ห้าเดือนต่อมา…
การแยกย้ายจากลากันในวันนั้นทั้งสองก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย แทนไทเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ศึกษาธรรมะเพื่อกล่อมเกลาจิตใจให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น หลายเดือนมานี้เขาอยู่ภายในเขตรั้ววัดป่าไม่ออกไปไหนเลย เว้นแต่ออกไปบิณฑบาตและกิจของสงฆ์ตามที่ญาติโยมนิมนตร์
แทนไทเลือกมาอยู่ที่วัดป่าแห่งนี้เพราะห่างไกลจากความวุ่นวาย มีพื้นที่สีเขียวของป่าไม้ล้อมรอบ อยู่ในตำบลที่ห่างไกลความเจริญภายในจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครมากนัก นานทีคนในครอบครัวและเพื่อนฝูงจะมาเยี่ยมเยียน ตั้งใจว่าจะบวชสักหนึ่งพรรษาลองดูก่อนหากไม่มีอะไรติดขัด
ถึงแม้ว่าสภาพจิตใจจะสงบลงบ้างแล้ว แต่ในบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงลูกพลับ ตอนนี้คงใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว หากไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันป่านนี้เขาคงได้อยู่ดูแลจนถึงวันที่เจ้าตัวเล็กลืมตาดูโลกเป็นแน่ เขาสั่งไม่ให้ใครมาส่งข่าวเกี่ยวกับเรื่องของลูกพลับ เพราะอยากจะตั้งใจปฏิบัติธรรมให้ดีที่สุด ไม่อยากให้มีเรื่องมารบกวนจิตใจแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนยิ่งนานวันยิ่งรู้สึกฝืน
ตอนนี้แทนไทกำลังกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาเต็มลานข้างศาลา ทำไมจู่ ๆ ถึงได้นึกถึงลูกพลับขึ้นมานะ หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ได้แต่คิดและถอนหายใจอยู่อย่างนั้น มัวแต่คิดเรื่องที่กำลังสร้างความปั่นป่วนในหัวจนไม่ทันสังเกตเห็นใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้า
“จะเหม่อลอยไปถึงไหนล่ะท่าน”
“อ้าวหลวงตา มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“ยืนตั้งนานแล้วแต่ท่านมัวแต่คิดอะไรจนลืมสังเกตสิ่งรอบตัว เป็นเช่นนี้ธรรมะคงไม่สามารถช่วยอะไรได้แล้วกระมัง”
“หลวงตาหมายความว่ายังไงครับ” คนพูดยืนจับไม้กวาดมองพระภิกษุอาวุโสอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดท่านจึงกล่าวราวกับช่วงเวลาที่ผ่านมาธรรมะไม่สามารถขัดเกลาจิตใจเขาได้ ทั้งที่มั่นใจว่าตอนนี้สภาพจิตใจดีขึ้นมากแล้ว
“หากท่านยังมีเรื่องที่ค้างคาใจอยู่ ก็ควรรีบไปจัดการให้เรียบร้อยเสียเถอะ ผู้คนที่เข้ามาบวชต่างก็มาเพื่อดับความทุกข์ หนีปัญหาชีวิตกันทั้งนั้น แม้ช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาหลวงตาจะไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็สังเกตพฤติกรรมของท่านอยู่เรื่อย ๆ สรุปได้ว่าท่านยังมีห่วง หากฝืนอยู่ต่อไปรังแต่จะทำให้จิตใจฟุ้งซ่านมากขึ้น”
“หลวงตาหมายความว่า…”
“ถูกต้องแล้ว วันนี้หลวงตาจะศึกให้แล้วกลับไปพร้อมพี่ชายของท่านเถิด”
“พี่ชายผมมาหรือครับ มาตั้งแต่ตอนไหน”
“มาถึงเมื่อไม่นาน เห็นมีเรื่องสำคัญจะบอก หลวงตาเลยออกมาตามให้”
“ขอบพระคุณครับหลวงตา ถ้าอย่างนั้นผมไปหาพี่ชายก่อนนะครับ”
“ตามสบายเถิด หากตัดสินใจได้แล้วให้รีบมาบอกหลวงตานะ”
“ครับหลวงตา”
เมื่อรู้ว่าใครมาก็รีบเดินเร็วเข้าไปยังกุฏิด้วยความเร่งรีบ เพราะหวังว่าจะได้ยินข่าวคราวของลูกพลับจากปากไททัน นานมากแล้วที่อีกฝ่ายไม่โผล่หน้ามาให้เห็น แถมยังไม่โทรหาอีกต่างหาก เมื่อเดินไปถึงก็เห็นพี่ชายยืนอยู่หน้ากุฏิอยู่ก่อนแล้ว
“อ้าว นมัสการครับหลวงพี่”
“โยมพี่มาทำอะไรที่นี่”
“หลวงตาไม่ได้บอกหรือครับว่าผมมาทำอะไร”
“หลวงตาบอกว่าโยมมีเรื่องสำคัญจะมาแจ้ง”
“ใช่ครับ เรื่องสำคัญมาก สำคัญจนคิดว่าหลวงพี่อาจจะตัดสินใจสึกในวันนี้ก็ได้”
“สำคัญขนาดนั้นก็รีบบอกมา เป็นเรื่องลูกพลับใช่ไหม อาตมาอยากรู้ใจจะขาดแล้ว”
