลับเสียงดัง
“ถ้าส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลได้ ผมยังต้องเรียกพวกคุณมาที่นี่ทําไมกัน?”
“แม่ของผมเสียชีวิตภายในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาล ทําให้พ่อของผมหวาดกลัวโรงพยาบาลตั้งแต่นั้นมา ตอนนี้ท่านเป็นโรคหัวใจ ขืนส่งท่านไปโรงพยาบาล จะไม่ทําให้ท่านหวาดกลัวจนตายงั้นเหรอ?!”
และนี่คือเหตุผลที่เสี่ยวจือฉีเชิญหมอที่มีชื่อเสียงทั่วทั้งเจียงไฮว มาทําการรักษาพ่อของตนเองที่บ้าน แทนที่จะส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล
ในความคิดของเขา แม้ว่าชายชราจะป่วยหนัก แต่ก็ไม่น่าถึงกับต้องเข้ารับการผ่าตัด อีกทั้งสมัยนี้ การแพทย์แผนจีนก็มีบทบาทไม่น้อย แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า บรรดาหมอมีชื่อที่เขาเชิญมาทั้งหมดนั้น จะไม่มีใครสามารถรักษาพ่อของเขาได้เลยแม้แต่คนเดียว
อย่าว่าแต่จะรักษาชายชราให้หายเลย ผ่านไปตั้งนานแล้ว ก็ยังไม่มีหมอคนไหนสามารถบอกสาเหตุการป่วยของพ่อเขาได้!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไม่ต้องถูกน้องสาวหัวเราะเยาะอีกครั้งหรอกหรือ?!
“พี่ใหญ่ หลีกทางด้วย ฉันจะให้หลินหนานเข้าไปดูอาการของพ่อ!”
ระหว่างที่เสี่ยวจือฉีกําลังก่นด่าด้วยความโมโหอยู่นั้น เสี่ยวจือหลงก็ได้เดินนําหลินห นานขึ้นไปถึงหน้าห้องนอนชั้นสองแล้ว
เสี่ยวจือฉีเงยหน้าขึ้นมองหลินหนานที่ยืนอยู่ด้านหลังเสี่ยวจือหลง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยอา รมณ์เกรี้ยวกราด
“หมอที่มีชื่อเสียงมากมายยังไม่สามารถรักษาพ่อได้ ขืนปล่อยให้ไอ้หน้าจืดนี้เข้าไป มันจะไม่ยิ่งทําให้อาการของพ่อเลวร้ายลงหรือยังไง?”
เสี่ยวจือฉีพูดจบ ก็หันไปขยิบตาให้กับชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆตนเอง
“อะแฮ่ม.. คุณชายรอง ขนาดหมอเก่งๆมีชื่อเสียงอย่างพวกเรายังรักษาไม่ได้เลย แล้วพ่อหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์นี่ จะเก่งไปกว่าพวกเราได้ยังไงกัน?”
“นั่นน่ะสิ! ขนาดอาวุโสฟางยังไม่สามารถรักษาได้ นับประสาอะไรกับพ่อหนุ่มนั่น อีกอย่าง ที่นี่ไม่ใช่ที่สําหรับฝึกฝีมือของหมอฝึกหัด..”
ยังไม่ประจักษ์แน่ชัดว่า บรรดาหมอมีชื่อที่เสี่ยวจือฉีเชิญมานั้น จะมีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศจริงหรือไม่? แต่ที่แน่ๆ พวกเขาก็คือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา หลังจากที่สังเกตเห็นท่าที่นุ่มนวลของ “น้องชาย” เสี่ยวจือฉี พวกเขาก็มั่นใจว่าตนเองจะสามารถต่อปากต่อคําด้วยได้
ฉะนั้น หลังจากที่ได้รับสัญญาณจากเสี่ยวจือฉี พวกเขาจึงได้พากันพูดจาดูถูกเหยียดหยามหลินหนาน เพื่อให้เขาหมดความมั่นใจ และล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปข้างใน
เสี่ยวจือฉีเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับพูดยิ้มๆ “เห็นหรือยังล่ะ! ใช่ว่าฉันจะไม่ให้โอกาสหมอนั่น แต่บุคลิกท่าทางของมันไม่มีความน่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย หนวดเครายังไม่ขึ้นเลยเจ้าหนู กล้าริอาจทําเรื่องใหญ่โตแบบนี้ได้ยังไงกัน?”
จากนั้นเสี่ยวจือฉีก็หันไปบอกกับเสี่ยวจือหลงว่า “เธอเองก็เหมือนกัน อย่าไปเชื่อคําพูดของมันให้มากนัก!”
เฮ้อ…. หมอนี้ไม่เมาก็น่าจะบ้า!
แม้ว่าหลินหนานจะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างพี่ชายกับน้องสาวคู่นี้ แต่จากท่าทางของเสี่ยวจือฉี เขาก็พอดูออกว่า ชายหนุ่มต้องการทําให้เสี่ยวจือหลงได้รับความอับอาย และกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าทุกคนที่นี่
“เฮ้อ… เมื่อครู่นายพูดว่า หนวดเครายังไม่ขึ้นไม่ควรรอาจทําเรื่องใหญ่งั้นเหรอ? แต่เท่าที่ฉันดูคนที่มีขนขึ้นเต็มปากอย่างนาย ก็ไม่เห็นจะจัดการอะไรได้เลยนี่!” หลินหนานเอ่ยปากตอบโต้กลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
เสี่ยวจือฉีจ้องมองหลินหนานพร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ําเสียงเย็นชา “นี่แก! แกพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“ยังจะต้องให้บอกอีกเหรอ ในเมื่อก็เห็นแจ่มแจ้งเต็มตาอยู่แล้ว นายเองก็ตามหมอมีชื่อมาจนหมดเมืองแล้วนี่ แต่แล้วยังไง.. จนป่านนี้ยังไม่มีปัญญาแม้แต่จะทําให้คนไข้รู้สึกตัวได้!” หลินหนานตอบโต้กลับไปทันควัน
“นี่! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างแกจะมาต่อปากต่อคํากับฉันนะรู้ไว้ด้วย! ถ้าแกฉลาดพอก็รีบออกไปจากที่นี่ซะ! ไม่อย่างนั้น ฉันจะสั่งสอนให้แกให้ได้รู้ว่า คนที่ริอาจมีปัญหากับฉัน จะต้องมีจุดจบยังไง?”
เสี่ยวจือฉีจ้องมองหลินหนานด้วยสีหน้าแววตาดุดัน และเวลานี้ใบหน้าของเขาก็บ่งบอกว่า กําลังเดือดดาลถึงขั้นสุด!
“เสี่ยวจือฉี! ปกติฉันให้ความเคารพนายเพราะเห็นว่านายเป็นพี่ชายของฉัน ฉันถึงได้พยายามหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องด้วย แต่วันนี้ ฉันเชิญหลินหนานมาดูอาการของพ่อ นายควรจะต้องให้เกียรติฉันบ้าง!” เสี่ยวจือหลงตอบโต้กลับไปด้วยใบหน้าที่บูดบึง
หลังจากที่ได้ยินคําพูดของเสี่ยวจือหลง เสี่ยวจือฉีก็ตอบกลับด้วยน้ําเสียงเย้ยหยันเช่นเคย “เชอะ! ตอนนี้เพิ่งจะมาเสแสร้งทําตัวเป็นลูกที่ดี แล้วที่ผ่านมาแกทําอะไรบ้าง? พ่อป่วยมาตั้งนานแล้ว แต่แกกลับไม่ยอมหาหมอมารักษาพ่อ บอกมาตามตรง นี่แกคิดที่จะทําเรื่องชั่วช้าอะไรกันแน่?”
“หึ! ฉันจําเป็นต้องปกปิดเรื่องที่พ่อปวยเอาไว้ต่างหากล่ะ! อย่าลืมว่าในช่วงหลายปีนี้ ตระกูลเสี่ยวของเราได้สร้างศัตรูไว้มากมาย ฉันแค่เกรงว่า หากคนพวกนั้นรู้เรื่องที่พ่อป่วยเข้า พวกมันจะ…” เสี่ยวจือหลงตอบโต้พี่ชายด้วยน้ําเสียงสั่นสะท้าน และพยายามที่จะข่มความโกรธไว้
แต่ดูจากสีหน้าของเสี่ยวจือฉีแล้ว บ่งบอกว่าเขาไม่เชื่อคําพูดของน้องสาวเลยแม้แต่น้อย..
“หึ! คิดว่าฉันจะเชื่อคนอย่างแกเหรอ แกคงอยากจะฉวยโอกาสนี้ฆ่าพ่อสินะ?”
เพี๊ยะ!
เสียงตบหน้าดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ ทุกคนต่างก็หันไปมองเสี่ยวจือหลงด้วยความตกใจ แม้แต่หลินหนานเองยังอดที่จะตกตะลึง และประหลาดใจไม่ได้ เขาคิดไม่ถึงว่าเสียวจือหลงจะกล้าทํารุนแรงถึงขนาดนี้
ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!
“นี่.. นี่แกกล้าตบหน้าฉันเหรอ? ฉันเป็นพี่ชายของแกนะ!”
เสี่ยวจือหลงยกมือขึ้นกุมใบหน้าที่ถูกตบไว้ พร้อมกับจ้องหน้าเสียวจือหลงราวกับจะกินเลือด กินเนื้อปากก็ร้องคํารามออกไปด้วยความโมโห
เสี่ยวจือหลงจ้องมองเสี่ยวจือฉีอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงเย็นชายิ่งกว่าเดิม
“หึ! นี่นายยังจําได้ว่าตัวเองเป็นพี่ชายของฉันด้วยเหรอ? นายยังจําได้ว่าตัวเองเป็นคนตระกูลหลงแล้วสินะ? ฟังนะ.. ถ้าฉันชั่วช้าอย่างที่นายคิด วันนี้ฉันคงจะไม่ปล่อยให้นายได้ก้าวเท้าเข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้แน่! แล้วก็จงฟังไว้ให้ดี นับจากนี้ไปฉันจะเป็นคนรับผิดชอบดูแลพ่อเอง แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อจริงๆ ฉันนี่ล่ะจะรับผิดชอบเอง!”