“ใช่ครับ คือ…ตอนนี้ลูกพลับใกล้จะคลอดแล้วแต่เกิดอุบัติเหตุตกบันไดเสียก่อน ดูเหมือนว่าเด็กในท้องจะมีปัญหา” ไททันแสดงสีหน้าวิตกจนเห็นได้ชัด ทำเอาแทนไทถึงกับใบหน้าถอดสีเลยทีเดียว สิ่งที่เขาสังหรณ์ใจเมื่อครู่ไม่นึกเลยว่ามันจะเป็นความจริง
“ลูกพลับเป็นอะไรมากไหมบอกมาเร็ว บอกมาสิวะ!” ด้วยความโมโหทำเอาแทนไทลืมตัวพูดจาไม่เหมาะสมต่อหน้าพี่ชายทั้งที่ยังห่มผ้าเหลืองอยู่
“สำรวมหน่อยครับหลวงพี่ ถึงยังไงตอนนี้หลวงพี่ก็นุ่งผ้าเหลืองอยู่นะ ที่ผมมาวันนี้คุณพ่อคุณแม่ให้มาถามว่าหลวงพี่จะเอายังไง จะกลับไปเยี่ยมให้กำลังใจลูกพลับด้วยกันไหม”
“ต้องไปอยู่แล้วสิ ไปตอนนี้เลย” คนพูดรีบจูงมือพี่ชายเข้าไปในกุฏิเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างลืมตัว
“เดี๋ยว ๆ ๆ กลับทั้งอย่างนี้นะ หลวงพี่จะสึกหรือไม่สึก จะเอายังไงกันแน่ ตัดสินใจให้ดีนะ”
“เอ่อ…สึก งั้นรออยู่ตรงนี้เดี๋ยวไปสึกกับหลวงตาตอนนี้เลย”
ไม่พูดพร่ำทำเพลงแทนไทเดินกลับไปหาหลวงตาเพื่อขอให้ทำพิธีลาสิกขาให้ ไททันได้แต่ยืนส่ายหน้า ยิ้มน้อย ๆ ให้กับความเงอะงะของน้องชาย แม้จะพยายามทำใจเรื่องลูกพลับจนจิตใจสงบไปช่วงหนึ่งแล้ว แต่พอมีอะไรมากระตุ้นกลับยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แล้วอย่างนี้ชีวิตของน้องชายจะขาดคนชื่อลูกพลับได้อย่างไรกัน
ในที่สุดแทนไทก็ได้สึกสมใจอยาก หลวงตาทำพิธีให้เป็นการเร่งด่วน ตอนนี้หลวงพี่เปลี่ยนมาสวมใส่ชุดฆราวาสเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งกราบเพื่อร่ำลาก่อนจะกลับไปยังเมืองหลวง
“ขอบพระคุณหลวงตาที่คอยบอกคอยสอนสำหรับช่วงที่ผ่านมานะครับ ผมจะไม่มีทางลืมคำสอนของหลวงตา และจะไม่มีทางลืมที่นี่แน่นอนครับ หากมีโอกาสผมจะกลับมาเยี่ยมหลวงตานะครับ”
“เห็นโยมแทนไทคิดได้อย่างนี้หลวงตาก็วางใจแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมแล้วจะแก้ไขปัญหาชีวิตได้หรอกนะ กลับไปแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้คลี่คลายเสียเถิด หลวงตาขออวยพรให้โยมผ่านทุกปัญหาไปได้ด้วยดีนะ”
“ขอบพระคุณครับหลวงตา ถ้าอย่างนั้นผมลาแล้วนะครับ” ว่าแล้วก็ก้มลงกราบอีกครั้ง
“ผมขอลากลับกรุงเทพฯก่อนนะครับหลวงตา เอาไว้มีโอกาสจะทำผ้าป่ามาช่วยบูรณะโบสถ์นะครับ” ไททันกล่าวตบท้าย
“เจริญพรโยม”
*-*-*-*-*-*-*-*
ภายในห้องพักฟื้นผู้ป่วยของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ร่างของคุณแม่ใกล้คลอดซึ่งนอนอยู่บนเตียงสะท้อนเข้าไปในดวงตากลมโตของผู้เป็นป้า ปิ่นวดีมองดูหลานชายด้วยความเป็นห่วง ใกล้จะถึงกำหนดคลอดอยู่แล้วเชียวแต่กลับมาเกิดอุบัติเหตุขึ้นเสียก่อน เมื่อวานนี้กำลังจะลงบันไดมาให้ข้าวไอ้เจ้าโชคดีทว่าลื่นบันไดล้มลงมาเสียก่อน ลูกพลับปวดท้องเจียนจะขาดใจ ตะโกนเรียกหาป้าให้มาช่วย หลังจากนั้นปิ่นวดีจึงโทรเรียกรถพยาบาลให้มารับที่บ้าน
โชคดีที่ถึงมือหมอทันเวลา ลูกพลับปลอดภัยแต่ลูกในท้องกลับทำให้คุณหมอเป็นกังวล เนื่องจากได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรงจึงเกรงว่าเด็กที่เกิดมาอาจจะผิดปกติไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจจะพิการทางร่างกายหรือสมองก็ยังไม่สามารถทราบแน่ชัด ลูกพลับยังคงไม่รู้เรื่อง และคงไม่มีใครบอกด้วยเกรงว่าจะทำให้เกิดความเครียดจนเสียสุขภาพ
“ไอ้พลับเอ๊ย ทำไมเอ็งถึงได้ซวยอย่างนี้นะ ใกล้จะคลอดอยู่แล้วเชียว เฮ้อ” ปิ่นวดีถอนหายใจเสียงดังด้วยความรู้สึกแย่ไม่น้อย เวรกรรมอะไรนักหนาถึงทำให้หลานชายต้องเจอแต่เรื่องเลวร้ายมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วทำเวรทำกรรมอะไรไว้นักหนา กล่าวแล้วเธอกำลังจะเดินไปนั่งเอนหลังบนโซฟาแต่ทว่า
“ป้าปิ่นครับ”