“คุณชายใหญ่ ไม่ทราบว่าฉันพูดแบบนี้ คุณชายใหญ่พอใจหรือยัง?”
เสี่ยวจือหลงตอบโต้กลับยึดยาว แต่ทั้งคําพูดและน้ําเสียงของเธอนั้น ประหนึ่งใบมีดแหลมคมที่สามารถกรีดลึกลงไปในจิตใจของคนฟัง
เสี่ยวจือฉีถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง ก่อนจะตอบโต้ด้วยน้ําเสียงเย้ยหยันเช่นเคย “ก็ดี ในเมื่อแกพูดแบบนี้ ฉันก็จะขอให้ทุกคนในที่นี้เป็นพยาน”
“โอ้โห!! แผนการของคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเสี่ยวช่างล้ําลึกซะจริงๆ! พูดง่ายๆก็คือ ตัวเองจะโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับน้อง ถ้าไม่สามารถรักษาผู้เฒ่าเสี่ยวให้หายได้ ก็จะกล่าวหาน้องสาวตัวเองเป็นฆาตกรฆ่าพ่อใช่มั้ยล่ะ? ทุเรศที่สุด!” หลินหนานอดที่จะตอบโต้กลับไปไม่ได้ และเวลานี้เขาก็รู้สึกรังเกียจชายหนุ่มคนนี้เป็นอย่างมาก
ความจริงหลินหนานไม่อยากจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบาดหมายภายในตระกูลเสี่ยวนัก แต่กิริยาท่าทางของเสี่ยวจือฉีผู้เป็นพี่ชายนั้น ทั้งเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจจนเขาเองไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อไปได้อีก
ต้องชั่วช้าแค่ไหนถึงได้ทําแบบนี้กับน้องสาวตัวเองได้
“หรือไม่จริง? หากไม่ใช่เพราะมันไม่ดูแลเอาใจใส่พ่อ อาการของพ่อจะหนักขนาดนี้เหรอ? ตอนนี้ฉันเกณฑ์หมอเก่งๆทั่วทั้งเมืองมายังช่วยอะไรไม่ได้ แบบนี้จะไม่ใช่ความผิดของมันได้ยังไง?”
ในชีวิตของเสี่ยวจือฉีนั้น หน้าตาเป็นเรื่องที่สําคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด วันนี้เขาในฐานะลูกชายคนโตของตระกูลเสี่ยว แต่กลับถูกตบหน้าท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย และที่สําคัญผู้ที่ตบหน้าเขา ก็คือน้องสาวที่เขาเกลียดที่สุดด้วย!
เหตุการณ์นี้เรียกได้ว่ายิ่งกว่าเสียหน้า!
หากเขาไม่สะสางความแค้นครั้งนี้ นับจากนี้ไป เขาจะสามารถเดินเชิดหน้าอย่างสง่าผ่าเผยในเมืองเจียงไฮวได้อย่างไรกัน?
“แล้วถ้าฉันสามารถรักษาผู้เฒ่าเสี่ยวได้ล่ะ นายจะว่ายังไง?” หลินหนานย้อนถาม
หลังจากที่ได้ยินคําพูดของหลินหนาน เสี่ยวจือฉีก็ได้แต่หันไปมองหลินหนานด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม พร้อมกับตอบไปว่า
“คนอย่างแกนี่นะจะรักษาพ่อของฉัน อย่าว่าฉันดูถูกเลยนะ คนอย่างแกไม่มีคุณสมบัติ และความสามารถพอ!”
“ฉันบอกว่าถ้า…”
หลินหนานตอบกลับยิ้มๆ และนี่เป็นอีกครั้ง ที่หลินหนานกําลังจะดึงผู้คนเข้าสู่หลุมพรางของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาถนัดยิ่งนัก
“ได้! เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่ให้โอกาส ถ้าแกสามารถทําให้พ่อของฉันรู้สึกตัวได้ภายในครึ่งชั่วโมง ฉันจะยอมคุกเข่าเรียกแกว่าพ่อ แต่…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เสี่ยวจือฉีก็จงใจหยุดนิ่งไปชั่วครู่เพื่อดึงความสนใจ ก่อนจะพูดต่อว่า “ถ้าแกทําไม่ได้ มัน.. จะต้องออกจากบ้านตระกูลเสี่ยวไปพร้อมกับแก แล้วห้ามกลับมาเหยียบที่นี่อีก!”
“แกกล้ารับคําท้าของฉันมั้ยล่ะ?”